ไหปีศาจ - บทที่ 1064 คำสั่งของหลี่ซวนซง
บทที่ 1064 คำสั่งของหลี่ซวนซง
การกลับมาของหลี่ซวนซงทำให้เกิดแผ่นดินไหวครั้งใหญ่ในราชวงศ์มังกรเร้นกาย
คำสั่งชุดต่อไปของเขาก็น่าพิศวงยิ่งขึ้นไปอีก
ประการแรก เขาเมินเสียงค้านทั้งหมดและบอกให้เฒ่าเฉินออกคำประกาศของจักรพรรดิเพื่อแจ้งให้ประชาชนรู้ถึงความร้ายกาจของนรกมนตราและมนุษย์กำลังจะได้เผชิญกับมัน
อย่างที่รู้กัน ลั่วอู๋ต้องใช้ความพยายามอย่างมากเพื่อให้ผู้คนยอมรับการมีอยู่ของนรกมนตรา
แต่เขาจงใจอธิบายว่านรกมนตราไม่ได้ร้ายกาจขนาดนั้น
เพราะนั่นจะเอื้อต่อการยอมรับของประชาชนมากกว่าและจะไม่ก่อให้เกิดผลร้ายแรงจนเกินไป
แต่หลี่ซวนซงไม่ได้ทำเช่นนั้น เขายังพูดถึงอันตรายที่มนุษย์ต้องเผชิญและพลังของปีศาจอย่างเกินจริง ซึ่งทำให้เกิดความตื่นตระหนกอย่างมาก
ไม่ช้าผู้คนก็รู้สึกว่าตกอยู่ในอันตราย
ราชวงศ์มังกรเร้นกายปั่นป่วน
ลั่วอู๋โกรธมากเกี่ยวกับเรื่องนี้ เขารีบไปที่สำนักพระราชวังและถามว่า “เจ้ากำลังทำอะไรอยู่?”
อย่างไรก็ตามหลี่ซวนซงก็กำลังหมกมุ่นอยู่กับเอกสารจนเขาไม่มีเวลาแม้แต่จะดื่มกิน
เมื่อเผชิญกับคำถามของลั่วอู๋ เขาก็ไม่พอใจอย่างมาก เขาขมวดคิ้วและวางเอกสาร “ข้าจะทำอะไรยังไงก็ต้องอธิบายให้เจ้าฟังหมดเลยรึไง?”
“อย่าคิดว่าจะทำอะไรก็ได้เมื่อได้เป็นจักรพรรดิอีกครั้งเชียว” ลั่วอู๋พูดอย่างเย็นชา “ถ้าเจ้าอธิบายไม่ดี ข้าสัญญาว่าเจ้าจะได้ตกจากบัลลังก์เป็นครั้งที่สอง”
หลี่ซวนซงเหล่มองที่ลั่วอู๋ และพูดออกมาสองคำสั้น ๆ “เจ้าโง่”
ลั่วอู๋กำลังเตรียมพร้อมที่จะโจมตีแต่หลี่ซวนซงก็พูดขึ้นอย่างสงบ
“อย่าดูแคลนความยืดหยุ่นของเผ่าพันธุ์มนุษย์ของเรา ไม่ใช่แค่โชคที่ทำให้เราเปลี่ยนจากเผ่าพันธุ์ที่อ่อนแอและโง่เขลาในสมัยโบราณมาเป็นผู้มีอำนาจเหนือแผ่นดินใหญ่ในปัจจุบัน”
“มนุษย์มีศักยภาพที่น่ากลัวมากซึ่งเผ่าพันธุ์อื่นไม่มี บางทีในโลกนี้ก็อาจมีคนขี้ขลาดมากมาย”
“แต่ไม่ขาดความกล้าหาญที่แท้จริงอย่างแน่นอน”
น้ำเสียงของหลี่ซวนซงเต็มไปด้วยคำถามที่ไม่ต้องสงสัย “เมื่อทั้งเผ่าพันธุ์ถูกบังคับให้ต้องตายก็มักจะระเบิดพลังที่น่ากลัวออกมา ประวัติศาสตร์ได้พิสูจน์เรื่องนี้มาเป็นเวลานานแล้ว ”
วีรบุรุษมันเกิดในยามลำบาก
ยิ่งอยู่ในความวุ่นวายมากเท่าไหร่ พลังก็จะยิ่งปรากฏมากขึ้นเท่านั้น
ในตอนนั้น ในช่วงยุคมืดและโกลาหล มนุษย์ระดับจักรพรรดินั้นปรากฏขึ้นมากกว่ายุคของราชาหมอกเสียอีก มิฉะนั้นคงไม่สามารถหยุดปรมาจารย์ปีศาจทั้งเก้าได้
“การตัดสินใจของเจ้าในตอนนั้นก็ไม่มีปัญหาหรอก พยายามระงับความตื่นตระหนก เพราะไม่มีใครสามารถควบคุมสถานการณ์โดยรวมในขณะนั้นได้ซึ่งจะทำให้สถานการณ์คุมไม่อยู่ได้ง่ายมันก็ถูก แต่ตอนนี้มันต่างออกไปแล้ว”
หลี่ซวนซงกล่าวอย่างมั่นใจ “เพราะข้ากลับมาแล้วไงล่ะ”
“ข้าจะชี้นำคนของข้า และพลังอันน่าสะพรึงกลัวที่จะระเบิดออกมาจากสถานการณ์ที่สิ้นหวังนี้ ในที่สุดก็จะกลายเป็นคมดาบที่จะทะลวงนรกมนตรา และข้าจะฆ่าอันตรายซ่อนเร้นที่ใหญ่ที่สุดในแผ่นดินใหญ่เป็นเวลากว่า 8,000 ปีด้วยตัวเอง”
ลั่วอู๋ไม่รู้ว่าหลี่ซวนซงมีความมั่นใจมากแค่ไหน
บางทีเขาก็หลงตัวเองมาก
“แต่ก็ไม่เห็นจะจำเป็นต้องพูดถึงความน่ากลัวของนรกมนตราอย่างเกินจริงเลยนี่” ลั่วอู๋ขมวดคิ้ว “มากพอนั้นดีกว่ามากไป ถ้าสายที่ขึงแน่นเกินไปก็ย่อมขาด เจ้าไม่กลัวที่จะทำให้ผู้คนตกใจกลัวหรือ?”
“ทั้งหมดที่ข้าต้องการคือทำให้พวกเขากลัว” หลี่ซวนซงกล่าวช้า ๆ “คนทั่วไปเป็นกลุ่มที่ดีที่สุดที่จะหลอก”
ลั่วอู๋กล่าวว่า “นั่นไม่ใช่สิ่งที่เจ้าเพิ่งพูดเลยนี่”
หลี่ซวนซงพูดกับเขาว่า “ถ้าเจ้าทำให้ความน่าสะพรึงกลัวของนรกมนตราอ่อนลง เมื่อนรกมนตรามาจริง ๆ พวกเขาจะเกลียดเจ้า สาปแช่งเจ้า สาปแช่งเจ้าที่ปกปิดสถานการณ์จริง ๆ เกลียดเจ้าที่หลอกลวงพวกเขา”
“แต่ถ้าเจ้าพูดถึงอันตรายที่มนุษย์จะต้องเผชิญอย่างเกินจริง”
“เมื่อพวกเขาพบว่ามันไม่น่ากลัวอย่างที่คิด พวกเขาก็จะโล่งใจและสามารถต่อสู้ได้”
“เจ้าแน่ใจได้อย่างไรว่าพวกเขาจะไม่กลัวที่จนเป็นผลเสีย?” ลั่วอู๋ถาม
“แน่นอนว่าข้าต้องมีมาตรการรับมืออยู่แล้ว” หลี่ซวนซงพูดด้วยความรังเกียจ “คนที่ขี้ขลาดและอ่อนต่อโลกกำลังฉุดรั้งเผ่ามนุษย์ เพื่อเห็นแก่เผ่ามนุษย์เราก็ต้องจัดการพวกเขา”
จิตต่อสู้และไฟฮึกเหิมเป็นโรคติดต่อได้
อารมณ์เชิงลบก็เช่นเดียวกัน
ลั่วอู๋รู้สึกเย็นวาบเล็กน้อย
เขามั่นใจว่าเขาไม่มีความสามารถที่จะเป็นจักรพรรดิได้ เขาไม่สามารถตัดสินใจเรื่องชีวิตและความเป็นความตายของคนจำนวนมากได้
……
……
คำสั่งต่อมาของหลี่ซวนซงก็ถูกส่งออกไปเช่นกัน
กองทหารที่ประจำการในสถานที่ต่าง ๆ เริ่มรับสมัครทหารและม้าที่มีสภาพดีเยี่ยม และพวกเขาก็ยังติดคำขวัญที่เลือดร้อนเช่น “ปกป้องเผ่าพันธุ์มนุษย์” และ “ปกป้องภูเขาและแม่น้ำของเรา”
ในตอนแรกมีผู้มาสมัครเพียงไม่กี่คน
แต่เมื่อเวลาผ่านไป ผู้คนเริ่มตอบสนองต่อคำขวัญและเข้าร่วมกองทัพอย่างเด็ดเดี่ยว
คนเหล่านี้ส่วนใหญ่เป็นคนหนุ่มที่เต็มไปด้วยไฟ หลังจากที่พวกเขากลัว พวกเขาก็โกรธมากและละอายใจกับความกลัวของตัวเอง พวกเขาละอายใจในความขี้ขลาดของตัวเอง
ดังนั้นพวกเขาจึงเลือกเข้าร่วมกองทัพ
ทั่วโลกต่างตอบสนอง
หลังจากนั้นหลี่ซวนซงได้ไปที่กองทัพสยบมังกรเป็นการส่วนตัวเพื่อไปเยี่ยมผู้บัญชาการหลิงหลงและหลงเซี่ย
ลั่วอู๋ไม่รู้ว่าพวกเขาพูดคุยอะไรกัน
เขารู้เพียงว่าหลังจากการประชุมครั้งนั้น ความสำเร็จของผู้บัญชาการหลิงหลงและหลงเซี่ยก็เริ่มถูกเผยแพร่ ท้ายที่สุด พวกเขาคือคนที่ขับไล่ภาพเสมือนของปรมาจารย์ปีศาจแห่งหว่านเซียง
ทั้งคู่ก็มาจากค่ายทหาร และชื่อของกองทัพสยบมังกรนั้นก็หยั่งรากลึกในหัวใจของผู้คน
ผู้นำทั้งเก่าและใหม่แห่งกองทัพสยบมังกร พวกเขาจะแข็งแกร่งขนาดไหนกันนะ?
เมื่อรวมกับโฆษณาชวนเชื่อดังกล่าวแล้ว พวกเขาก็กลายเป็นที่รู้จัก พวกเขาไม่เพียงแต่กลายเป็นที่บูชาของทหารนับไม่ถ้วนเท่านั้น แต่ยังกลายเป็นผู้แข็งแกร่งที่ประชาชนยกย่อง
ชื่อของเทพสงครามแผ่ออกไปเหมือนไฟป่า
แน่นอนว่าต้องมีหลี่ซวนซงอยู่เบื้องหลัง
ในไม่ช้า ลั่วอู๋ก็เข้าใจแผนการของหลี่ซวนซงซึ่งเห็นได้ชัดว่าต้องพึ่งพา “การสร้างพระเจ้า” เพื่อทำให้ขวัญกำลังใจของกองทัพและประชาชนมีเสถียรภาพ
อันที่จริง วิธีนี้สามารถบรรเทาความตื่นตระหนกของประชาชนได้อย่างมาก และยังช่วยเพิ่มความสามัคคีอีกด้วย
ความตื่นตระหนกถูกควบคุมอย่างค่อยเป็นค่อยไป
หลังจากนั้น ในฐานะจักรพรรดิหลี่ซวนซงก็ได้ส่งหินวิญญาณจากวังออกไปจำนวนมาก ซึ่งทั้งหมดถูกส่งไปยังกองทัพ แม้แต่ยามของเมืองที่อยู่ห่างไกลที่สุดก็ยังได้รับหินวิญญาณจำนวนมาก
สิ่งนี้ทำให้เกิดความตกใจอย่างมาก
กองทัพซาบซึ้งในความกรุณาของจักรพรรดิอย่างสูง
แต่หลายตระกูลก็ประท้วง
ท้ายที่สุดแล้ว ก็มียอดฝีมือระดับสูงมากมายในราชวัง และแม้กระทั่งยอดฝีมือจำนวนมากก็มาจากกองกำลังของตระกูลเหล่านี้ ถ้าหินวิญญาณเหล่านี้แพร่กระจายไป ความได้เปรียบของตระกูลใหญ่จะไม่สูญหายไปหรือ?
สิ่งนี้ขัดต่อผลประโยชน์ของ “มหาอำนาจ” มากเกินไป
แต่หลี่ซวนซงกล่าวอย่างตรงไปตรงมาว่า “หากเจ้ามีความไม่พอใจ ก็โปรดมาที่วังแล้วบอกกับข้า ถ้ากองกำลังใดกล้าที่จะขัดแข้งขัดขาในจุดที่สำคัญเช่นนี้ ข้าจะทำลายพวกมันทั้งหมดด้วยตัวเอง”
ทันใดนั้น ผู้คัดค้านทั้งหมดก็หายไป
ใครกล้าเข้าวังไปหาเรื่องกับองค์จักรพรรดิ
ต่อให้พวกเขาจะไม่กลัวซวนชิงหยู่ แต่หลี่ซวนซงเองก็เป็นจักรพรรดิที่แท้จริงเช่นกัน
หลังจากการกลับมา หลี่ซวนซงก็เอาแต่ใจ หยิ่ง และเข้มงวดมากขึ้น
อาจไม่ใช่เพียงเพราะสถานการณ์ปัจจุบัน
หรือเป็นเพราะเขารู้ว่าเขาไม่สามารถนั่งบนบัลลังก์ไปได้ตลอด ก็เลยจะทำอะไรอย่างประมาทได้มากขึ้น แม้ว่าเขาจะทำพลาด เขาก็จะไม่ต้องรับผิดชอบในการจัดการผลที่ตามมา
อันที่จริง การกระทำเหล่านี้ก็ได้วางอันตรายซ่อนเร้นไว้มากมาย
การเลี้ยงกองทัพอย่างดีจะเป็นการล่อเสือหรือไม่? คลังสมบัติชาติจะสามารถรับค่าใช้จ่ายขนาดใหญ่เช่นนี้ได้หรือไม่? ความไม่พอใจของตระกูลใหญ่และผู้มีอำนาจเหล่านี้จะนำไปสู่หายนะหรือไม่?
ทั้งหมดนี้คือปัญหา
แต่เขาไม่สนใจ
อย่างน้อยสำหรับตอนนี้ ผลที่ได้ก็คือน่ายินดี
ในช่วงเวลาหนึ่ง จำนวนของผู้ที่เข้าร่วมกองทัพเพิ่มสูงขึ้น และแม้แต่ผู้ฝึกฝนพลังวิญญาณอาวุโสก็เต็มใจที่จะทำงานให้กับกองทัพ