แม่ปากร้ายยุค 80 - ตอนที่ 998 หามาตรการรับมือ
ตอนที่ 998 หามาตรการรับมือ
ตอนที่ 998 หามาตรการรับมือ
เพราะอยู่ในชั้นเรียนปีสุดท้ายแล้ว การเรียนการสอนจึงเหลือไม่มากนัก หลินม่ายจึงทุ่มเทเวลาให้กับธุรกิจเป็นหลัก
วันที่ 1 ตุลาคมเป็นวันเปิดตัวห้องสมุดใหม่อย่างเป็นทางการ และจะต้องได้รับการอนุมัติโดยสมบูรณ์ก่อนวันที่ 20 กันยายน
ก่อนจะได้รับการอนุมัติ หลินม่ายพักอยู่ในห้องสมุดแห่งใหม่โดยมีเพียงอาหารเท่านั้น
โชคดีที่รัฐบาลเทศบาลส่งมอบโครงการนี้ให้กับหลินม่ายโดยตรง ในระหว่างการตรวจสอบ บุคลากรที่เกี่ยวข้องจึงไม่ทำให้เรื่องราวมันยุ่งยากจนเกินไป
ตราบใดที่เป็นไปตามมาตรการ เพียงแค่ได้รับประโยชน์แท้จริง ทุกสิ่งก็สามารถผ่านไปโดยง่าย
มิฉะนั้นหากพบเจออุปสรรคมากเกินไป การอนุมัติอาจจะล่าช้าออกไปอีก
ห้องสมุดแห่งใหม่ผ่านการตรวจสอบ และได้รับการอนุมัติก่อนวันที่ 22 กันยายน และสามารถส่งมอบงานได้สำเร็จ
ผู้นำเทศบาลมาเยี่ยมชมสถานที่แห่งนี้ด้วยตนเอง พวกเขาพึงพอใจกับรูปลักษณ์ วัสดุ และคุณภาพของห้องสมุดใหม่แห่งนี้มาก
เก้าโมงเช้าของวันที่ 1 ตุลาคมคือวันเปิดตัวห้องสมุดใหม่อย่างเป็นทางการ
หลังจากพิธีเปิดงานเสร็จสิ้นแล้ว สถานที่แห่งนี้จะเปิดให้บุคคลทั่วไปเข้าใช้บริการ
ประชาชนจำนวนมากต้องการรับชมว่าห้องสมุดแห่งนี้จะมีหน้าตาอย่างไร พวกเขามายืนรอที่จตุรัสของห้องสมุดใหม่ก่อนเก้าโมงเช้าเสียอีก
ในพิธีเปิดห้องสมุดใหม่ ทางเทศบาลได้เชิญให้หลินม่ายเข้าร่วมงานด้วย
แม้หลินม่ายจะเป็นเพียงนักธุรกิจเอกชน แต่ก็เป็นนักธุรกิจเอกชนที่มีชื่อเสียงที่สุดในประเทศ
ถึงจะไม่มีคุณสมบัติที่จะดำรงตำแหน่ง C แต่ก็ไม่ได้ถูกกีดกันอะไรจากรัฐบาล
ในพิธีเปิดงานวันนี้ หลินม่ายได้พบกับเจ้าหน้าที่รัฐจำนวนมาก เธอได้ขยายขอบเขตเครือข่ายของตนให้กว้างขวางขึ้นด้วยการทำความรู้จักกับพวกเขาอย่างเป็นมิตร
เนื่องจากหลินม่ายเองก็เปิดร้านใหม่อยู่บ่อยครั้ง เธอจึงค่อนข้างมีประสบการณ์ยอดเยี่ยมในการป้องกันคนเหยียบกัน
เธอเริ่มสื่อสารกับผู้นำที่เกี่ยวข้องเกี่ยวกับพิธีเปิดห้องสมุดตั้งแต่เนิ่น ๆ และบอกกล่าวกับพวกเขาถึงวิธีการที่จะไม่ให้ผู้คนเหยียบย่ำกันจนได้รับบาดเจ็บ
ผู้นำเหล่านั้นยอมรับข้อเสนอแนะของเธอ
ดังนั้นหลังจากพิธีเปิดเสร็จสิ้น หน่วยงานที่เกี่ยวข้องต่างปฏิบัติตามคำแนะนำของหลินม่าย และรอดพ้นจากการยื้อแย่งกันเข้าประตูของฝูงชนจำนวนมากได้อย่างราบรื่น
เหล่าประชาชนหลั่งไหลเข้าสู่ห้องสมุดแห่งใหม่ หลินม่ายเองก็เดินติดตามผู้นำเข้าไปในห้องสมุดด้วยเช่นกัน และเสียงโต้แย้งต่าง ๆ ก็เริ่มดังขึ้นภายในนั้น
“ฉันต้องใช้เงินหลายพันหยวนในการรักษาขาของฉัน แล้วที่นี่มันมีอะไร? ใช้เงินไปมากเท่าไหร่? ทำไมฉันจะวางขาของฉันบนเก้าอี้ตัวนี้ไม่ได้?”
ผู้นำหลายคนได้ยินเสียงนั้น ทั้งหมดขมวดคิ้วเข้าหากันทันที
รองผู้อำนวยการห้องสมุดที่มาเดินอยู่ในกลุ่มผู้นำถึงกับเหงื่อแตกพลั่ก
ผู้นำเริ่มตรวจสอบสถานการณ์โดยรอบ อีกทั้งยังมีสถานีโทรทัศน์ติดตามมาทำข่าว ทำไมเกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้นได้
รองผู้อำนวยการนึกคิดในใจว่าอยากจะโยนผู้กระทำความวุ่นวายนี้ออกไป และหักขาหล่อนอีกข้างหนึ่งทิ้งเสีย เพื่อที่จะได้ไม่ต้องมาเหยียบห้องสมุดแห่งนี้อีก
รองผู้อำนวยใช้ผ้าซับเหงื่อเย็นออกจากหน้าผากก่อนจะกล่าวกับผู้นำทั้งหลายว่า “เดี๋ยวผมขอตัวไปดูก่อนนะครับ”
ผู้นำคนหนึ่งกล่าวด้วยสีหน้าเคร่งขรึม “พวกเราก็จะไปดูด้วย”
ก่อนหน้านี้พวกเขาคิดว่าเสียงนั้นอาจจะเป็นชายร่างใหญ่ ทว่ากลับกลายเป็นคุณป้าคนหนึ่ง
ป้านั่งลงพร้อมกับวางขาข้างหนึ่งบนเก้าอี้ของหญิงสาวคนหนึ่ง และหญิงสาวคนนั้นอายุประมาน 17 หรือ 18 ปีเท่านั้น ใบหน้าของหล่อนแดงก่ำด้วยความโกรธเกรี้ยว
รองผู้อำนวยการถามออกไปอย่างสุภาพ “สหายทั้งสอง เหตุใดพวกคุณถึงทะเลาะกันล่ะครับ?”
สาวน้อยกำลังจะตอบ แต่ป้ากลับชี้นิ้วไปที่หญิงสาวก่อนจะตะโกนลั่น “ฉันเพิ่งวางขาที่บาดเจ็บไว้บนเก้าอี้ของนังคนนี้ แต่หล่อนบอกให้ฉันเอาขาของฉันออกไป พวกคุณลองตัดสินดูเถอะว่าหญิงสาวคนนี้ไม่รู้จักเคารพผู้อาวุโสหรือเปล่า!”
ส่วนตัวแล้วหลินม่ายเกลียดชังคนแก่ที่พึ่งพาความชราภาพเอาเปรียบผู้อื่นอย่างป้าคนนี้มาก
แม้จะมีคนแก่แบบนี้ไม่มาก แต่หากใครสักคนได้พบเจอ พวกเขาอาจจะเจ็บปวดในใจไปแสนนาน
ก่อนหน้านี้หลินม่ายได้พบกับหญิงชราผมขาวโพลนบนรถบัส และเสนอที่นั่งของตัวเองให้กับนาง
หลังจากพูดคุยกันอยู่นาน หญิงชรากลับไม่ยินยอมที่จะนั่ง นางบอกว่าคนหนุ่มสาวทำงานหนัก และนางเองก็ไม่ได้รีบร้อนไปไหน เพียงแค่จะไปเดินเล่นในสวนสาธารณะใกล้ ๆ เท่านั้น
คนแก่ธรรมดานั้นค่อนข้างมีนิสัยที่ดี แต่คนแก่ที่ไม่ดีคือคนแก่ที่แก่แต่ตัว
หลินม่ายอยากจะทุบตีหญิงชราตรงหน้านี้ให้คว่ำ แต่เพราะมีผู้ยิ่งใหญ่อยู่ที่นี่หลายคน เธอจึงไม่สามารถทำอย่างนั้นได้
ทุกคนหันมองด้วยความสงสัย เวลานี้คุณป้าก็หยิบใบการรักษาออกจากกระเป๋าอย่างรวดเร็ว “ลองดูสิ เนี่ย ฉันได้เพิ่งผ่าตัดขามาจริง ๆ”
ไม่มีใครดูผลการรักษาของนางสักคน เพราะอาการเจ็บป่วยของนางไม่ใช่เหตุผลที่จะครอบครองเก้าอี้สาธารณะได้
ผู้นำบอกกล่าวให้เลขาด้านข้างรับมันแทน และกล่าวกับป้าแผ่วเบาว่า “ที่นี่คือห้องสมุดนะครับ อย่าส่งเสียงดัง”
ป้าโต้กลับ “ฉันก็ไม่ได้อยากจะส่งเสียงดัง แต่หล่อนบังคับให้ฉันทำ” ก่อนจะชี้ไปยังสาวน้อยตรงหน้า
ผู้นำกล่าวต่อ “คุณแก่แล้วและยังได้รับบาดเจ็บที่ขา เพิ่งผ่าตัดมาหมาด ๆ แต่คุณกลับอยากมาอ่านหนังสือที่ห้องสมุด สุดท้ายแล้วการมีจิตวิญญาณที่ต้องการเรียนรู้มันคุ้มค่าที่จะอดทน”
ป้าเผยสีหน้าภูมิใจออกมา
ผู้นำกล่าวต่อ “แต่ในทุกสถานที่ของห้องสมุดแห่งนี้มีไว้เพื่อให้กับผู้คนที่ใฝ่หาความรู้คนอื่นด้วยเช่นกัน ในกรณีของคุณ คุณไม่สามารถครอบครองเก้าอี้สองตัวได้ ซึ่งมันผิดกฏระเบียบของห้องสมุด คุณควรกลับไปรักษาอาการบาดเจ็บให้แล้วเสร็จก่อน อย่างไรเสียห้องสมุดก็เปิดรอต้อนรับคุณตลอดเวลา”
เขาหันไปกล่าวกับรองผู้อำนวยการ “จัดกำลังคนเพื่อส่งป้าคนนี้กลับบ้าน”
ป้าคนนี้สร้างปัญหามากเกินไป และเวลานี้รองผู้อำนวยการจัดเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยสองคนเพื่อพาตัวนางออกไป แต่นางกลับตวาดใส่ผู้คนอย่างไม่ลดละ
ผู้นำจึงเปลี่ยนแผน บอกให้ รปภ. ทั้งสองพาป้าคนนี้ไปส่งที่สถานีตำรวจเพื่ออบรมทัศนคติสักสองสามชั่วโมงก่อน
ป้าได้ยินอย่างนั้นจึงหยุดโวยวายทันที
หลินม่ายรู้สึกชื่นชมผู้นำคนนี้อย่างสุดใจ เขาเป็นผู้นำผู้ยิ่งใหญ่ และยังจัดการกับปัญหาต่าง ๆ ได้ดี
เดิมทีซิงกวงพลาซ่าจะเปิดในวันชาติ แต่ก็เป็นเรื่องยากที่จะดึงดูดการลงทุนให้เข้าร่วมในห้างสรรพสินค้ายักษ์ใหญ่ห้าชั้น
จนถึงปลายเดือนกันยายน ปริมาณการลงทุนของห้างสรรพสินค้าไม่ถึงหนึ่งในห้าของห้างสรรพสินค้าด้วยซ้ำ ทำให้ในกรณีนี้ไม่สามารถเปิดตัวอย่างเป็นทางการได้ เธอจึงต้องเลื่อนวันเปิดตัวออกไป
เหลือเวลาอีกสองวันจะถึงวันชาติ หลินม่ายตัดสินใจกลับเจียงเฉิงเพื่อเรียกประชุมหามาตราการรับมือกับเรื่องนี้
หลินม่ายคิดว่าจะกลับไปแค่สองวัน เวลานี้จึงพาเสี่ยวมู่ตงกับน้าทังไปด้วย
เธอพาเสี่ยวมู่ตงมาด้วยโดยหวังว่าจะให้เขาซึมซับบรรยากาศของธุรกิจตั้งแต่ยังเยาว์ เพื่อจะปลูกฝังมันให้เขาซึมซับให้ได้มากที่สุด
ในวันที่สองของวันชาติ หลินม่ายพาเสี่ยวมู่ตงและน้าทังขึ้นเครื่องบินไปเจียงเฉิง
เพราะหวางไฉยังอยู่ที่บ้านในเจียงเฉิง น้าหวงไม่ต้องทำงานในวันชาติ แต่หล่อนก็ยังต้องมาเตรียมอาหารสามมื้อให้กับหวางไฉ
ดังนั้นในช่วงวันหยุดนี้ น้าหวงก็ยังต้องกลับมาที่วิลล่าสามมื้ออาหารเพื่อให้อาหารหวางไฉ
หลินม่ายมาถึงวิลล่าแล้ว เธอเห็นว่าน้าหวงเพิ่งจะให้อาหารกลางวันกับหวางไฉและกำลังจะกลับ
น้าหวงเปิดประตูให้กับหลินม่ายก่อนจะหยอกล้อกับเสี่ยวมู่ตงเล็กน้อย เวลานี้กล่าวถามหลินม่ายว่า “นี่วันชาตินะคะ ทำไมถึงกลับมาที่นี่ล่ะคะ?”
“ฉันมาแค่สองวันค่ะ เลยไม่ได้พาคนอื่น ๆ มาด้วย” หลินม่ายหันมองหวางไฉที่วิ่งไปมาอย่างมีความสุข ไม่มีกระจิตกระใจจะกินอาหาร มันกระดิกหางอย่างต้องการพูดคุย “คุณได้เจอกับหยางฉินที่อยู่ในคุกหรือเปล่า? หล่อนคิดจะเอาหวางไฉกลับไปอีกไหม?”
“หล่อนไม่ต้องการมันอีกแล้วล่ะค่ะ” น้าหวงกล่าวอย่างขุ่นเคือง “เมื่อวานฉันพาหวางไฉไปหาหล่อน หวางไฉมีความสุขมาก มันกระดิกหางจนแทบจะหลุด แต่หล่อนเตะหวางไฉอย่างแรง และเรียกว่ามันเป็นหมาไร้ประโยชน์ หวางไฉถูกเตะหลายครั้ง มันกรีดร้องจนฉันสงสารแทบไม่ไหว”
หลินม่ายลูบศีรษะใหญ่ ๆ ของหวางไฉก่อนจะพูดว่า “หล่อนไม่ต้องการมันแล้วก็ไม่เป็นไร เราจะเลี้ยงดูมันเอง”
หวางไฉคล้ายกับเข้าใจภาษามนุษย์ มันร้องครวญครางด้วยความตื่นเต้นก่อนจะวนเวียนรอบ ๆ เสี่ยวตงตง หางของมันกระดิกไปมาจนแทบจะหลุดจากก้น
หลังจากน้าหวงออกไปแล้ว หลินม่ายโทรหาโรงแรมใกล้เคียงเพื่อขอให้มาส่งอาหารที่บ้านของเธอ
แม่พร้อมลูกชายและน้าทัง รับประทานอาหารอย่างเรียบง่ายก่อนจะงีบหลับ จากนั้นหลินม่ายก็อยากจะพาเสี่ยวมู่ตงไปสำนักงานใหญ่ด้วยกัน
แต่หวางไฉไม่ยอมปล่อยเสี่ยวมู่ตงไป เขากัดเสื้อผ้าของมู่ตงเอาไว้อย่างไม่ยินยอม และเจ้าตัวน้อยก็อยากจะอยู่กับหวางไฉด้วย
สุดท้ายหลินม่ายก็ทนไม่ไหว เธอยอมให้มู่ตงอยู่กับน้าทัง และขับรถเบนซ์ออกไปตามลำพัง
เพราะมีการบอกกล่าวล่วงหน้าแล้ว ทันทีที่หลินม่ายมาถึงห้องประชุม ผู้บริหารระดับสูงทุกคนก็รออยู่แล้ว
นับตั้งแต่ก่อตั้งสำนักงานใหญ่ หลินม่ายให้ความสำคัญกับบุคลากรทั้งหมดมาก
ทุกปีจะมีการคัดเลือกและฝึกอบรมพนักงานตั้งแต่ระดับรากหญ้า และผู้ที่มีความสามารถโดดเด่นจะกลายเป็นหัวหน้าระดับสูงของบริษัทในอนาคต
คราวที่แล้ว ผู้ปฏิบัติงานสำรองถูกส่งไปอบรมที่ชนบท และจะกลับมารายงานผลในวันนี้
หลินม่ายเดินตรงเข้ามาพร้อมกับถามเข้าประเด็นทันที ว่าทำไมถึงไม่สามารถดึงดูดกลุ่มนักลงทุนได้
ซุนอวิ้นหงและหัวหน้าแผนกฝูเป็นผู้รับผิดชอบกลุ่มลงทุนกล่าวว่ามีเหตุผลหลัก ๆ อยู่สองประเด็นที่ไม่สามารถดึงดูดนักลงทุนได้
ประการแรก เนื่องจากข่าวลืออันมืดดำของซิงกวงพลาซ่าก่อนหน้านี้ มันยากที่จะบอกว่าเรื่องทั้งหมดเป็นเพียงความบังเอิญ
ประการที่สอง คู่แข่งของเราอย่างฉวินกวงพลาซ่ากำลังแข่งขันกับพวกเขาอยู่
หลินม่ายหันไปหาโม่เจี้ยนอันด้วยความประหลาดใจ “ก่อนหน้านี้คุณไม่ได้บอกฉันเหรอว่าเราล้างอาถรรพ์ของซิงกวงพลาซ่าไปแล้ว?”
โม่เจี้ยนอันกล่าวขึ้นว่า “มีคนจัดฉากและเผยแพร่ข่าวลือว่า พวกเขาเดินผ่านซิงกวงพลาซ่ากลางดึกและได้ยินเสียงกรีดร้องโหยหวน บ้างก็ว่าเห็นภูตผีลอยไปมา”
หลินม่ายถามต่อ “แล้วฉวินกวงพลาซ่าเป็นยังไงบ้าง? พวกเขาพยายามขโมยลูกค้าของเราเหรอ? แล้วพวกเขาสร้างเสร็จหรือยัง?”
โม่เจี้ยนอันส่ายศีรษะ “ยังครับ แต่ตกแต่งภายในห้างสรรพสินค้าเรียบร้อยแล้ว และพวกเขาจะเปิดทำการในวันชาติ”
หลินม่ายมีวิธีการที่จะแก้ปัญหาในใจแล้ว แต่เธอยังไม่เร่งรีบที่จะพูดออกไป เพียงแต่หันไปถามทุกคนว่ามีใครคิดวิธีแก้ปัญหาแล้วหรือยัง
ซุนอวิ้นหงและหัวหน้าแผนกฝูยังไม่ได้คิดอะไร แต่ไม่ได้หมายความว่าผู้บริหารทุกคนยังไม่คิดจะเคลื่อนไหว
ผู้บริหารทั้งสามเก่งกาจพอ ๆ กับจูกัดเหลียง อีกทั้งพวกเขาไม่ได้แย่เลยทั้งด้านความสามารถและการศึกษา
พวกเขารีบเร่งที่จะเสนอวิธีการแก้ปัญหามากมาย แต่วิธีการเหล่านี้ไม่ใช่สิ่งที่เป็นไปไม่ได้ แต่สุดท้ายมันก็ยังไม่ใช่ทางออกที่ดีที่สุด
หลินม่ายหันไปหาผู้บริหารสำรอง “พวกคุณเองก็สามารถเสนอความคิดให้พวกเราทราบได้เหมือนกันนะคะ”
กลุ่มผู้บริหารสำรองไม่มีใครพูดกล่าวออกมา สุดท้ายแล้วสิ่งที่พวกเขาคิด เหล่าผู้บริหารอาวุโสพูดกล่าวไปหมดแล้ว และจะให้พวกเขาพูดอะไรอีก?
มีเพียงคนหนึ่งที่ชื่อจินฉี่คังกล่าวขึ้นว่า “ผมว่ามันไม่ยากที่เราจะทำลายข่าวลือ และเราก็สามารถบิดความคิดของประชาชนอย่างลับ ๆ ได้ เพราะเรารู้สึกว่านี่คือข่าวลือที่ฝ่ายตรงข้ามเผยแพร่ออกมาเพื่อขโมยลูกค้าจากเรา”
หลินม่ายมองดูเขาอย่างคาดหวัง จินฉี่คังกล่าวต่อ “ในส่วนของการส่งเสริมการลงทุน ผมมีความคิดบางอย่าง นั่นคือเราควรเชิญแบรนด์ใหญ่ทั้งหมดมาลงหลักที่ห้างสรรพสินค้าของเราโดยไม่มีค่าธรรมเนียมแรกเข้า สิ่งนี้จะดึงดูดการลงทุนได้”
ผู้บริหารคนหนึ่งกล่าวขึ้นว่า “หากเราทำเช่นนั้น ฉวินกวงพลาซ่าย่อมทำตามแน่นอน และความได้เปรียบจะหายไปทันที”
จินฉี่คังพูดต่อ “สิ่งนี้จะต้องเป็นความลับที่สุด เราจำเป็นต้องเซ็นสัญญากับบริษัทยักษ์ใหญ่เหล่านี้นำฉวินกวงพลาซ่าไปหนึ่งก้าว เท่านั้นพวกเขาก็ไม่สามารถทำได้แล้ว”
ความคิดของจินฉี่คังค่อนข้างที่จะใกล้เคียงกับความคิดของหลินม่าย
เธอคือผู้ที่กลับมาเกิดใหม่ และนำประสบการณ์จากในชีวิตก่อนหน้ามาด้วย
แต่จินฉี่คังแตกต่างออกไป เขาเป็นคนในยุคนี้ ซึ่งแสดงออกอย่างชัดเจนว่าเขามีพรสวรรค์ในการทำธุรกิจ
หลินม่ายหันมองจินฉี่คังก่อนจะพูดว่า “หัวหน้าแผนกซุน หัวหน้าแผนกฟูร่วมกันรับผิดชอบการส่งเสริมการลงทุนของซิงกวงพลาซ่า ฉันหวังว่ามันจะสามารถเปิดทำการทันวันคริสต์มาส”
จินฉี่คังยกมือทำท่า OK ก่อนจะพูดว่า “นั่นไม่ใช่ปัญหาแน่นอน”
หลินม่ายชี้ปัญหาอีกเล็กน้อย “นอกเหนือจากการลงทุนแล้ว เรายังสามารถสร้างแบรนด์ของตัวเองได้”
กลุ่มผู้บริหารสำรองกล่าวขัด “อย่างเช่น เสื้อผ้า เครื่องประดับ หรืออาหารของพวกเรา”
หลินม่ายกล่าว “อย่าคิดจ้องมองที่ดินเล็กน้อยในนั้น เราควรจะมองปัญหาในระยะยาวด้วย เจรจาสัญญาการจัดหากลุ่มลงทุนระยะยาวกับผู้ผลิตอาหาร ยาสูบ และเครื่องดื่มแอลกอฮอล์บางราย ต้องระบุในสัญญาว่าภายในรัศมี 500 เมตร พวกเขาจะลงทุนกับซิงกวงพลาซ่าเท่านั้น”
หลินม่ายคิดกฏนี้ขึ้นมาเพื่อที่จะกีดกันฉวินกวงพลาซ่าโดยตรง
แน่นอนว่าหากเพิ่มกฎข้อนี้ไป เหล่าซัพพลายเออร์ล้วนยินดีที่จะทำตาม
หลังจากทศวรรษ 1990 การแข่งขันทางธุรกิจยิ่งดุเดือดมากขึ้น เมื่อถึงตอนนั้นจะไม่มีซัพพลายเออร์รายใดเห็นด้วยกับกฏเกณฑ์เช่นนี้แน่นอน
แม้คู่แข่งจะตั้งรกรากอยู่ด้านข้าง แต่ซัพพลายเออร์ก็จะจัดหาสินค้าให้กับพวกเขาด้วยเช่นกัน
แต่สิ่งนี้มันเพียงพอแล้วที่จะกีดกันฉวินกวงพลาซ่าออกไปสักสองสามปี เพื่อให้ซิงกวงพลาซ่าสามารถตั้งหลักได้
แน่นอนว่าหากเสียโอกาสในช่วงนี้ไป มันจะยากมากที่จะตั้งหลักขึ้นใหม่ พวกเขาอาจจะหมดเรี่ยวแรงที่จะวิ่งต่อไปด้วยซ้ำ
………………………………………………………………………………………………………………………..
สารจากผู้แปล
แข่งขันกันโหดมากแบบฆ่าได้ฆ่า ความไวเท่านั้นคือสิ่งชี้ชะตา
ไหหม่า(海馬)