แม่สาวเข็มเงิน - ตอนที่ 419 พระนางเจียฮุ่ยฟื้น
เดิมทีห้องของเจียงป่าวชิงก็ติดกับห้องของพระนางเจียฮุ่ยอยู่แล้ว นางพุ่งเข้าไปในห้องอย่างรวดเร็ว
ตรงหน้าเตียงของพระนางเจียฮุ่ยมีสาวใช้และแม่นมยืนอยู่สองสามคน แต่ละคนมีสีหน้าตื่นเต้นดีใจ มีบางคนที่ยังคงน้ำตาไหลพรากด้วยความตื้นตัน
แม้ว่าตอนนี้พระนางเจียฮุ่ยจะฟื้นแล้ว แต่อาการปากเบี้ยวตาเขที่เกิดจากอัมพาตยังคงไม่หายเป็นปกติ นางพยายามส่งเสียงออกมาจากปากราวกับกำลังพูดอะไรอยู่แต่กลับไม่มีใครฟังเข้าใจเลยสักคน
แม่นมกุ้ย แม่นมอาวุโสข้างกายพระนางนั่งคุกเข่าน้ำตานองหน้าอยู่ข้างเตียง นางจับมือพระนางเจียฮุ่ยพร้อมทั้งพูดสะอื้นไห้ “พระนางเจ้าขา ท่านอยากพูดอะไรเจ้าคะ ท่านค่อย ๆ พูดสิเจ้าคะ… ข้าน้อยกำลังฟังอยู่ ข้าน้อยอยู่นี่เจ้าค่ะ”
พระนางเจียฮุ่ยส่งเสียงอืออาในลำคอเหมือนกำลังเล่าเรื่องและเหมือนกำลังร้องโหยหวน แม้แต่แม่นมกุ้ยที่จงรักภักดีก็ยังฟังไม่เข้าใจว่าพระนางพูดอะไร
ดูเหมือนพระนางเจียฮุ่ยจะค่อย ๆ ตระหนักได้ถึงอะไรบางอย่าง นางจึงไม่พูดให้เสียแรงเปล่าและเลือกที่จะหลับตาลงอย่างเหนื่อยล้า
เจียงป่าวชิงเดินถือกล่องยาเข้ามา เมื่อแม่นมกุ้ยเงยหน้าขึ้นมาเห็นเจียงป่าวชิง นางก็เช็ดน้ำตาพลางรีบพูดขึ้นอย่างตื่นเต้นดีใจ “หมอเทวดาเจียง เจ้ามาแล้ว รีบมาช่วยดูอาการให้นายท่านของข้าเร็วว่าตอนนี้ท่านอาการเป็นยังไงบ้าง”
อันที่จริงตอนที่พระชายาหาเด็กสาวสวยเกินบรรยายขนาดนี้มารักษาพระนางเจียฮุ่ย แท้จริงแล้วนางก็ค่อนข้างสงสัยเล็กน้อย แต่สถานการณ์ในตอนนั้น ไม่ว่าหมอหลวงในวังหรือหมอพื้นบ้านต่างก็ส่ายหน้าพากันบอกว่าปล่อยให้เป็นไปตามโชคชะตาเพราะไร้ซึ่งหนทางอื่นแล้วจริง ๆ นางจึงทำได้เพียงมองดูเด็กสาวคนนี้แทงนายท่านที่นางติดตามคอยรับใช้มาตั้งแต่เด็กด้วยเข็มเงินมากมาย
โชคดีที่สภาพชีพจรนายท่านของนางดีขึ้นทุก ๆ วัน จนกระทั่งเมื่อสักครู่ ตอนที่นางกำลังป้อนโจ๊กให้พระนางเจียฮุ่ยอย่างเช่นทุกวัน จู่ ๆ ก็พบว่าพระนางเจียฮุ่ยค่อย ๆ ลืมตาขึ้นมาอย่างช้า ๆ
ในชั่วอึดใจนั้น นางแทบอยากสร้างป้ายอายุยืนให้กับเจียงป่าวชิงเสียเดี๋ยวนั้นเลย
แม่นมกุ้ยมีความเคารพนบนอบ นางยกตำแหน่งข้างเตียงให้กับเจียงป่าวชิงด้วยความเต็มใจเต็มที่ เจียงป่าวชิงจึงเดินเข้าไปจับชีพจรให้พระกับนางเจียฮุ่ย แต่สีหน้าของนางกลับไม่ได้ผ่อนคลายเช่นเดียวกับพวกแม่นมกุ้ย
“พระนางเจียฮุ่ย ท่านได้ยินที่ข้าน้อยพูดไหมเจ้าคะ ? ข้าน้อยเป็นหมอที่มารักษาท่านเจ้าค่ะ ถ้าหากว่าท่านได้ยินที่ข้าน้อยพูดก็ขอให้ท่านกะพริบตาสองครั้งนะเจ้าคะ” เจียงป่าวชิงพูดด้วยเสียงอันแผ่วเบา
ผู้ป่วยเป็นอัมพาตจะมีอาการตามมามากมายหลังจากเริ่มมีอาการ ซึ่งการสูญเสียความสามารถในการพูดก็เป็นหนึ่งในอาการหลักที่ตามมาของผู้เป็นอัมพาต ผู้ป่วยบางรายสามารถเข้าใจคำพูดของคนอื่น แต่กลับไม่สามารถถ่ายทอดความหมายของตัวเองออกมาได้จึงต้องพูดเพียงคำง่าย ๆ ที่ไม่ต่อเนื่องกันและคนอื่นฟังไม่เข้าใจ ประเภทนี้จะเรียกว่าความบกพร่องทางด้านการพูด ทว่ายังมีอีกประเภทคือแม้จะพูดได้แต่ก็ไม่เข้าใจที่คนอื่นพูดและไม่เข้าใจสิ่งที่ตัวเองพูด เพียงแค่พูดออกไปอย่างไร้ความหมายเท่านั้น ซึ่งประเภทหลังนี้เรียกว่าความบกพร่องทางด้านความเข้าใจ แต่ถ้าหากว่ามีทั้งสองสภาพการณ์พร้อมกันนั่นเรียกว่าความบกพร่องแบบผสม
เจียงป่าวชิงเห็นว่าพระนางเจียฮุ่ยไม่สามารถพูดได้ ถ้าหากว่าเป็นความบกพร่องทางด้านการพูดก็ดีหน่อย เกรงว่าจะเป็นความบกพร่องแบบผสมนี่สิ ถ้าเป็นเช่นนั้นคงลำบาก ไม่แน่ได้ในภายหลังอาจพัฒนาต่อเนื่องไปเป็นภาวะสมองเสื่อม…
พระนางเจียฮุ่ยค่อย ๆ ลืมตาขึ้นมามองเจียงป่าวชิงราวกับกำลังสังเกต แล้วนางก็ค่อย ๆ กะพริบตาสองครั้ง
เจียงป่าวชิงรู้สึกโล่งใจ หากว่าสามารถฟังเข้าใจก็แสดงว่าอาการของพระนางยังไม่แย่เท่าไหร่นักจึงพูดขึ้นเสียงเบา “พระนางเจียฮุ่ย ท่านลองดูว่าตำแหน่งไหนบนร่างกายของท่านที่สามารถขยับได้อย่างช้า ๆ บ้างเจ้าคะ”
สีหน้าของพระนางค่อนข้างเขียว คล้ายกับกำลังพยายามต่อสู้กับอะไรบางอย่างด้วยความยากลำบากอยู่ ผ่านไปสักครู่นิ้วมือข้างขวาของพระนางถึงจะขยับเล็กน้อย
“ท่านอย่าได้ร้อนใจไปเจ้าค่ะ” เจียงป่าวชิงเห็นว่าใบหน้าแก่ของพระนางเจียฮุ่ยดูสิ้นหวังเล็กน้อย ก็รีบพูดปลอบด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “อาการเช่นนี้เป็นเพียงชั่วคราวเท่านั้นเจ้าค่ะ ท่านพักฟื้นให้สบายพระทัยแล้วทุกอย่างจะค่อย ๆ ดีขึ้นเจ้าค่ะ”
เสียงของเจียงป่าวชิงเบาและปนด้วยน้ำเสียงไพเราะที่มีเฉพาะในเด็กผู้หญิง แต่ความสบายใจในคำพูดเหล่านั้นดูเหมือนจะมีความนุ่มนวลสะสมมาหลายปี สายตาของพระนางเจียฮุ่ยเลื่อนมาหยุดอยู่บนใบหน้าของเจียงป่าวชิงสักครู่ แล้วนางก็ค่อย ๆ หลับตาลง
แม่นมกุ้ยดูอยู่ด้านข้างด้วยหัวใจเต้นรัว นางอายุมากแล้ว เคยเห็นผู้คนจำนวนมากที่เสียชีวิตจากการเป็นอัมพาต ช่วงเวลาที่พระนางเจียฮุ่ยไม่ได้สติ นางรู้สึกกลัว กลัว และกลัวแทบทุกขณะ กว่าจะรอจนพระนางฟื้นขึ้นมาในตอนนี้ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย และดูสิ… ในตอนนี้ท่านหลับตา ไม่รู้ว่านอนหรือว่า…
แม่นมกุ้ยรู้สึกไม่สบายใจเอาเสียเลย ทว่าเจียงป่าวชิงเหมือนรู้สึกได้จึงพูดขึ้นเสียงเบา “พระนางเจียฮุ่ยท่านเหนื่อยล้าและหลับไปแล้วจ้ะ พวกเราเองก็ลดเสียงให้เบาลงหน่อยจะได้ไม่รบกวนพระนางจ้ะ”
แม่นมกุ้ยโล่งอก ตอนนี้นางรู้สึกซาบซึ้งตื้นตันต่อความช่วยเหลือของเจียงป่าวชิงเป็นอย่างยิ่ง นางพยักหน้าอย่างต่อเนื่องพร้อมรับฟังตามที่เจียงป่าวชิงบอก
เจียงป่าวชิงยิ้มพลางรีบไปเขียนใบรายการยาใบใหม่ที่ห้องด้านนอก ในเมื่อพระนางเจียฮุ่ยฟื้นแล้ว ใบรายการยานี้ต้องปรับเปลี่ยนยาไปตามอาการด้วย เมื่อเขียนเสร็จ นางครุ่นคิดสักครู่ก่อนที่จะเขียนใบรายการยาอีกใบ เสร็จแล้วนำใบรายการยานั้นส่งให้กับแม่นมกุ้ย “รบกวนแม่นมช่วยนำใบรายการยานี้ไปส่งให้กับหมอหลวงที่ตรวจอาการอยู่ในจวนด้วยนะจ๊ะ”
น้ำเสียงของแม่นมกุ้ยแหบเล็กน้อย นางพูดอย่างเคารพ “ข้าเชื่อในทักษะการรักษาโรคของหมอเทวดาเจียงแล้วจ้ะ เพียงแต่ใบรายการยานี้เป็นกฎของจวนองค์ชาย หวังว่าหมอเทวดาเจียงจะไม่ถือสานะ”
แน่นอนว่าเจียงป่าวชิงไม่ถือสา การไปหยิบยาหลังจากผ่านตาของหมอหลวงแล้วนั้น ไม่เพียงแต่เป็นการคำนึงถึงความปลอดภัยของพระนางเจียฮุ่ยอย่างเดียว แต่ยังเป็นหลักประกันให้กับตัวนางอีกด้วย เพื่อจะได้ไม่มีคนวางกลเล่นแง่อะไรกับรายการยา เพราะถ้าเกิดเรื่องอะไรขึ้นมา ต่อให้นางมีสิบปากก็คงอธิบายแก้ต่างอะไรไม่ได้
เจียงป่าวชิงนำใบรายการยาอีกใบที่เขียนเมื่อสักครู่ส่งให้ชิงหวายที่อยู่ในห้อง ด้านในล้วนเป็นอาหารตุ๋นยาจีนที่เหมาะสำหรับบำรุงผู้ป่วยอัมพาต
ตอนนี้พวกสาวใช้ที่อยู่ในห้องของพระนางเจียฮุ่ยต่างมองว่าเจียงป่าวชิงเป็นหมอเทวดากลับชาติมาเกิด ชิงหวายถือใบที่ระบุชื่ออาหารตุ๋นยาจีนหลายรายการนั้นด้วยน้ำตาคลอเบ้า “แม่นางเจียง พวกเราไม่รู้ว่าควรขอบคุณแม่นางยังไงดี…”
เจียงป่าวชิงโบกมือไปมา “ไม่เป็นไรเลย นี่เป็นหน้าที่ของข้าอยู่แล้วจ้ะ”
เวลานี้ คงเป็นเพราะได้รับข่าวคราวที่ว่าพระนางเจียฮุ่ยฟื้นแล้ว พระชายากับองค์หญิงเล็กจึงมาที่นี่อย่างพร้อมเพรียงกัน
มีสาวใช้ไปกระซิบข้างกายพระชายา คงจะบอกเรื่องสถานกาณ์ตอนนี้ให้พระชายารับรู้ พระชายาจึงพยักหน้าเบา ๆ แล้วสั่งหลินยู่หยุนองค์หญิงเล็กสองสามคำ จากนั้นทั้งสองก็ก้าวฝีเท้าเบา ๆ มาตรงหน้าเตียงของพระนางเจียฮุ่ยและมองพระนางที่กำลังนอนหลับโดยไม่ได้เอ่ยคำใดอยู่สักพัก
ผ่านไปครู่หนึ่งพระชายาก็พาองค์หญิงเล็กกลับห้องด้านนอก นางถามเจียงป่าวชิงเกี่ยวกับเรื่องอาการประชวรของพระนางเจียฮุ่ย หลังจากที่รู้ว่าอาการประชวรของพระนางกำลังดีขึ้นอย่างช้า ๆ เพียงแค่ต้องรอเวลาเท่านั้น สีหน้าปลื้มอกปลื้มใจพลันปรากฏขึ้นมาบนใบหน้าของนางทันที
“ตอนที่ข้าเข้ามาในจวนองค์ชายครั้งแรกข้ารู้สึกกังวลอย่างยิ่ง” พระชายาค่อย ๆ พูดขึ้น “เป็นพระนางเจียฮุ่ยที่มักคลายกังวลและปลอบใจให้ข้าเสมอ เมื่อพระชายารองอิงเข้าจวนมาในภายหลัง ก็เป็นพระนางที่คอยหนุนหลังให้ข้า…”
หลินยู่หยุนเรียก “ท่านแม่” ออกมาด้วยเสียงแผ่วเบา
พระชายาตีมือหลินยู่หยุนราวกับกำลังปลอบใจ “ไม่เป็นไร เรื่องมันผ่านไปแล้ว”
หลินยู่หยุนน้ำตาคลอเบ้า
เจียงป่าวชิงไม่มีเจตนาเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับความรักและความเกลียดชังภายในจวนองค์ชายหย่งชิน นางทำเพียงก้มหน้าจิบชาโดยไม่ได้พูดอะไร
พระชายามองปฏิกิริยาของเจียงป่าวชิงแล้วยิ้มเล็กน้อย เมื่อสักครู่ตอนที่นางรู้ว่าพระนางเจียฮุ่ยฟื้นแล้ว อารมณ์อึดอัดขุ่นมัวหลายวันก็ยากที่จะชะลอลงได้ นางถึงได้พูดมากเช่นนั้น แต่เด็กคนนี้เป็นเด็กที่มีรูปโฉมงดงามยิ่งนัก ไม่เพียงหน้าตาจิ้มลิ้มน่ารักอย่างเดียว ทักษะรักษาโรคของนางยังล้ำเลิศเกินใคร
พระชายาลอบถอนหายใจ นางได้ยินมาแล้วว่าเด็กคนนี้เป็นคนที่กงจี้ถูกตาต้องใจ และไหนจะยังมีจี้หยกนั้นห้อยอยู่ตรงเอวของนางอีก ไม่แน่นางอาจมีความสัมพันธ์อันดีกับพวกคนสูงส่งก็เป็นได้
ถิงเอ๋อร์ของนางถึงวัยที่ต้องพูดเรื่องการแต่งงานแล้ว คงจะดีถ้าได้นางมาเป็นพระชายารองของถิงเอ๋อร์
ความคิดมากมายฉายวาบขึ้นมาในหัวของพระชายา นางพูดด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม “ต้องรบกวนแม่นางเจียงดูแลอาการประชวรของพระนางเจียฮุ่ยด้วยนะ”
เจียงป่าวชิงโค้งตัวเล็กน้อย “เป็นหน้าที่ของข้าน้อยอยู่แล้วเจ้าค่ะ”
.