แม่สาวเข็มเงิน - ตอนที่ 430 ได้เวลาลาจาก
ตอนที่ 430 : ได้เวลาลาจาก
หลังจากเหตุการณ์ขโมยปิ่นปักผมผ่านไป เจียงป่าวชิงก็ไม่เห็นพระชายารองอิง
ในจวนอีกเลย ว่ากันว่านางถูกส่งไปยังวัดของครอบครัวเพื่อสวดขอพรให้พระ นางเจียฮุย ส่วนพวกหญิงชราในเหตุการณ์วันนั้นอย่างเช่นแม่นมซุนและพรรค พวก เจียงป่าวชิง ได้ยินสาวใช้ของอันหย่วนส่วนพูดกันว่าถูกตีสามสิบไม้กระดาน
และถูกเนรเทศไปทํางานที่ใช้แรงมากในชนบท
เจียงป่าวชิงไม่มีอะไรจะพูดกับผลลัพธ์นี้ เพียงแค่สามารถรับประกันได้ว่านางจะ
อยู่ในจวนอย่างปลอดภัยจนกระทั่งรักษาพระนางเจียฮุยจนเสร็จก็เพียงพอแล้ว
หลังจากเรื่องนี้ หลินหยุนชอบมานั่งดูเจียงป่าวชิงบ่อยครั้ง นางเป็นคนไม่ค่อย พูด และที่นางมาหาเจียงป่าวชิงนั้นก็ไม่ได้จะมาพูดคุยกันแต่อย่างใด เพียงแค่มา นั่งเฉย ๆ เท่านั้น
แรกเริ่มเจียงป่าวชิงรู้สึกเกร็ง ๆ แต่โชคดีที่หลินหยุนเป็นคนเงียบ ๆ นิสัยก็
อ่อนโยน นางมานั่งเงียบ ๆ ไม่ได้รบกวนเจียงป่าวชิงแต่อย่างใด เจียงป่าวชิงจึง
ปล่อยเลยตามเลย
หลังจากที่พระนางเจียฮุยฟื้นขึ้น นขึ้นมา อาการประชวรของนางก็ค่อย ๆ คงทีและดีขึ้น หลังจากที่ได้รับการบํารุงรักษาอย่างต่อเนื่อง เพียงแต่อาการปากเบี้ยวตาเขมิใช่ อาการที่รักษาให้หายดีได้ภายในเวลาอันสั้น จะว่าไปแล้วยังคงต้องเหนื่อยอีกสัก หน่อย ไม่เพียงเท่านี้ ร่างกายส่วนใหญ่ยังคงขยับไม่ได้อีกด้วย
ทว่าแม้จะเป็นเช่นนี้ แต่ความคืบหน้าก็ดีขึ้นกว่าเดิมมาก
พระชายาเองก็ใกล้ชิดกับเจียงป่าวชิงมากขึ้น บ้านพ่อแม่ของนางส่งหนังฟอกชั้นดี
มาให้สองสามแผ่น พระชายาทําเสื้อขนสุนัขจิ้งจอกให้หลินหยุน และทําให้เจียง ป่าวชิงด้วยเช่นกัน รูปแบบของเสื้อขนทั้งสองถึงกับคล้ายกันมาก แต่เจียงป่าวชิง สูงกว่าหลินหยุนเล็กน้อย เสื้อขนสุนัขจิ้งจอกตัวของนางจึงดูแล้วยาวกว่าหน่อย ส่วนปลายเป็นลายสีเข้มของหมอกกับแสงอาทิตย์ ในขณะที่ส่วนปลายเสื้อขน สุนัขจิ้งจอกของหลินหยุนเป็นหนังกลับสีลิ้นจี่ หากว่ามองอย่างไม่ละเอียดก็ แทบแยกความต่างของเสื้อทั้ง ทั้งสองผืนไม่ออกเลย
หลินหยุนชื่นชอบเสื้อขนสุนัขจิ้งจอกผืนนี้มา สุนัขจิ้งจอกผืนนี้มาก ออกไปชมหิมะกี่ครั้งนางก็มัก สวมเสื้อขนตัวนี้แทบทุกครั้ง
หลังจากสามวันของหิมะตกที่ยิ่งใหญ่ในเดือนสิบสอง ในที่สุดเจียงป่าวชิงก็บอก
กับพระชายาว่าอาการประชวรของพระนางเจียฮุยคงที่แล้วและถึงเวลาที่ต้องจาก
ลา แต่ถึงอย่างไร นางยังจะคอยมาดูแลในลักษณะของการมาเยี่ยมเยียนเป็นระยะ แทน นอกจากนี้ นางยังบอกกับพระชายาว่าบรรดาหมอหลวงต่างก็มี
ประสบการณ์ในการรักษาอัมพาตเช่นกัน
สําหรับพระชายานั้น นางบอกเจียงป่าวชิงว่าจะอยู่ที่นี่หรือไม่ก็
หรือไม่ก็ได้แล้วแต่ความ
สะดวก แต่ยืนพิ นพื้นนางก็เข้าใจอยู่ว่าเด็กสาวเจียงออกมาจากบ้านของนางได้กว่าสิบ
วันแล้ว นางคงคิดถึงพี่น้องที่บ้าน
แน่นอนว่าเจียงป่าวชิงคิดถึงพี่น้องที่บ้านจริง ๆ แม้พระชายาจะขอให้อยู่ต่ออย่าง
กระตือรือร้น แต่นางตัดสินใจแล้ว พระชายาจึงไม่สามารถบังคับนางได้ หลังจาก เรื่องของพระชายารองอิง จวนองค์ชายหย่งชิ้นก็เหมือนต้องการสนองความ
ต้องการรวมถึงอํานวยความสะดวกทุกอย่างให้นางอย่างเต็มที่ พวกเขาปฏิบัติต่อ นางอย่างดีและไม่มีเหตุการณ์น่าปวดหัวอะไรเกิดขึ้นอีก
ในเมื่อรั้งให้อยู่ต่อไม่ได้ พระชายาจึงปล่อยมือ นางจัดเก็บสิ่งของให้กับเจียงป่าว
ชิงพร้อมยัดของรางวัลให้เต็มรถม้า
พระชายาจับมือเจียงป่าวชิงแล้วพูดด้วยความรักใคร่เอ็นดู “แม่นางเจียง เจ้าเป็น เด็กดี หยุนเอ๋อร์เองก็ถูกชะตาต่อเจ้าเช่นกัน ต่อไปถ้าเจ้าว่างก็มาเที่ยวหาหยุนเอ๋อร์ ที่จวนบ่อย ๆ นะ นางมีนิสัยกระดากอายมาตั้งแต่เกิด แต่นางเป็นตัวเองเสมอตอน ที่อยู่กับเจ้า”
หลินหยุนหน้าแดงก่ําขณะมองเจียงป่าวชิงอย่างเก้ ๆ กัง ๆ “ป่าวชิง ได้ไหมจ๊ะ
?”
เจียงป่าวชิงรู้สึกปวดศีรษะเล็กน้อย นิสัยของผู้ใหญ่สมัยโบราณที่เอะอะก็จับมือ
ชนรุ่นหลังและเอ่ยสั่งอย่างกระตือรือร้นทําให้คนเย็นชาอย่างนางไม่ค่อยคุ้นชิน
ฝั่งตรงข้ามคือพระชายาผู้มีศักดิ์สูงส่งมาก นางจึงไม่สามารถชักมือออกมาเพื่อละ ทิ้งศักดิ์ศรีของพระชายาได้ ทําได้เพียงยึดใบหน้าที่ไม่มีอารมณ์ใด ๆ และพยัก หน้ารับเท่านั้น
พระชายากับหลินหยุนองค์หญิงเล็กต่างก็รู้สึกพึงพอใจอย่างมาก
ทว่า…. เพิ่งพูดคําร่ําลากันจบ ตอนที่พระชายายกมือ เจียงป่าวชิงก็เห็นมีหลิวถือห่อ ผ้าสีเทาเดินออกมาอย่างเชื่องช้า
พระชายาหวังดี นางเอ่ยขึ้น “ข้าเห็นว่าสาวใช้คนนี้รับใช้เจ้าเป็นอย่างดีจึงยกนาง ให้ติดตามไปดูแลเจ้าด้วย อ้อ ยังมีสุนถาวอีกคน แต่นางได้รับบาดเจ็บที่ขาจึงให้ นางรักษาร่างกายที่จวนไปก่อน เมื่อหายดีแล้วข้าค่อยส่งนางไปหาเจ้าในภายหลัง
ส่วนโฉนดขายของสาวใช้ทั้งสองก็ใส่ลงไปในกล่องให้แล้วนะจ๊ะ”
สาวใช้ในยุคโบราณสามารถส่งไปส่งมาได้ตามความประสงค์ของผู้เป็นเจ้านาย
เพราะในสายตาของชนชั้นปกครองนี้ คนรับใช้พวกนี้ไม่นับได้ว่าเป็นมนุษย์ ถ้า หากว่าเจอคนจิตใจดีก็ยังเห็นชีวิตคนเป็นชีวิตคนอยู่บ้าง แต่ถ้าหากว่าเจอกับคนที่
ชอบกวนน้ําให้ขุ่นอยู่ตลอดเวลา ไม่แน่อาจจะต้องกินอยู่รับใช้บ้านนี้ไปจนนั้น
ปลายชีวิตเลยก็ได้
หลินหยุนองค์หญิงเล็กไม่ใช่คนที่ชอบนินทาผู้อื่น แต่นางมักไม่รู้จะพูดอะไรใน
ตอนที่อยู่กับเจียงป่าวชิง บางครั้งนางก็พูดเล่าไปถึงสิ่งที่เกิดขึ้นในเมืองหลวง ในช่วงนี้ ประมาณว่าเล่าเรื่ เล่าเรื่องหลังบ้านของคนใหญ่คนโตบางคนเช่นว่าแอบแบก ศพจํานวนหนึ่งออกจากบ้านอีกแล้ว แต่ก็พบเจอกับผู้คนระหว่างทางเสียก่อน เรื่องของคนใหญ่คนโตคนนั้นจึงถูกพูดต่อ ๆ กันออกไปทําให้ถูกขุนนางในราช สํานักเขียนรายชื่อลงไปในเล่มรายชื่อรอลงโทษ แต่โทษฐานที่โดนบันทึกกลับ
ไม่ได้เกี่ยวกับเรื่องการเห็นชีวิตคนเป็นผักปลา แต่กลับเขียนไว้ว่าไม่ฝึกฝนคน
หลังบ้านให้ดี คนที่ไม่สามารถบริหารหลังบ้านของตัวเองให้ดีได้จะอุทิศตนรับใช้ ราชสํานักได้อย่างไร
คนใหญ่คนโตคนนั้นถูกตักเตือนจากเรื่องนี้และไม่มีสิ่งอื่นใดอีก
ชีวิตไม่กี่ชีวิตถูกโยนทิ้งอย่างลวก ๆ ที่หลุมศพขนาดใหญ่บนเนินเขานอกเมือง หลังจากนั้นไม่มีใครพูดถึงพวกเขาอีกเลย
แม้เป็นเช่นนี้แต่เจียงป่าวชิงยังคงปฏิเสธ “ขอบคุณสําหรับความหวังดีของพระ ชายาเจ้าค่ะ แต่เดิมทีที่บ้านข้าน้อยเป็นแค่ครอบครัวเล็ก ๆ ที่สําคัญเราอยู่กัน ค่อนข้างแออัดเล็กน้อย ซึ่ง…”
ทว่าพระชายาหัวเราะคิกคัก นางดูเหมือนไม่นําเรื่องนี้มาใส่ใจแม้แต่น้อย “ ไม่
เป็นไร ๆ ข้ายังมีโฉนดบ้านอีกหลายหลังเพียงข้ามอบให้เจ้าสักหลังก็น่าจะไม่ เป็นปัญหา”
เจียงป่าวชิงรู้สึกตกใจมาก นางไม่ได้เห็นเงินทองเป็นฝุ่นละออง แต่ก็ต้องดูด้วยว่า นางมีความสามารถมากพอที่จะรับทรัพย์สินยิ่งใหญ่ขนาดนี้หรือไม่ ยิ่งกรณีนี้ ทางพระชายามอบรางวัลให้ตั้งหนึ่งรถม้าแล้ว แม้ชีวิตพระนางเจียฮุยจะล้ําค่ามาก เพียงใด แต่ค่ารักษาหนึ่งคันรถม้าก็ถือว่าเหลือเฟือ มาตอนนี้ยังจะให้สาวใช้กับ บ้านอีก รางวัลเหล่านี้มากเกินไปจริงๆ
เจียงป่าวชิงทําสีหน้าขมขื่นขณะที่คารวะพระชายา “เรื่องบ้านไม่ต้องหรอกเจ้าค่ะ ข้าน้อยรู้ว่าพระชายาหวังดี เพียงแต่ครอบครัวของข้าน้อยยากจน พวกเราพึ่งพา ตนเองเสมอมา ไม่จําเป็นต้องใช้สาวใช้หรอกเจ้าค่ะ….”
พระชายามีท่าทีสงบ “ไม่เป็นไร คนที่มีความมุ่งมั่นอันแรงกล้าอย่างแม่นางเจียง จะทําสิ่งที่ยิ่งใหญ่ในที่สุด และต้องถูกโอบล้อมด้วยคนใช้ในอนาคตแน่นอน ข้า มั่นใจว่าในภายภาคหน้าเจ้าสามารถเรียกใช้คนรับใช้ได้ตามใจชอบ หรือว่าแม่ นางเจียงกลัวเรื่องเงินที่ได้รับในแต่ละเดือนล่ะจ๊ะ ?” พระชายานึกเรื่องอะไร บางอย่างได้จึงถามออกไปอย่างตรงไปตรงมา “เจ้าไม่ต้องห่วงนะ ในเมื่อเป็นคน ที่ออกไปจากจวนองค์ชาย ดังนั้นเงินในแต่ละเดือนก็จะได้รับจากคลังทรัพย์ของ จวนองค์ชายด้วยเช่นกัน”
เจียงป่าวชิงสูดหายใจเข้าลึก ๆ พระชายาพูดถึงขนาดนี้แล้ว ถ้าหากว่านางปฏิเสธ อีกมันจะดูเป็นการไม่รู้จักอะไรควรไม่ควรเอาได้ นางจึงมองไปที่มีหลิวและ ครุ่นคิดในใจว่าจากที่ได้อยู่ด้วยกันตลอดหลายวันที่ผ่านมา มีหลิวเป็นคนทําอะไร
คล่องแคล่วมาก นิสัยของนางก็สบาย ๆ และจริงใจ ในฐานะสาวใช้ นางเหมาะสม กับตําแหน่งมากจริงๆ
แต่สําหรับตัว “มีหลิว” เองล่ะ นางคิดยังไงที่จะต้องมารับใช้อยู่ในบ้านหลังเล็ก
ๆ
เจียงป่าวชิงถอนหายใจ นางคิดว่าจากในจวนองค์ชายที่งดงามตระการตา ต้อง เปลี่ยนไปอยู่กับครอบครัวธรรมดาซึ่งแออัดและคับแคบ นั่นเหมือนเป็นการถูก
ลงโทษ
สายตาของเจียงป่าวชิงแอบเหลือบมองไปที่พระชายา
มีมีหลิวกับสุนถาวอยู่ด้วย อีกทั้งจะให้เงินในแต่ละเดือนโดยหักมาจากคลัง ทรัพย์สินของจวนอีก นี่แทบเป็นการผูกนางไว้กับจวนองค์ชายหย่งชินอีกครั้ง
เจียงป่าวชิงครุ่นคิดในใจแต่ไม่ได้พูดอะไร ส่วนพระชายาเองก็กําลังรอให้นางคิด เกี่ยวกับเรื่องนี้ด้วยใบหน้ายิ้มแย้มเช่นกัน
ตอนที่กําลังสังเกตมีหลิว มีหลิวก็คุกเข่าให้เจียงป่าวซึ่งอย่างจริงจังก่อนจะโน้ม ศีรษะลงกับพื้นเพื่อทําความเคารพ “แม่นาง ข้าน้อยกับสุนถาวอยากไปรับใช้แม่ นางด้วยความจริงใจจริง ๆ เจ้าค่ะ”
ก็ได้…
เจียงป่าวชิงเก็บสายตาสังเกตมีหลิวกลับมาพลางพยักหน้า ถอนหายใจและพูดขึ้น “อื้ม แต่ถ้าหากว่าเจ้าเกิดเปลี่ยนใจก็อย่าลืมบอกข้าล่ะ”
มีหลิวพูดขึ้นยิ้ม ๆ ด้วยน้ําตาคลอเบ้า “ดูแม่นางพูดสิเจ้าคะ ข้าน้อยจะเปลี่ยนใจ ได้ยังไง”
ก็จริง ต่อให้เปลี่ยนใจในภายหลังแล้วมันจะมีประโยชน์อะไร ตัดสินใจแล้วก็คือ ตัดสินใจแล้ว
เจียงป่าวชิงพูดกับพระชายายิ้ม ๆ “ ในเมื่อพระชายามอบสาวใช้ทั้งสองให้แก่
ๆ
ข้าน้อย ข้าน้อยจะมีเหตุผลอะไรให้พระชายาให้เงินในแต่ละเดือนอีกล่ะเจ้าคะ พระชายาไม่ต้องห่วงเจ้าค่ะ ข้าน้อยรับเอาสิ่งของดีๆ จากจวนองค์ชายไปตั้งหนึ่ง คันรถม้าแล้ว ท่านให้มามากพอแล้วเจ้าค่ะ”
พระชายาหัวเราะคิกคักคล้ายกับไม่นําเรื่องนี้มาใส่ใจ “ ในเมื่อเจ้าพูดเช่นนี้ก็เอา
ตามนั้นเลย”