แม่ปากร้ายยุค 80 - ตอนที่ 996 เบิกค่ารักษาพยาบาล
ตอนที่ 996 เบิกค่ารักษาพยาบาล
ตอนที่ 996 เบิกค่ารักษาพยาบาล
ลางร้ายพลันปรากฏขึ้นในใจของหรงจี้เหมย
หล่อนลุกขึ้นจากเก้าอี้และถามเสิ่นเสี่ยวผิงด้วยความตื่นตระหนกว่า “คุณพาตำรวจและคนจากสหพันธ์สตรีมาที่นี่ทำไม?”
มุมปากเสิ่นเสี่ยวผิงปรากฏรอยยิ้มเยาะเย้ย “ฉันสงสัยว่าคุณสมรู้ร่วมคิดกับเจ้าหน้าที่ทางการแพทย์ในการฉ้อโกงค่ารักษาพยาบาล”
โต้วโต้วหน้าถอดสีในทันใด
ตอนนั้นเองหรงจี้เหมยจึงตระหนักได้ว่าเหตุใดหลินม่ายจึงยอมรับคำขอของโต้วโต้วอย่างง่ายดาย ปรากฏว่าเธอวางแผนโจมตีพวกเขาแบบเอาตายไว้แล้ว
แม้ว่าในใจจะตื่นตระหนกมาก แต่หล่อนก็แสร้งทำเป็นสงบภายนอก กลอกตาแล้วพูดว่า “คุณพูดเรื่องไร้สาระอะไร? คิดว่าเครื่องมือทดสอบเหล่านั้นเป็นของปลอมหรือยังไง?”
ตำรวจและสหพันธ์สตรีไม่ฟังคารมของหล่อน พวกเขาขอดูเพียงหลักฐานเท่านั้น
บุคลากรทางการแพทย์ที่เกี่ยวข้องถูกนำตัวกลับไปที่สถานีตำรวจเพื่อสอบสวน
บุคลากรทางการแพทย์ทั้งหมดต่างก็รับสารภาพ
พวกเขาถูกหลี่กวงจื้อซื้อตัวไว้
พวกเขากระทำการเช่นนี้หลายครั้ง บางคนจงใจสั่งให้ตรวจรักษาเพิ่มเติม และสั่งจ่ายยาราคาแพง เมื่อพนักงานบริษัทหรือสมาชิกในครอบครัวเข้ารับการรักษา
ในความเป็นจริงพวกเขาไม่ได้ทำการทดสอบมากเท่าที่กล่าวอ้าง และยังเปลี่ยนแปลงราคายาให้มีราคาแพง จุดประสงค์เพื่อเบิกเงินค่ารักษาพยาบาลจำนวนมาก โดยทั้งสองฝ่ายจะแบ่งกำไรกัน ซึ่งเป็นผลดีร่วมกันทั้งสองฝ่าย
กิจกรรมประเภทนี้จะไม่มีใครสังเกตเห็นตราบใดที่ไม่มีใครตรวจสอบ แต่เมื่อมีคนเริ่มตรวจสอบ กิจกรรมนั้นจะถูกเปิดเผยอย่างรวดเร็ว
เจ้าหน้าที่ทางการแพทย์ที่ถูกจับกุมเหล่านี้จึงต่างแย่งกันรับสารภาพ โดยหวังว่าจะได้รับการผ่อนปรน
จากข้อมูลที่ได้รับจากบุคลากรทางการแพทย์ ตำรวจยังได้วิเคราะห์ยาที่โต้วโต้วได้รับ
ยานำเข้าราคาแสนแพง แท้จริงก็เป็นแค่กลูโคส
แม้ว่าจำนวนเงินที่ฉ้อโกงจะค่อนข้างมาก แต่สุดท้ายมันก็ไม่ประสบผลสำเร็จ นอกจากนี้ด้วยการมีส่วนร่วมของบุคคลราว 5 ถึง 6 คน เมื่อแบ่งกันแล้ว จำนวนเงินที่ฉ้อโกงจึงไม่ได้มากมายนัก
ในท้ายที่สุด หลี่กวงจื้อถูกตัดสินให้จำคุก 1 ปีโดยไม่รอลงอาญา
หรงจี้เหมยถูกตัดสินจำคุก 1 ปีเช่นกัน แต่รอลงอาญาเป็นเวลา 2 ปี
เหตุผลที่ศาลตัดสินให้หรงจี้เหมยได้รับโทษเบากว่า เนื่องจากหล่อนมีเด็ก 4 คนที่ต้องดูแล
หลังจากล้มเหลวในการฉ้อโกงค่ารักษาพยาบาล สิ่งที่หรงจี้เหมยเกลียดไม่ใช่หลี่กวงจื้อที่มีความคิดแย่ ๆ แต่เป็นโต้วโต้ว
ก่อนหน้านี้หล่อนคิดว่าเด็กน้อยเป็นแค่ดาวหายนะดวงน้อย แต่ตอนนี้หล่อนยิ่งมั่นใจว่าโต้วโต้วคือการกลับชาติมาเกิดของดาวมฤตยู ซึ่งไม่ได้สร้างประโยชน์อะไรเลย
แม้จะเกลียดชังโต้วโต้วอยู่ในใจ และคิดจะทอดทิ้งเด็กน้อยอีกครั้ง แต่ครอบครัวก็ยังคงต้องอาศัยเงินเลี้ยงดูจากหล่อนเพื่อการยังชีพ หรงจี้เหมยจึงไม่อาจกระทำการตามที่ใจต้องการ จึงก่อเกิดเป็นความคับข้องใจที่ทวีคูณขึ้น
แม้โต้วโต้วจะมีส่วนร่วมในการฉ้อโกง แต่เนื่องจากหล่อนยังเป็นผู้เยาว์ ตำรวจจึงเพียงวิพากษ์วิจารณ์และให้ความรู้แก่หล่อนเท่านั้น
ครึ่งเดือนต่อมา หลินม่ายได้รับข่าวจากเสิ่นเสี่ยวผิง เธอคิดว่าโต้วโต้วและแม่คงจะอยู่เงียบ ๆ สักพัก แต่โต้วโต้วกลับโทรมาหาเธอโดยไม่คาดคิด
หล่อนร้องไห้ทางโทรศัพท์โดยบอกว่าช่วงกลางเดือนกันยายนหลินม่ายสัญญาว่าจะส่งของและเครื่องประดับทองทั้งหมดให้หล่อน แต่จนถึงตอนนี้กลับยังไม่ส่งมา
ตอนนี้เป็นเดือนตุลาคม อากาศเริ่มหนาวเย็น หล่อนต้องทนทุกข์ทรมานจากอากาศเย็นยามไม่มีเสื้อผ้าสำหรับฤดูใบไม้ร่วงให้สวมใส่
หลินม่ายฟังหล่อนร้องไห้คร่ำครวญด้วยสีหน้าเย็นชา และกล่าวขอโทษ “ขอโทษที ฉันยุ่งมากจนลืมเรื่องนี้ไป เดี๋ยวจะรีบส่งของให้เธอทันทีแล้วกันนะ”
โต้วโต้วเน้นย้ำเป็นพิเศษ “คุณแม่อย่าลืมให้เครื่องประดับทองให้หนูด้วย”
หลินม่ายพูดน้ำเสียงจริงจัง “ถ้าเธอเรียกฉันว่าแม่อีก ฉันจะไม่ส่งอะไรให้เธอสักชิ้น!”
โต้วโต้วนี่ช่างได้คืบจะเอาศอก
น้ำเสียงของหลินม่ายอ่อนลง “ไม่ต้องห่วง ไม่ใช่แค่เครื่องประดับทอง แม้แต่ผ้าผูกผม ฉันก็จะส่งคืนให้ทั้งหมด” สิ้นเสียง เธอกำลังจะวางสายโทรศัพท์
โต้วโต้วอ้าปากถามด้วยความลังเลอีกครั้ง “แม่คะ ช่วยส่งเงินค่าเลี้ยงดูทั้งหมดให้หนูในคราวเดียวได้ไหม?”
หลินม่ายถามเสียงเรียบ “ทำไมล่ะ?”
“เพราะ… เพราะพ่อของหนูติดคุก แม่ของหนูเลี้ยงลูก 4 คนเพียงลำพังไม่ได้…”
หลินม่ายหัวเราะเยาะ “เธอมีน้ำใจต่อแม่ที่รักมาก ช่างเป็นเด็กดีจริง ๆ แต่ฉันจ่ายเงินค่าเลี้ยงดูบุตรทั้งหมดในคราวเดียวไม่ได้หรอก เพราะนั่นคือหลักประกันชีวิตของเธอ”
โต้วโต้วเงียบไปครู่หนึ่งและพูดว่า “ถ้าไม่ให้หนู หนูจะไม่กินข้าว”
น้ำเสียงของหลินม่ายเปลี่ยนไป “ก็แล้วแต่เธอ ถ้ามีความสุขก็ทำไป”
หลังจากที่หลินม่ายวางสาย คุณย่าฟางก็แสดงความไม่พอใจขณะพูดว่า “ยัยเด็กโต้วโต้วไม่แม้แต่จะพูดขอโทษตอนที่โทรหา แล้วยังเรียกร้องสิ่งนั้นสิ่งนี้อีก หลานก็เหลือเกินที่ยอมทำตามข้อตกลง! หลานจะมอบเสื้อผ้า รองเท้า หรือถุงเท้าให้เด็กนั่นก็ได้ แต่ห้ามให้เครื่องประดับทองเด็ดขาด! ถ้าหลานกลัวจะกลายเป็นตัวร้าย ย่าจะรับหน้าที่นั้นเอง!”
หลินม่ายพูดด้วยความเหยียดหยาม “ฉันไม่กลัวเป็นตัวร้ายหรอกค่ะ ฉันมีวัตถุประสงค์ในการทำเช่นนี้ และยังเป็นการป้องกันไม่ให้ครอบครัวเราเดือดร้อนในอนาคตด้วย”
ไม่กี่วันต่อมา หลินม่ายได้ส่งเสื้อผ้าและของใช้ส่วนตัวทั้งหมดของโต้วโต้วกลับไปยังเมืองเจียงเฉิง
เสิ่นเสี่ยวผิงจัดให้สมาชิกคณะกรรมการท้องถิ่นทำหน้าที่เป็นพยาน หล่อนมอบสิ่งของดังกล่าวให้กับโต้วโต้วเป็นการส่วนตัว ซึ่งยืนยันการรับและเขียนใบเสร็จรับเงิน จากนั้นทั้งสามฝ่ายจึงลงนามในเอกสาร
หรงจี้เหมยไม่เห็นเครื่องประดับทองของโต้วโต้วจึงถามว่า “แล้วเครื่องประดับทองของโต้วโต้วอยู่ไหน?”
เสิ่นเสี่ยวผิงตอบกลับด้วยสีหน้าเรียบเฉย “เราจำเป็นต้องตรวจสอบเครื่องประดับทองที่ห้างสรรพสินค้าภายใต้การเป็นพยานของสมาชิกคณะกรรมการละแวกบ้านก่อนน่ะค่ะ จึงจะสามารถส่งมอบให้กับโต้วโต้วได้ ไม่อย่างนั้นฉันเกรงว่าคุณอาจแว้งกัดและกล่าวหาฉันในภายหลังว่าให้เครื่องประดับทองปลอมแก่คุณ แบบนั้นมันก็ลำบากฉันไม่ใช่เหรอคะ?”
หลังจากทำทุกอย่างเสร็จแล้ว เสิ่นเสี่ยวผิงก็ต่อสายถึงหลินม่าย
หลินม่ายถามหล่อนว่า โต้วโต้วได้อดอาหารประท้วงจริงไหม
เสิ่นเสี่ยวผิงลังเลอยู่ครู่หนึ่งและตอบว่า “ฉันไม่แน่ใจในเรื่องนี้ค่ะ แต่โต้วโต้วดูอ่อนแอ ฉันไม่แน่ใจว่าหล่อนแกล้งทำหรือเปล่า”
หลินม่ายบอก “บอกหล่อนให้โทรหาฉันตอนที่ว่าง”
ในช่วงบ่าย โต้วโต้วได้โทรมาหา
หลินม่ายถาม “ได้ยินว่าเธอกำลังอดอาหารเหรอ?”
โต้วโต้วส่งเสียงตอบรับแผ่วเบา
หลินม่ายถามอีกครั้ง “เธอยืนยันว่าจะให้ฉันจ่ายค่าเลี้ยงดูทั้งหมดเป็นเงินก้อนเดียวใช่ไหม?”
โต้วโต้วส่งเสียงตอบรับอีกครั้ง
“ฉันจ่ายเป็นเงินก้อนเดียวให้ก็ได้ แต่มันไม่อาจรับประกันชีวิตในอนาคตของเธอได้นะ เธอควรคิดให้ดี”
“ไม่เป็นไรค่ะ หนูคิดเรื่องนี้มาดีแล้ว”
คำพูดดี ๆ ไม่สามารถโน้มน้าวผีสางได้
หลินม่ายจึงไม่ต้องการพูดอะไรอีก และส่งมอบเรื่องนี้ให้กับเสิ่นเสี่ยวผิง
หลังจากที่โต้วโต้วได้รับเงินก้อนจากเสิ่นเสี่ยวผิงในนามของหลินม่าย ทั้งน้องชายและลูกพี่ลูกน้องที่หล่อนเกลียดต่างก็แย่งชิงกันประจบประแจงหล่อน
แม้ผู้ให้กำเนิดก็หันมาเอาใจหล่อนมากยิ่งขึ้น หากลูกพี่ลูกน้องหรือน้องชายทำให้หล่อนขุ่นเคืองรำคาญใจ พวกเขาก็จะถูกหรงจี้เหมยดุทันที
โต้วโต้วเพลิดเพลินกับความรู้สึกของการเป็นเดือนที่ถูกรายล้อมไปด้วยดวงดาวยิ่งนัก
คืนหนึ่งขณะที่โต้วโต้วหลับอยู่ จิงจิงก็เรียกหรงจี้เหมยออกจากห้องและพูดด้วยสีหน้าบูดบึ้ง “คุณอา เมื่อไหร่เราจะกำจัดโต้วโต้วออกไปได้สักทีคะ?”
หรงจี้เหมยถามด้วยความประหลาดใจ “ทำไมจู่ ๆ ถึงถามแบบนั้นล่ะ?”
“เงินทองของนังโง่นั่นอยู่ในมือของอาหมดแล้ว ทำไมเราต้องเก็บนังนั่นไว้ด้วย?”
ตั้งแต่โต้วโต้วกลับมา วันดี ๆ ของหล่อนก็ได้จบลง
อย่างแรกคือโต้วโต้วเข้ามาครอบครองห้องนี้ โดยปล่อยให้จิงจิงอยู่ร่วมกับน้องชายสองคนของหล่อนในเพิงไม้พักอาศัยชั่วคราวซึ่งหรงจี้เหมยและสามีประกอบขึ้นจากกระดานไม้เก่า
แม้แต่อาหารและเสื้อผ้าในบ้านก็ยังให้ความสำคัญกับเด็กเหลือขอโต้วโต้วที่น่ารำคาญ
ที่น่ารำคาญยิ่งกว่านั้นคือ เพียงเพราะโต้วโต้วไม่ชอบหล่อน อีกฝ่ายจึงยืนกรานให้หล่อนซักเสื้อผ้า ถ้าจิงจิงปฏิเสธ โต้วโต้วจะวิ่งไปฟ้องอา โดยเรียกร้องให้อาลงโทษจิงจิง และโต้วโต้วก็ไม่ยอมผ่อนปรนจนกว่าอาจะดุหรือลงโทษจิงจิง
จิงจิงจึงเกลียดโต้วโต้วอย่างถึงที่สุด และปรารถนาทุกวันว่าหรงจี้เหมยจะกำจัดเด็กนั่นทิ้ง
โดยไม่คำนึงถึงถึงความเกลียดชังที่มีต่อโต้วโต้ว หรงจี้เหมยชื่นชอบหลานสาวคนนี้อย่างมาก
หล่อนไม่เคยลืมปีที่หลานสาวและหลานชายเติบโตมาด้วยกันโดยไม่มีพ่อแม่ แบ่งปันความยากลำบากและความสุขร่วมกัน
หล่อนลูบหัวจิงจิงด้วยความรัก “อดทนหน่อยนะ โต้วโต้วยังมีค่าสำหรับเราอยู่”
หากหล่อนสามารถเขี่ยโต้วโต้วทิ้งไปได้ หล่อนคงทำไปนานแล้ว
แม้ว่าค่าเลี้ยงดูของโต้วโต้ว เครื่องประดับทอง เสื้อผ้า รองเท้า และของใช้ทั้งหมดจะตกอยู่ในมือของหล่อนแล้ว แต่วันหนึ่งมันจะต้องหมดไป
ถึงเวลานั้น หล่อนต้องการให้โต้วโต้วแกล้งทำเป็นน่าสงสารและขอเงินหลินม่ายอีก
โต้วโต้วแกล้งอดอาหารในครั้งนี้เพื่อขอเงินก้อน และหล่อนอาจจะใช้มันอีกครั้งในอนาคต นั่นเป็นเหตุผลว่าทำไมหล่อนยังเฉดหัวโต้วโต้วออกจากบ้านไปไม่ได้
หลังจากทำตามความเรียกร้องของโต้วโต้ว หลินม่ายก็ได้เพลิดเพลินกับวันคืนอันสงบสุขเพียงสองวันเท่านั้น จากนั้นโศกนาฏกรรมก็มาถึง หวังจวินคนงานต่างถิ่นที่ได้รับบาดเจ็บกระดูกหักละเอียดได้ทำการกลืนยาเพื่อฆ่าตัวตาย
เมื่อหลินม่ายได้รับข่าว เธอรีบตรงไปโรงพยาบาล ก่อนจะรู้ว่าบุคคลนั้นได้รับการช่วยเหลือและยังอยู่ในอาการโคม่า
เธอถามแรงงานในห้องพักผู้ป่วยเดียวกันด้วยความงุนงง ก่อนหน้าหวังจวินยังดูสบายดี เหตุใดจู่ ๆ เขาถึงฆ่าตัวตาย?
ตอนที่เขารู้ว่าตนเองได้รับบาดเจ็บกระดูกขาหักข้างหนึ่ง เขาไม่มีท่าทีหรือความคิดที่จะฆ่าตัวตายเลย
คนงานเหล่านั้นเล่าเรื่องราวทั้งหมดให้เธอฟังในคราวเดียวว่า หลานเซียงภรรยาของหวังจวินไม่เต็มใจที่จะดูแลเขาแม้แต่นาทีเดียว เป็นเหล่าคนงานเองที่ช่วยกันดูแลเขา
หลานเซียงมาเผชิญหน้ากับหวังจวินในห้องพักผู้ป่วยสองถึงสามวันเพื่อฟ้องหย่า
หวังจวินไม่เห็นด้วย เขาเป็นลูกชายคนเดียวในครอบครัว ตอนที่เขาแต่งงานกับหลานเซียง พิธีแต่งงานอันทรงเกียรติทำให้ครอบครัวของเขามีหนี้สินจำนวนมาก หากทั้งคู่หย่าร้างกัน หวังจวินเกรงว่าพ่อแม่ของเขาจะต้องเครียดกับหนี้สินเหล่านั้นจนตัวตาย
หลานเซียงต่อว่าหวังจวินทุกวัน ซึ่งล้วนเป็นถ้อยคำที่รุนแรง
หวังจวินกังวลว่าตนเองจะต้องพิการอยู่ก่อนแล้ว และคงไม่สามารถดูแลพ่อแม่ของเขาได้ในอนาคต ซึ่งอาจเป็นพ่อแม่เองที่ต้องมาดูแลเขา
ตอนนี้ภรรยาของเขาบังคับให้เขาหย่าร้าง หนี้สินจากงานแต่งล้นหลาม เขาอยู่ภายใต้แรงกดดันทางจิตใจมากเกินไปและคิดไม่ออกอยู่พักหนึ่ง ส่งผลให้เขากลืนยาเพื่อฆ่าตัวตาย
เมื่อหวังจวินตื่นขึ้น หลินม่ายถามเขาว่า “ถ้าคุณตายไป พ่อแม่ของคุณจะพึ่งพาใครยามแก่เฒ่า? คุณมีแก่ใจจะให้พ่อแม่ทำงานกลางทุ่งนาเพื่อหาเรื่องชีพในวัย 80 ปี เพราะพวกเขาไม่มีลูกชายที่คอยเลี้ยงดูงั้นหรือ?”
หวังจวินหลั่งน้ำตา “ผมเป็นคนไร้ค่า รักษาภรรยาไว้ไม่ได้ ตอนนี้ผมกำลังจะกลายเป็นคนพิการ แล้วจะหาเลี้ยงให้พ่อแม่ในอนาคตได้อย่างไร?”
“ไม่ต้องพูดถึงแนวโน้มที่จะพิการเท่านั้น ถึงแม้ว่าคุณจะพิการแล้วก็ตาม แต่ในฐานะชายหนุ่ม กำลังวังชาของคุณยังแข็งแรงกว่าพ่อแม่ คุณยังคงต้องดูแลพวกท่านยามแก่ชราอีกด้วย พ่อแม่เลี้ยงดูลูกของคุณไม่ได้ คุณก็เลยไม่เลี้ยงดูพวกเขาเหรอ”
“ตะ… แต่หลานเซียงต้องการหย่ากับผม…”
“แตงที่ฝืนเด็ดจากต้นย่อมไม่หวาน คุณก็แค่ปล่อยหล่อนไป”
“ตะ… แต่ว่าสินสอดทองหมั้นมากมาย…”
หลินม่ายครุ่นคิด หวังจวินและหลานเซียงแต่งงานกันมาหลายปีแล้ว มันไม่สมเหตุสมผลนักที่จะขอสินสอดทองหมั้นผ่านศาล แต่สามารถขอด้วยวิธีอื่นได้
…………………………………………………………………………………………………………………………
สารจากผู้แปล
ตัดสินใจดีแล้วก็โอเค ชีวิตอนาคตของเธอจะเป็นยังไงก็ไม่เกี่ยวกับแม่หลินแล้วนะน้องถั่วเน่า เธอทำตัวเองล้วนๆ
ไหหม่า(海馬)