และแล้วบาดแผลจะลบเลือน - ตอนที่ 10 ขอให้หลับฝันดี
เวทมนตร์ของคิริโกะหายไปแล้ว ‘เรื่องที่ไม่เคยเกิดขึ้น’ ใด ๆ ต่างค่อย ๆ กลับคืนสู่สภาพเดิม
อาจเป็นเพราะอุบัติเหตุที่ทำให้ผมตายทำให้สวนสนุกแห่งนี้ต้องปิดตัวลงและถูกทิ้งร้างในที่สุด ทุกอย่างถูกทิ้งให้อยู่ทั้งอย่างนั้นราวกับเป็นซากปรักหักพังของความฝัน เหมือนถูกทิ้งกลางทางระหว่างกระบวนการรื้อถอน
พอลงมาจากกระเช้าแล้วก็หันไปเห็นชิงช้าสวรรค์สนิมเกาะที่ไม่มีไฟหล่อเลี้ยงถูกลมหนาวกระพือพัดโอนเอนไปมาเบา ๆ ตรงศูนย์บังคับไม่มีใครแล้ว เหลือเพียงเศษกระจกที่แตกกระจายเกลื่อนกลาด
มีเพียงผมกับคิริโกะที่ยังอยู่ในสวนสนุก
“แล้วรู้มาตั้งแต่ตอนไหนว่าผมคือ ยูงามิ มิซูโฮะ”
“ตอนที่นั่งรถไฟกลับตอนวันฮาโลวีนรอบนั้น รู้สึกชวนให้คิดถึงแปลก ๆ ค่ะ” คิริโกะตอบ “ตอนนั้นก็เลยเอะใจ”
พวกเราค่อย ๆ เดินลงบันไดขึ้นสนิมคอยระวังไม่ให้ย่ำรูโหว่ไปดูตามสวนสนุกที่ปิดตัวลง ไฟทุกดวงยังไม่ดับสนิท ยังมีบางดวงที่กะพริบติด ๆ ดับ ๆ ตามทางเดินหินมีแต่รอยร้าวที่มีวัชพืชขึ้นแซม
เถาไอวีเหี่ยวเฉาเลื้อยพันอยู่ตามรั้วที่ล้อมม้าหมุน สีของตัวม้าก็หลุดลอก รถม้าบางส่วนก็ล้มกองอยู่ หญ้าซูซูกิขึ้นตามทางขึ้นรถไฟเหาะ ส่วนตัวรถไฟเหาะทั้งสองฟากมีผ้าใบคลุมไว้ เมื่อเดินไปตามรางที่มีตะไคร่ขึ้นก็เห็นกองซากของทั้งหลายที่อยู่ในสระที่ไม่มีน้ำแล้ว ทั้งม้านั่ง ป้าย จักรยานสองที่นั่ง โกคาร์ต เต็นท์ ตุ๊กตาทหารแขนขาด ตัวตลกไม่มีจมูก รองเท้าสเก็ต ล้อยาง ถังน้ำมัน แผ่นสังกะสี ดอกไม้สีหม่นกับรูปปั้นนก
ผมถาม
“ทำไมคิริโกะถึงได้ ‘เลื่อนเวลา’ การตายของตัวเองได้ไม่ถึงหนึ่งเดือน แต่กลับ ‘เลื่อนเวลา’ การตายของคนอื่นมาได้ตั้งห้าปีล่ะ”
“ถ้าลองคิดกลับกันน่าจะเข้าใจง่ายกว่านะคะ” เธอว่า “ฉัน ‘เลื่อนเวลา’ การตายของตัวเองได้ไม่ถึงห้าปีหรอกค่ะ”
งั้นเองหรอกหรือ ผมเชื่อแล้วละ
คงไม่ต้องถามหาสาเหตุแล้ว
ตอนนี้ผมพอจะเข้าใจแล้วว่าทำไมคิริโกะถึงได้แก้แค้นพ่อเธอโดยการใช้ค้อนทุบเท่านั้น เพราะผมแก้แค้นเขาไปแล้ว การแก้แค้นของเธอก็เพียงทำต่อจากจุดนั้นเอง
และ คำถามสุดท้าย
ถ้าคิริโกะตายแล้วและทุกอย่างที่เธอทำให้กลายเป็น ‘เรื่องที่ไม่เคยเกิดขึ้น’ คืนสู่สภาพเดิม พวกเราจะเป็นยังไงต่อ
ถ้าการ ‘เลื่อนเวลา’ ของอุบัติเหตุที่ผมชนคิริโกะสิ้นสุดลง คิริโกะก็จะตาย แต่ทันทีที่คิริโกะตาย การ ‘เลื่อนเวลา’ ของเหตุการณ์ที่ผมตายที่สวนสนุกแห่งนี้ก็จะสิ้นสุดลงด้วย แล้วผมก็จะไม่มีตัวตนที่จะมาชนคิริโกะได้ ถ้าเป็นพวกศัพท์การท่องเวลาก็คงเหมือนเรื่อง ‘ปฏิทรรศน์คุณปู่’ เพียงแต่สลับจากการเกิดมาเป็นการตาย
คิริโกะจะยังมีชีวิตอยู่ต่อไหมนะ
คิริโกะพูดขึ้นมาจังหวะเดียวกันกับที่ผมเริ่มตั้งข้อสงสัย
“ถ้ามิซูโฮะคุงหายไปแล้ว ฉันเองก็คงตามไปติด ๆ ค่ะ ถือเป็นการชดใช้กรรมที่ทำมาตลอดด้วย”
“ไม่ ไม่ได้นะ” ผมตอบ “ไม่ว่าจะยังไง ผมก็ยังอยากให้คิริโกะมีชีวิตอยู่ต่อไป”
คิริโกะใช้หัวโขกเข้าที่หลังผม
“ขี้โกหก”
ไม่มีคำตอบ
จริงอย่างที่เธอว่า ผมมันขี้โกหก
ผมดีใจ ดีใจเหลือเกินที่ได้รู้ว่าเธอจะตามผมมา
“…แล้ว ต้องรออีกนานแค่ไหน” ผมถามอีก
“อีกแป๊บเดียวค่ะ” เธอยิ้มอ้างว้าง “อีกแป๊บเดียว”
“อืมฮึ”
ผมคิดถึงความตายที่ใกล้เข้ามา แต่ก็ไม่ได้เศร้าอะไรมากนัก
ความทรงจำก็กลับมาแล้ว ได้รู้ว่าอย่างน้อย ๆ ผมก็เป็นมนุษย์ที่ช่วยผู้หญิงไว้ได้คนหนึ่ง
ผมตายตาหลับเสียที
คงไม่ต้องการอะไรอีกแล้วละ
หลังจากที่ลงมาจากรางและเดินดูตามเครื่องเล่นแล้วพวกเราก็กลับมานั่งที่ม้านั่งเหล็กตรงหน้าชิงช้าสวรรค์ เหมือนวันวานที่นั่งฟังเพลงหูฟังคนละข้างด้วยกันที่ศาลา
เกล็ดแสงสีขาวเล็ก ๆ ผ่านหน้าลงไป ตอนแรกยังไม่รู้ว่าเป็นหิมะเพราะไม่ทันได้มองให้ชัด
จะว่าไป ตอนฟังวิทยุก็มีบอกอยู่นี่นะว่าปีนี้หิมะแรกจะมาเร็วกว่าทุกที
เกล็ดหิมะค่อย ๆ มีขนาดใหญ่ขึ้นจนสังเกตเห็นได้โดยไม่ต้องเพ่งสายตา
“ดีจังเลยนะที่สุดท้ายก็ยังได้เห็น” ผมเปรย
“อื้อ”
ผมรู้สึกว่าน้ำเสียงของคิริโกะเปลี่ยนไปเล็กน้อยจึงหันไปมอง
พอรู้ตัวอีกทีเธอก็ไม่ได้อายุสิบเจ็ดแล้ว
“นี่ มิซูโฮะคุง” ตัวคิริโกะอายุยี่สิบสองปีทัก “คุณเกลียดแค้นฉันมั้ยคะ”
“แล้วคิริโกะล่ะ เกลียดแค้นผมที่ไปชนเธอหรือเปล่า”
เธอสั่นหัว
“สำหรับฉันแล้ว ทุกช่วงเวลาที่ได้อยู่กับมิซูโฮะคุงทำให้รู้สึกว่าได้ใช้ชีวิตจริง ๆ เลยค่ะ คุณทำให้ฉันมีชีวิตขึ้นมาได้ จะฆ่าฉันสักครั้งสองครั้งก็ไม่เป็นไรหรอกค่ะ”
“งั้น รวบรัดเลยแล้วกัน ผมเองก็คิดเหมือนกันนะ”
“…งั้นเหรอคะ”
ดีจัง คิริโกะพูดพลางใช้มือขวาของเธอวางทับมือซ้ายของผมไว้ ผมหงายมือขึ้นแล้วประสานกับมือของเธอ
“มาบอกเอาป่านนี้อาจจะไม่ได้อะไรขึ้นมาหรอก แต่ว่านะ”
“อะไรเหรอคะ”
“ผมรักคิริโกะนะ”
“รู้ค่ะ”
“เห็นมั้ย บอกไปก็ไม่ได้อะไรขึ้นมา”
“ฉันเองก็รักมิซูโฮะคุงนะคะ”
“รู้น่า”
“งั้นจูบกันมั้ยคะ”
“ได้สิ”
พวกเราขยับหน้ามาใกล้กัน
“อ๊ะ จะว่าไป…” คิริโกะแทรก “‘สิ่งนั้น’ ไม่มีอยู่จริงสินะคะเนี่ย”
“ยังจะจำเรื่องจดหมายสมัยนั้นได้อีกเหรอ”
“แต่ก็แปลว่ามิซูโฮะคุงจำได้เหมือนกันสินะคะ”
“อืม” ผมพยักหน้า “‘สิ่งนั้น’ น่าจะไม่ใช่คำโกหกที่อ่อนโยนอะไรด้วย”
“น่าจะนะคะ” คิริโกะยิ้ม “ดีจังเลยนะคะที่ในที่สุดก็ได้รู้สักที”
พวกเราทาบทับริมฝีปากเย็นชืดเข้าหากัน
ในขณะเดียวกันก็มีเสียงตามสายประกาศเวลาปิดสวนสนุก
และทันใดนั้นไฟที่เหลืออยู่ไม่กี่ดวงก็ทยอยดับ
สวนสนุกถูกดูดกลืนหายไปในค่ำคืน
ผมเกลียดโลกใบนี้เหลือเกิน แต่ก็ยังรู้สึกว่าเป็นโลกที่สวยงาม แม้จะมีเรื่องเศร้าที่ทำใจไม่ได้มากมาย แม้จะมีเรื่องที่ไม่สมเหตุสมผลเกินรับได้มากมาย แต่กระนั้น ผมไม่นึกโกรธเคืองที่ได้เกิดมายังโลกใบนี้ในฐานะมนุษย์ แทนที่จะเป็นดอกไม้ นก หรือดวงดาว
จดหมายที่แลกกับคิริโกะในวันวาน เพลงที่ได้พิงไหล่ฟังด้วยกัน ดวงจันทร์ที่ได้มองอยู่ในคลอง ความอบอุ่นในมือที่ประสาน จูบแรกที่สุสาน จังหวะการหายใจของร่างบางที่พิงไหล่ เปียโนที่เล่นด้วยกันในอพาร์ตเมนต์อันทึมแสง
ตราบใดที่ยังมีความทรงจำอันสวยงามเหล่านี้ ผมก็หันหลังให้กับโลกใบนี้แล้วจับมือไปกับมันได้
จนท้ายที่สุด ผมเห็นภาพม้าหมุน อาจจะเป็นภาพของโลกที่คิริโกะใช้แรงเฮือกสุดท้ายฉายให้ผมเห็น คงเป็นโลกที่ทุกความเศร้าโศกถูกทำให้กลายเป็น ‘เรื่องที่ไม่เคยเกิดขึ้น’
เป็นพวกเราตอนเด็กที่นั่งม้าหมุนกันพลางหัวเราะ ยื่นมือออกไปจนปลายนิ้วสัมผัสกัน ตัวม้าขยับขึ้นลงอย่างเชื่องช้าคล้ายเปลกล่อมเด็ก เพลงคล้ายที่เคยฟังในฝันตอนฝันถึงสมัยอนุบาลเปิดคลอ แสงไฟประดับประดาระยิบระยับท่ามกลางความมืดมิด
ผมอยากเห็นบรรยากาศอย่างนี้ไปตลอดกาล ทว่าภาพเหล่านั้นก็อยู่ได้เพียงชั่วครู่ราวไม้ขีดไฟที่ถูกจุด
หิมะที่ตกเริ่มถมตามไหล่กับหัว เปลือกตาของผมปิดลง สติค่อย ๆ เลือนหายไปจากร่าง ช่วงเวลาอันมีค่าที่เต็มไปด้วยคำโกหกและความผิดพลาดมาถึงจุดจบเสียที
สิ่งเดียวที่ควรค่าแก่การทิ้งท้ายไว้ให้คิริโกะผู้ซึ่งผ่านชีวิตอันหนักหนาสาหัสกว่าใครคงเป็นคำพูดที่ดูบ้าบอนี้เท่านั้น
ผมลูบหัวคิริโกะอย่างอ่อนโยนแล้วเอ่ยคำนั้นออกมา
– แ ล ะ แ ล้ ว บ า ด แ ผ ล จ ะ ล บ เ ลื อ น –
โอ๋เอ๋ เพี้ยง หาย