แม่สาวเข็มเงิน - ตอนที่ 414 พบกงหย่าหรูอีกครั้ง
เจียงป่าวชิงรู้สึกตกใจ นางมองมี่หลิวที่ร้อนใจจนเบ้าตาแดงก่ำแล้วคิดว่าทั้งมี่หลิวกับสุนถาวสาวใช้สองคนนี้ดูแลนางอย่างเต็มที่จึงไม่สามารถเพิกเฉยต่อเรื่องนี้ได้ นางเร่งจัดการกับสภาพจิตใจของตัวเองแล้วพูดด้วยน้ำเสียงหนักแน่น “เจ้าอย่าได้ร้อนใจ เล่าเรื่องทุกอย่างให้ข้าฟังว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่”
มี่หลิวไม่ใช่คนลุกลี้ลุกลนจนเกินงามเมื่อเจอกับเหตุการณ์น่าตกใจ ทว่าแม้นางกับสุนถาวจะไม่ใช่พี่น้องแท้ ๆ แต่ตั้งแต่เข้ามาในจวนองค์ชายหย่งชินตอนห้าขวบ พวกนางก็อยู่ด้วยกันมาตลอดไม่เคยแยกจากกันซึ่งเป็นความสัมพันธ์ที่ไม่ธรรมดา พวกนางใกล้ชิดกันยิ่งกว่าน้องสาวแท้ ๆ ในบ้านของนางเสียอีก เมื่อเกิดเรื่องขึ้นกับสุนถาว นางจึงต้องวิ่งโร่มาขอความช่วยเหลือจากเจียงป่าวชิงภายใต้ความกังวลและความร้อนใจของตัวเอง
อันที่จริง มี่หลิวเองก็ไม่ได้มีความมั่นใจอะไรมากนัก นางแค่รับใช้เจียงป่าวชิงเพียงไม่กี่วัน ถือได้ว่าเป็นความสัมพันธ์ระหว่างเจ้านายและผู้รับใช้ชั่วคราว นอกจากนี้เจียงป่าวชิงไม่ได้เป็นคนชอบแสดงอารมณ์ออกมาทางสีหน้า นางมักพูดและหัวเราะบ่อย ๆ แต่มี่หลิวกลับไม่สามารถเดาได้ว่านางคิดอะไรอยู่ในใจ
เมื่อได้ยินเจียงป่าวชิงพูดเช่นนี้ มี่หลิวก็โล่งใจไปเปลาะหนึ่ง นางสูดหายใจเข้าลึก ๆ พยายามทำให้ตัวเองสงบลง “เนื่องจากวันนี้มีงานเลี้ยงชมดอกเหมย กำลังคนในสวนจึงมีไม่เพียงพอ สุนถาวถูกย้ายให้ไปช่วยเหลือที่นั่นเจ้าค่ะ ถ้าพูดตามหลักงานก็ไม่ได้หนักหนาอะไร ไปช่วยจัดสถานที่เสร็จก็กลับมาได้แล้ว แต่จนถึงตอนนี้สุนถาวก็ยังไม่กลับมา ข้าน้อยเกรงว่าจะเกิดเรื่องอะไรขึ้นจึงไปดูด้วยตัวเอง แต่ใครจะไปคิดว่าข้าน้อยต้องมาเห็นสุนถาวกำลังคุกเข่าอยู่ที่นั่น สาวใช้ข้าง ๆ แอบบอกกับข้าน้อยว่าสุนถาวทำเหล้าหกใส่ชายเสื้อของคุณหนูสองจากจวนฉานเฟิงโฮ่วอย่างไม่ระวัง คุณหนูสองโกรธจัดและลงโทษนางด้วยการให้นั่งคุกเข่าเป็นเวลาสองชั่วยามเจ้าค่ะ…”
มี่หลิวเล่าเหตุการณ์พลางสะอื้นไห้ “จริงอยู่ที่สุนถาวมีความผิด แต่ตอนนี้อากาศหนาวจัดแล้วนางยังถูกสาดด้วยน้ำชาทั้งตัวอีกด้วย อากาศหนาว ๆ เช่นนี้ไม่แน่นางอาจจะ…”
มี่หลิวไม่ได้พูดต่อแต่เจียงป่าวชิงเข้าใจคำพูดที่ยังพูดไม่จบของนางได้ ต่อให้โชคดีที่ไม่แข็งตาย ถ้าหากว่าถูกความหนาวทำร้ายจนรุนแรงเกินไปหรือป่วยหนัก โดยทั่วไปแล้วไม่มีทางอยู่รอดได้ในจวนองค์ชายหย่งชินแห่งนี้เป็นแน่
เจียงป่าวชิงถอนหายใจ “องค์หญิงไม่อยู่รึ ?”
ถ้าจะพูดอย่างไม่น่าฟังคือตีหมาต้องดูเจ้าของ คุณหนูสองของตระกูลฉานเฟิงโฮ่วคนนั้นมาที่งานเลี้ยง แม้ไม่พอใจเอามาก ๆ แต่มันก็มากเกินไปที่มาทำกร่างน่าเกรงขามในบ้านเจ้านายของผู้อื่นเช่นนี้
มี่หลิวก้มหน้า “องค์หญิงอยู่เจ้าค่ะ… แต่องค์หญิงท่านอ่อนโยน แล้วคุณคุณหนูสองของจวนฉานเฟิงโฮ่วคนนั้นเป็นคนมีเบื้องหลัง นิสัยก็เผด็จการมาแต่ไหนแต่ไร คิดว่าองค์หญิงเองก็คงจะเปลี่ยนความคิดของนางไม่ได้เจ้าค่ะ… อีกอย่าง สุนถาวเองก็เป็นแค่สาวใช้ธรรมดาในจวนก็เท่านั้น”
เจียงป่าวชิงมองมี่หลิวอย่างครุ่นคิด “เอาล่ะ เจ้ารอข้าที่นี่สักครู่ ข้าจะไปสั่งงานเกี่ยวกับเรื่องของพระนางเจียฮุ่ยก่อน ถึงยังไงสุนถาวก็ดูแลข้า ข้าจะไปดูและพยายามช่วยอย่างเต็มที่”
มี่หลิวคุกเข่าลงอีกครั้งแล้วโน้มศีรษะติดพื้นอย่างแรงเพื่อทำความเคารพเจียงป่าวชิง
โชคดีที่ห้องของพระนางเจียฮุ่ยปูด้วยพรมห่อดอกไม้ที่เป็นเครื่องบรรณาการจากเขตตะวันตก เช่นนี้จะได้ไม่ทิ้งร่องรอยใด ๆ ไว้บนศีรษะหากว่ากระแทกศีรษะลงไปอย่างแรง แต่สามารถจินตนาการได้ว่ามี่หลิวกระแทกศีรษะหนักแค่ไหนได้จากเสียง “ปึง” ที่ฟังแล้วอึดอัดเสียงนั้น
เจียงป่าวชิงดึงตัวนางขึ้นมาโดยไม่พูดอะไร ก่อนจะหมุนตัวกลับเข้าไปตรงหน้าพื้นที่ยกสูงซึ่งมีร่างของพระนางเจียฮุ่ยนอนอยู่
คนที่คอยปรนนิบัติอยู่ตรงหน้าพระนางเจียฮุ่ยในตอนนี้คือชิงหวาย สาวใช้ข้างกายของพระนางผู้ซึ่งเป็นคนที่ทำงานดีที่สุด เจียงป่าวชิงกำชับด้วยเสียงแผ่วเบา ส่วนชิงหวายก็พยักหน้าอย่างต่อเนื่อง
เมื่อทุกอย่างถูกจัดเตรียมเรียบร้อยแล้ว เจียงป่าวชิงเดินไปหามี่หลิวแล้วพูดขึ้นเสียงเบาว่า “เอาล่ะมี่หลิว ข้ายังไม่ค่อยคุ้นชินกับเส้นทางในจวนเท่าไหร่นัก เจ้านำทางเถอะ”
ต้องบอกว่าตำแหน่งที่ตั้งของอันหย่วนย่วนในจวนองค์ชายหย่งชินนั้นห่างไกลมากจริง ๆ มี่หลิวพาเจียงป่าวชิงเดินอ้อมไปมา หลังจากเดินกันมาเป็นเวลานาน ป่าเหมยที่ใช้สำหรับจัดงานเลี้ยงชมดอกเหมยก็ค่อย ๆ ปรากฏแก่สายตาอย่างเลือนราง
นี่เป็นครั้งแรกที่เจียงป่าวชิงมาที่นี่ เมื่อเห็นดอกเหมยท่ามกลางบรรยากาศเต็มไปด้วยต้นไม้ ราวกับแสงสีแดงอันสวยงามตระการตา รับกับหิมะสีขาวที่อยู่ระหว่างยอดไม้ นางก็คิดว่ามันช่างดูสวยงามจริง ๆ
เมื่อเดินเข้าไปใกล้ก็เห็นว่ามีศาลาเล็ก ๆ อยู่ในป่าเหมยนั้น คงสร้างมาเพื่อให้ชมทิวทัศน์โดยเฉพาะ ขณะนี้ม่านประตูที่ทั้งหนาทั้งหนักถูกม้วนขึ้นเป็นที่เรียบร้อยเเล้ว และเมื่อนั่งอยู่ในศาลาก็จะเห็น ดอกเหมยที่น่าสนใจมากขึ้นอยู่เต็มตรงป่าด้านนอก
“แม่นาง ทางนี้เจ้าค่ะ” มี่หลิวเดินนำทางแล้วพูดขึ้นเสียงเบา
เจียงป่าวชิงเดินตามมี่หลิวซึ่งต้องอ้อมมากกว่าครึ่งจากด้านนอกของป่าเหมย จากนั้นก็เห็นที่ที่ค่อนข้างบางตาตรงส่วนท้ายของป่าซึ่งมีการสร้างเส้นทางเล็ก ๆ ปูด้วยหินแปลก ๆ แลดูขรุขระลึกเข้าไปในป่า
สุนถาวคุกเข่าอยู่บนทางเดินใต้ต้นเหมยแก่ ๆ ด้วยเนื้อตัวที่สั่นเทา
ตอนนี้ไม่มีคนอยู่บริเวณโดยรอบเลย มี่หลิวจึงวิ่งเข้าไปหาสุนถาวด้วยน้ำตาคลอเบ้า ใบหน้าของสุนถาวเริ่มคล้ำเขียวเพราะความหนาวอีกทั้งริมฝีปากก็ม่วงแล้ว น้ำตาของนางพลันหลั่งรินลงมาอย่างควบคุมไม่อยู่ทันทีที่ได้เห็น
สุนถาวดูเหมือนหนาวจนไม่มีความรู้สึกอะไรหลงเหลือ สติสัมปชัญญะของนางก็เลือนราง นางอยากพูดอะไรบางอย่าง แม้ริมฝีปากของนางจะขยับเล็กน้อยแต่นางกลับพูดไม่ออก
เนื่องจากถูกสาดน้ำชาใส่ศีรษะ ไหนจะคุกเข่าอยู่ในสภาพอากาศที่หนาวจัดเช่นนี้เป็นเวลานาน น้ำชาจึงแข็งติดอยู่บนใบหน้าของนางเป็นที่เรียบร้อย
เจียงป่าวชิงรีบปลดเสื้อคลุมบนตัวแล้วนำไปคลุมบนตัวสุนถาวอย่างรวดเร็วพลางห่อเส้นผมของสุนถาวเข้าไปในเสื้อคลุม
ร่างของสุนถาวเล็กกระจุ๋มกระจิ๋ม เสื้อคลุมของเจียงป่าวชิงจึงคลุมทั้งตัวของนางได้เกือบทั้งหมด นางเงยหน้ามองเจียงป่าวชิงคล้ายกับอยากพูดอะไรบางอย่างทว่านางคุกเข่าอยู่ท่ามกลางหิมะเป็นเวลานานจึงไม่สามารถควบคุมร่างกายได้ ทำได้เพียงขยับตัวเล็กน้อยก่อนจะสูญเสียการทรงตัวล้มลงไปบนพื้น
โชคดีที่มี่หลิวรีบพยุงนางไว้ได้ทัน น้ำตานางไหลลงมาเป็นสาย “สุนถาว... เจ้าฝืนไว้อีกหน่อย แม่นางเจียงมาช่วยเจ้าแล้ว”
ตาของสุนถาวเหมือนจะลืมไม่ขึ้นแล้ว นางพยายามลืมตาแต่สุดท้ายทั้งร่างก็อ่อนปวกเปียกและล้มลงไปในอ้อมกอดของมี่หลิวในที่สุด
“นี่พวกเจ้าเป็นใครกัน ? ช่างกล้านักนะ” เสียงยานคางดังขึ้น “ข้าลงโทษสาวใช้คนนี้ให้คุกเข่าอยู่ที่นี่ พวกเจ้ากำลังทำบ้าอะไร ?!”
มี่หลิวเงยหน้าขึ้นอย่างตื่นตระหนกก็เห็นว่าคุณหนูสองของจวนฉานเฟิงโฮ่วคนนั้นกำลังเดินนำคนกลุ่มหนึ่งออกจากจุดที่ลึกของป่าเหมยมาทางนี้อย่างช้า ๆ แต่เดินได้ไม่กี่ก้าว คุณหนูสองคนนั้นกลับหยุดฝีเท้าแล้วขมวดคิ้วราวกับกำลังสังเกตอะไรบางอย่าง
มี่หลิวตกใจ ดูจากสายตาของอีกฝ่ายแล้วเหมือนกำลังสังเกตเจียงป่าวชิงที่อยู่ข้าง ๆ นาง
“เจ้าเป็นใคร ทำไมข้าถึงไม่เคยเห็นเจ้ามาก่อน ?” คุณหนูสองจวนฉานเฟิงโฮ่วมองเจียงป่าวชิงแล้วเอ่ยถามออกมาตรง ๆ
เจียงป่าวชิงทำความเคารพโดยที่ไม่แสดงตัวโอหัง “พระนางเจียฮุ่ยประชวร ข้าเป็นหมอที่มารักษาพระนางเจียฮุ่ยเจ้าค่ะ”
“หมออย่างนั้นรึ ?” คุณหนูสองจวนฉานเฟิงโฮ่วมองเจียงป่าวชิงอย่างไม่ค่อยอยากจะเชื่อ …หมอหญิงคนนี้รูปโฉมงดงามเกินไปหรือเปล่า!
แต่เจียงป่าวชิงกลับยิ้มน้อย ๆ แล้วพยักหน้าให้กับหนึ่งในนั้นที่อยู่ข้างกายคุณหนูสองจวนฉานเฟิงโฮ่ว “คุณหนูกงเป็นพยานให้กับข้าน้อยได้… คุณหนูกงบอกไปสิเจ้าคะว่าใช่ไหม ?”
กงหย่าหรูอยากซ่อนตัวเองอยู่ข้างหลังคนอื่น ๆ ตั้งแต่เห็นเจียงป่าวชิงแล้ว ตอนนี้กลับมาถูกเจียงป่าวชิงเรียกชื่อโดยใช้สมญานาม “คุณหนูกง” อีกต่างหาก นางยืดกายยืนแข็งทื่อทันที ปากก็อยากตะโกนบอกกับพวกคุณหนูในที่นี้ว่าหญิงที่ยืนยิ้มอย่างนุ่มนวลอ่อนโยนตรงหน้าเป็นโจรที่มีแต่เล่พ์เพทุบาย จะเป็นหมอที่มารักษาพระนางเจียฮุ่ยได้อย่างไร!
แต่กงหย่าหรูรู้ดีว่าที่เจียงป่าวชิงจงใจเรียกชื่อนางออกมาในตอนนี้ เห็นได้ชัดว่าอีกฝ่ายกำลังข่มขู่นาง ถ้าหากว่านางไม่เป็นพยานให้ นางแพศยาหน้าด้านคนนี้คงป่าวประกาศว่านางเคยถูกโจรลักพาตัวไปนานหลายเดือนเป็นแน่!
กงหย่าหรูกัดฟันกรามแน่นจนทั้งปากปวดร้าว นางแค่นเสียงออกมาจากในซอกฟันทีละคำ “นะ… นางเป็นหมอจริง ๆ…”