แม่ปากร้ายยุค 80 - ตอนที่ 997 ชีวิตของหลานเซียง
ตอนที่ 997 ชีวิตของหลานเซียง
ตอนที่ 997 ชีวิตของหลานเซียง
หลินม่ายพูดกับหวังจวิน “ฉันจะไปคุยกับภรรยาของคุณ แล้วดูว่าฉันจะต่อรองค่าสินสอดทองหมั้นคืนมาสักเล็กน้อยได้ไหม แต่อย่าคาดหวังมากเกินไปนะคะ”
หวังจวินตกตะลึง
เขาพยายามฆ่าตัวตาย ประธานหลินกลับมาแสดงความเสียใจกับเขาเป็นการส่วนตัว ซึ่งทำให้เขาซาบซึ้งใจมาก
ตอนนี้อีกฝ่ายกำลังจะต่อรองขอค่าสินสอดทองหมั้นคืน เขาตื่นเต้นมากจนพูดจาแทบไม่เป็นภาษา และทำได้แค่พูดขอบคุณเท่านั้น
หลินม่ายโบกมือ “เอาล่ะ ฉันไม่อยากได้ยินคำขอบคุณแล้วค่ะ และไม่อยากได้ยินข่าวการฆ่าตัวตายของคุณอีก สำหรับชายร่างใหญ่ ความอ่อนแอดังกล่าวถือเป็นการดูหมิ่นอย่างยิ่ง ถ้าคุณไม่ใช่พนักงานของฉัน ฉันมักจะเลี่ยงคนอย่างคุณเสมอ จะมาสนใจคุณแบบนี้ได้ยังไง?”
หวังจวินหน้าแดงด้วยความเขินอาย
จากนั้นหลินม่ายขับรถไปยังโรงแรมขนาดเล็กที่บริษัทจัดไว้ให้สำหรับครอบครัวของแรงงาน
มันเป็นเวลาอาหารกลางวัน
ทุกคนมารับประทานอาหารร่วมกันรอบโต๊ะกลมใหญ่ 2 โต๊ะ
หลินม่ายเหลือบมองจานอาหารบนโต๊ะ
แม้ว่าจะมีอาหารเพียงสี่จานและซุปหนึ่งรายการ ทว่าแต่ละเมนูล้วนเสิร์ฟในจานขนาดใหญ่และมีปริมาณมาก
หมูสามชั้นทอดกับมันฝรั่ง ซุปมะเขือเทศพร้อมไข่ ผัดผักบุ้งจีน เต้าหู้ผัดซอสเสฉวน
การจัดจานทั้งสี่นั้นทำได้ดี เสิ่นเสี่ยวผิงสามารถจัดการเรื่องต่าง ๆ ได้ดีมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง
หลินม่ายสังเกตว่า ทุกครั้งที่หลานเซียงเห็นอาหารจานผัก หล่อนจะแกล้งทำเป็นไม่สนใจ แต่เมื่ออาหารจานเนื้อหมุนมาตรงหน้า หล่อนจะหยิบขึ้นมาตลอด
คนอื่น ๆ ที่กินบนโต๊ะเดียวกันไม่เหมือนหล่อน มีแค่หล่อนที่ทำตัวน่าเกลียดที่สุด
คนไม่มีคุณภาพ ย่อมประพฤติตัวไม่ดีในทุกหนแห่ง
หลินม่ายเดินเข้าไปและถามหลานเซียงว่า “ได้ยินมาว่าคุณจะหย่ากับหวังจวินหรือคะ?”
หลานเซียงคิดว่าหลินม่ายมาที่นี่เพื่อขอร้องไม่ให้หล่อนหย่ากับหวังจวิน
คนงานหลายคนได้โน้มน้าวบอกให้หล่อนใจเย็นลงก่อน
แม้จะต้องการหย่าแค่ไหน แต่ก็ขอให้หล่อนรอจนกว่าขาของหวังจวินจะหายดี อย่างไรก็ตามหล่อนกลับไม่เชื่อคำของใครเลย
ทว่าหลินม่ายมีสถานะสูงส่งกว่า เมื่ออีกฝ่ายมาที่นี่เพื่อขอร้อง หล่อนจึงอยากเล่นตัวบ้าง
หลานเซียงกล่าว “คุณหลินไม่อยากให้ฉันหย่ากับหวังจวินหรือคะ? มันก็ไม่ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้นะคะ ตราบใดที่คุณหลินยอมให้พี่ชายและน้องชายของฉันทั้งหมดทำงานในว่านทงกรุ๊ป”
แม้จะอยู่ในเมืองหลวงเพียงไม่กี่วัน แต่หล่อนก็ค้นพบทุกอย่างแล้ว
การทำงานเป็นแรงงานต่างถิ่นในว่านทงกรุ๊ป นอกจากจะได้รับค่าจ้างที่สูงแล้ว สวัสดิการยังดีเป็นพิเศษ และรับประกันความปลอดภัยในการทำงานด้วย
แทบไม่ต้องพูดถึงเรื่องอื่น ตอนเช้ามีซาลาเปาชิ้นใหญ่ให้พนักงานและนมถั่วเหลืองคนละแก้ว แล้วยังมีอาหารจานเนื้อสำหรับมื้อกลางวันอีกด้วย
ด้วยสวัสดิการอาหารเช่นนี้ หล่อนจึงต้องการให้พี่ชายและน้องชายเข้าทำงานในว่านทงกรุ๊ป
พวกเขาอาศัยอยู่ในพื้นที่ภูเขาอันแร้นแค้นกันดาร บางครั้งไม่สามารถกินเนื้อแม้แต่ชิ้นเดียวในช่วงปีใหม่ได้ด้วยซ้ำ
ครอบครัวไม่ยอมฆ่าหมูที่บ้านเพื่อนำมากิน แต่รีบไปที่ตลาดเชิงเขาเพื่อขายมันแลกกับเงินเมื่อหลายปีก่อน
หลานเซียงอาศัยอยู่ในเมืองหลวงมาหลายวันแล้วและได้กินเนื้อสัตว์ทุกวันเหมือนกับอยู่ในเทศกาลปีใหม่ หล่อนจึงไม่อยากกลับชนบทอีก
แต่การที่หลานเซียงสัญญากับหลินม่ายว่าจะไม่หย่าร้างกับหวังจวิน มันเป็นเพียงการยืดเวลาออกไปเท่านั้น
ตราบใดที่พี่ชายและน้องชายของหล่อนทั้งหมดได้ร่วมงานกับว่านทงกรุ๊ป มันก็ไม่สายเกินไปที่จะยื่นฟ้องหย่าในคราวหลัง
หล่อนไม่กลัวว่าหลินม่ายจะกล่าวหาว่าผิดคำพูด การโดนต่อว่าไม่ได้ทำให้เสียเนื้อสักชิ้น
หลินม่ายถามอย่างติดตลก “มีกี่คนคะ?”
คนอื่น ๆ บนโต๊ะไม่ได้กินข้าวเลยด้วยซ้ำ ขณะที่มองมาทางหลินม่ายเป็นตาเดียว
ทุกคนกำลังครุ่นคิดในใจ เรื่องดีเกิดขึ้นง่ายดายขนาดนี้ หากพวกเขาขอหย่าร้างเช่นกัน พี่น้องของพวกเขาก็สามารถทำงานในว่านทงกรุ๊ปใช่ไหม?
หรือว่าพวกเขาจะแสร้งทำเป็นหย่าร้างกับสามีของตัวเองดี?
หลานเซียงชูนิ้วขึ้นเจ็ดนิ้ว “มีทั้งหมด 7 คนค่ะ”
ทำนองเพลง “ลูกน้ำเต้า ลูกน้ำเต้า ลูก 7 คนเกิดจากน้ำเต้าวิเศษ” ดังขึ้นในใจของหลินม่ายทันที
มีอสรพิษแบบหญิงตรงหน้าเธออีกถึง 7 คน
หลินม่ายยิ้มบาง “คุณสำคัญตัวเองมากเกินไปมั้งคะ ดูจากนิสัยของคุณแล้ว คุณไม่ได้อยากหย่ากับหวังจวินหรอก ฉันนี่แหละจะโน้มน้าวหวังจวินให้หย่ากับคุณเอง”
หลานเซียงตกตะลึงพลางกล่าวคำตะกุกตะกัก “คะ… คุณไม่กลัวว่าหวังจวินจะฆ่าตัวตายอีกหรือไง?”
“ไม่กลัวค่ะ” หลินม่ายตอบกลับอย่างไม่แยแส “อย่างมากที่สุดฉันก็แค่ต้องดูแลพ่อแม่ของหวังจวิน แต่ในขณะเดียวกัน ฉันจะไปขึ้นศาลและฟ้องคุณในข้อหาบีบบังคับหวังจวินจนถึงแก่ความตาย”
หลานเซียงเป็นหญิงชนบทคนหนึ่งในหมู่บ้านบนภูเขาที่ยากจนไม่สามารถอ่านเขียนได้ในตอนนี้มีท่าทางหวาดกลัวอย่างมากจนใบหน้าซีดเผือดลงภายใต้รัศมีอันทรงพลังของหลินม่าย และพูดตะกุกตะกัก “ฉะ… ฉันไม่ได้อยากหย่าค่ะ…”
หลินม่ายไม่ได้มาที่นี่เพื่อเจรจาสงบศึก
ภรรยาที่ไม่สามารถแบ่งปันความทุกข์และยากลำบากของสามีควรกำจัดทิ้งโดยเร็วที่สุด
หลินม่ายกล่าวคำ “ฉันคิดว่าคุณควรออกจากความสัมพันธ์โดยเร็วที่สุด อย่ารอจนกว่าคุณจะอายุ 40 ถึงค่อยหย่า ในเวลานั้นคุณจะกลายเป็นแค่เต้าหู้เน่าไร้ค่า ต่อให้ไม่ต้องใช้สินสอดทองหมั้น แต่ใครจะอยากแต่งงานกับคุณอีก”
หลานเซียงอดไม่ได้ที่จะกรีดร้อง “ตราบใดที่หวังจวินเต็มใจหย่ากับฉัน ฉันจะไปทันที!”
หลินม่ายเผยยิ้มเหยียดหยาม เธอนึกว่าอีกฝ่ายจะยึดติดกับหวังจวินและปฏิเสธที่จะหย่าร้างเสียอีก แต่ดูเหมือนว่าจะคิดผิดไป
เธอกล่าว “ฉันได้พูดโน้มน้าวหวังจวินไว้แล้ว โดยบอกเขาว่าเขามีใบหน้าที่หล่อเหลา และการอยู่กับคนที่น่าเกลียดเช่นคุณถือเป็นความอยุติธรรมอย่างแท้จริง ในอนาคตฉันจะแนะนำให้เขารู้จักกับสาวสวยที่ดี ทันทีที่เขาได้ยินคำพูดของฉัน เขาก็ตกลงที่จะหย่ากับคุณ แต่มีเงื่อนไขว่า คุณจะต้องคืนเงินครึ่งหนึ่งของสินสอดทองหมั้นที่เขามอบให้”
พูดตามตรง นอกเหนือจากผิวที่หยาบกร้านของหล่อนแล้ว หลานเซียงถือเป็นคนหน้าตาดีทีเดียว เรียกได้ว่าเป็นบุปผางามประจำหมู่บ้านของหล่อน
แต่หลินม่ายกลับบอกว่าหล่อนน่าเกลียด ซึ่งทำให้หล่อนรู้สึกแย่มาก
หวังจวินยอมตกลงหย่าร้าง และตั้งเงื่อนไขว่าหล่อนต้องคืนสินสอดครึ่งหนึ่ง หล่อนจะทนได้อย่างไร?
หลานเซียงเยาะเย้ยทันที “ฉันไม่เคยได้ยินเรื่องพรรค์นี้มาก่อน ฉันแต่งงานมาหลายปีแล้ว ยังจะมาขอสินสอดคืนอีก ไร้ยางอายจริง!”
หลินม่ายพูดอย่างใจเย็น “คุณไม่จำเป็นต้องเห็นด้วยหรอกค่ะ ถ้าอย่างนั้นฉันจะไม่ปล่อยให้หวังจวินหย่ากับคุณ คุณสองคนก็ใช้จ่ายสินสอดพวกนั้นไป ฉันจะเก็บเงินเดือนของเขาไว้ให้เขา โดยที่คุณจะไม่ได้รับแม้แต่หยวนเดียว จะปล่อยให้เขารั้งคุณไว้จนถึงวัยหมดประจำเดือน เมื่อถึงเวลานั้น เราจะไม่อยากได้สินสอดคืนแล้ว และให้คุณออกจากบ้าน จากนั้นคุณจะพบเจอชะตากรรมอันโดดเดี่ยวไปตลอดชีวิต แต่หวังจวินแตกต่างออกไป ผู้ชายในวัย 40 เป็นช่วงที่เบ่งบานเต็มที่ หากเขาแต่งงานใหม่ ความสามารถในการมีทายาทยังคงอยู่ เขาก็ยังมีลูกและครอบครัวของเขาได้ ฉันได้อธิบายให้คุณฟังเกี่ยวกับการหย่าร้างในตอนนี้และการหย่าร้างในอนาคตแล้ว คุณชั่งน้ำหนักข้อดีและข้อเสียเอาเองแล้วกันนะคะ ไม่ว่าจะยึดสินสอดไว้และปฏิเสธการหย่าร้าง หรือคว้าโอกาสตอนที่คุณยังสดยังสาวและหย่าร้างโดยเร็วที่สุดเพื่อแต่งงานกับชายหนุ่มคนใหม่”
สิ้นเสียง เธอเดินไปยังแผนกต้อนรับเพื่อยืมโทรศัพท์โทรหาเสิ่นเสี่ยวผิง สั่งเสิ่นเสี่ยวผิงทางโทรศัพท์ว่าให้ยกเลิกผลประโยชน์ครอบครัวต่าง ๆ ของหลานเซียง
ใบหน้าของหลานเซียงซีดเซียวทันใด หล่อนวางตะเกียบลงและวิ่งไปหาหลินม่ายพลางขอร้อง “ประธานหลิน ถ้าคุณยกเลิกสวัสดิการครอบครัวของฉัน แล้วฉันจะกินอะไร? จะไปอาศัยอยู่ที่ไหน?”
“ตะ… แต่ฉันได้รับเชิญจากคุณ”
หลินม่ายบอกเสิ่นเสี่ยวผิงที่อยู่ปลายสาย “คุณช่วยนัดหมายคนให้ส่งภรรยาของหวังจวินออกไปในบ่ายวันนี้ที”
จากนั้นจึงหันมาพูดกับหลานเซียงว่า “ฉันเชิญคุณมาที่นี่ และฉันก็จะส่งคุณกลับอีกครั้ง ไม่มีสิ่งใดผิดแปลกนี่คะ”
หลานเซียงตกตะลึง
หล่อนคาดหวังที่จะได้อยู่ในเมืองหลวงต่อไป เพื่อออกไปเห็นโลกภายนอกมากขึ้น ได้กินอาหารดี ๆ อีกสักสองถึงสามมื้อ แต่ตอนนี้ทุกอย่างกลับพังทลาย
ในช่วงบ่ายของวันนั้น เสิ่นเสี่ยวผิงได้จัดเตรียมคนให้ซื้อตั๋วรถไฟและส่งหลานเซียงกลับบ้านเป็นการส่วนตัว
โดยปกติหากสมาชิกครอบครัวคนอื่น ๆ ต้องการกลับบ้านเร็ว พวกเขาจะเตรียมคนซื้อตั๋วรถไฟ ซื้ออาหารและเครื่องดื่ม แล้วส่งขึ้นรถไฟ
อย่างไรก็ตามกรณีของหลานเซียงไม่อาจจัดการในลักษณะนี้ได้ หากหล่อนเข้าไปซ่อนตัวระหว่างทางและชักชวนพ่อแม่ของหล่อนให้เรียกร้องการแก้แค้น มันอาจกลายเป็นเรื่องลำบากทีเดียว
ดังนั้นเสิ่นเสี่ยวผิงจึงสั่งให้ลูกน้องส่งหญิงสาวกลับถึงหมู่บ้าน และมอบหล่อนให้กับหัวหน้าหมู่บ้านโดยตรง เพื่อที่ครอบครัวของหลานเซียงจะไม่สามารถสร้างปัญหาใด ๆ ได้
ทันทีที่หลานเซียงกลับไป หล่อนก็บอกพ่อแม่ว่าต้องการหย่าร้าง
เมื่อพ่อแม่ของหล่อนได้ยินว่าหวังจวินอาจกลายเป็นคนพิการ พวกเขาจึงสนับสนุนการหย่าร้างในทันที แต่มันก็เป็นไปไม่ได้ที่จะคืนค่าสินสอดครึ่งหนึ่ง อย่างมากที่สุดคงคืนได้เพียง 1 ใน 3
หลังจากปรึกษากับพ่อแม่ของเขาแล้ว หวังจวินก็พยักหน้ายอมรับข้อตกลง
ทั้งสองหย่าร้างกันในเวลาต่อมา
พ่อแม่ของหลานเซียงคิดว่าลูกสาวของตนเองหน้าตาดี และง่ายต่อการแต่งงานใหม่
นี่เป็นเหตุผลว่าทำไมพวกเขาถึงเร่งเร้าให้หลานเซียงหย่าร้างโดยเร็วที่สุด เพราะพวกเขากลัวว่าจะไม่ได้เปรียบในตลาดการแต่งงานเมื่อหล่อนแก่ตัวลง
แต่ไม่ใช่ทุกคนจะยินดีจ่ายสินสอดจำนวนมาก ไม่ใช่ทุกคนที่ต้องการมีภาระหนี้ก้อนโต
การแต่งงานครั้งแรกของหลานเซียงไม่ได้ถูกแขวนไว้บนสินสอด แต่การแต่งงานครั้งที่สองของหล่อนกลับถูกระงับด้วยปัญหาเรื่องสินสอด
ปัญหานี้ยืดเยื้อมาห้าหรือหกปีแล้ว และหลานเซียงก็ยังไม่สามารถแต่งงานได้
เมื่อพลาดช่วงรุ่งเรืองที่สุด มันไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่ผู้หญิงวัยกลางคนจะได้แต่งงาน
ในที่สุดหล่อนก็แต่งงานอย่างไม่เต็มใจและกลายเป็นแม่เลี้ยง แต่ถูกแม่สามีรังเกียจที่หล่อนไม่มีสินเดิมติดตัว
ในทุกวันหล่อนถูกสามีทุบตีและแม่สามีดุด่า ใช้ชีวิตในบ้านของสามีอย่างยากลำบากมาก
ในที่สุดอาการบาดเจ็บที่ขาของหวังจวินก็หายเป็นปกติหลังจากพักฟื้นมาหลายเดือน แม้เขาจะพิการ แต่ก็ไม่ได้เป็นอุปสรรคร้ายแรงนัก เขายังสามารถทำงานในไซต์ก่อสร้างได้ เพียงแค่ค่อนข้างลำบากกว่าเดิม
หลังจากกลับมาทำงาน หวังจวินเกิดความตระหนักรู้ขึ้นมาทันที เขาไม่สามารถทำงานหนักได้เหมือนเมื่อก่อนอีกแล้ว เขาหยุดพอใจกับเงินเดือนที่น้อยนิดเพียงสองถึงสามร้อยหยวน
เขาทำงานไปด้วยและแอบเรียนรู้งานไปด้วย หลังผ่านไป 2 ปี เขาเรียนรู้วิธีการจัดการกับน้ำและไฟฟ้า จนกลายเป็นช่างประปาและช่างไฟฟ้า ซึ่งถือได้ว่าเป็นช่างเทคนิค และยังได้รับเงินเดือนเพิ่มขึ้นเป็นสองเท่า
เขาไม่เพียงช่วยให้พ่อแม่มีชีวิตที่ดีขึ้นเท่านั้น แต่เขายังมีความสามารถที่จะช่วยเหลือพี่น้องของเขาอีกด้วย
เมื่อหลานเซียงได้ยินข่าว หล่อนก็รีบวิ่งไปยังสถานที่ก่อสร้างที่หวังจวินทำงานอยู่และร้องขอให้กลับมาใช้ชีวิตด้วยกัน แต่ถูกเขาปฏิเสธอย่างเด็ดขาด
หวังจวินเข้าใจดีว่าที่หลานเซียงต้องการแต่งงานกับเขาอีกครั้ง นั่นเป็นเพราะเห็นว่าเขาพิการเพียงเล็กน้อย และยังสามารถหาเงินได้มากมาย
ต่อมา หวังจวินได้แต่งงานใหม่เช่นกัน
ภรรยาใหม่ของเขาเป็นหญิงสาวหน้าตาธรรมดา แต่ใจดีกับเขาและพ่อแม่ของเขามาก นอกจากนี้หล่อนยังให้กำเนิดเด็กชายตัวอ้วนให้เขาอีกด้วย ครอบครัวทั้ง 5 คนใช้ชีวิตร่วมกันอย่างมีความสุขเสมอมา
หลานเซียงนึกเสียใจอย่างสุดซึ้ง ครอบครัวสุขสันต์นี้ควรเป็นของหล่อน แต่หล่อนกลับเป็นฝ่ายละทิ้งไปเสียเอง
ทั้งหมดนี้เป็นเรื่องราวที่เกิดขึ้นในภายหลัง
…………………………………………………………………………………………………………………………
สารจากผู้แปล
ก็ช่วยไม่ได้ ชะตาถูกกำหนดมาให้คู่กันแค่นี้ เขาหมดกรรมจากผู้หญิงหน้าเงินอย่างเธอแล้ว ปล่อยให้สามีไปมีชีวิตที่ดีเถอะ
ไหหม่า(海馬)