แม่ปากร้ายยุค 80 - ตอนที่ 995 โต้วโต้วไปพบแพทย์
ตอนที่ 995 โต้วโต้วไปพบแพทย์
ตอนที่ 995 โต้วโต้วไปพบแพทย์
วันถัดมาเป็นวันรายงานตัวจบการศึกษาของคณะ
ไม่รู้ว่าเป็นเพราะนี่คือปีสุดท้ายหรือไม่ นักศึกษาหลายคนจึงเอาแต่พูดคุยกันในเรื่องการได้บรรจุงาน
ทุกคนกำลังพูดถึงว่าหลังสำเร็จการศึกษาแล้วจะได้รับจัดสรรให้ไปทำงานที่ไหน และได้รับค่าตอบแทนเท่าใด
แม้หลินม่ายจะไม่ได้รับการมอบหมายงานให้จากรัฐ แต่เธอก็ยังเงี่ยหูฟังเพื่อนร่วมชั้นพูดคุยกันอย่างสนอกสนใจ
หลังจากรายงานตัวแล้วและกำลังจะออกไป เธอได้ยินเพื่อนร่วมชั้นคนหนึ่งกล่าวขึ้นว่า “รู้หรือเปล่าว่ามหาวิทยาลัยมีทุนให้ไปเรียนต่อต่างประเทศจำนวนมากเลยนะ”
นักศึกษาหลายคนตอบกลับ “รู้แล้วล่ะ”
โอ้ มีเรื่องดี ๆ แบบนี้ด้วย!
หลินม่ายพบว่าตัวเองไม่เคยรู้เรื่องนี้มาก่อน ค่อนข้างเป็นการเปิดโลกให้กับเธอไม่น้อย
เธอหยุดเดิน ก่อนจะฟังเพื่อนร่วมชั้นพุดคุยกันเรื่องนี้
เพื่อนร่วมชั้นคนหนึ่งกล่าวขึ้นมาด้วยความหงุดหงิด “รู้แล้วยังไงล่ะ ปีที่แล้วในสาขาของเราได้รับทุนแค่สองคนเท่านั้น และทุนทั้งสองนี้จะเป็นของนักศึกษาที่เก่งที่สุดในสาขา มันไม่เกี่ยวข้องกับพวกเราอยู่แล้ว”
เสียงร้องโอดครวญดังขึ้นทันที
ทันใดหลินม่ายก็จดจำความปรารถนาสูงสุดของตนได้เมื่อครั้งเลือกเรียนสาขานี้
นั่นคือสร้างระบบผลิตชิปของประเทศตัวเองตั้งแต่เนิ่น ๆ เพื่อไม่ให้ถูกต่างประเทศฉกฉวยเอาโอกาสนี้ไป
เธอยุ่งอยู่กับการเรียนและการทำธุรกิจจนลืมหัวข้อสำคัญนี้ไปแล้ว
ระหว่างพักเที่ยง หลินม่ายบอกทั้งครอบครัวถึงเรื่องทุนไปเรียนต่อต่างประเทศ
คุณปู่ฟางเข้าใจผิดว่าเธอต้องการทุนไปเรียนต่างประเทศแต่ไม่มีคุณสมบัติ จึงอยากให้เขาช่วยเหลือ
หลินม่ายเรียนไปด้วยและทำงานไปด้วย การงานไปได้ดี แต่ผลการเรียนกลับไม่ค่อยน่าพอใจเท่าใด คะแนนของเธอสูงกว่าค่าเฉลี่ยเพียงเล็กน้อย เคยได้รับทุนการศึกษาครั้งหนึ่ง แต่หลังจากนั้นก็ไม่ได้รับอีกเลย
สาเหตุหลักก็คือเธอมักจะขอลาเพื่อมาทำงาน ซึ่งสิ่งนี้ส่งผลกระทบต่อการเรียน
คุณปู่ฟางกล่าวด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม “ถ้าอยากจะไปเรียนต่างประเทศ เราจ่ายเงินเองก็ได้ ไม่ใช่ครอบครัวเราจ่ายไม่ได้สักหน่อย สุดท้ายแล้วเราไม่ต้องใช้ทุนนักเรียนดีเด่นหรอก”
หลินม่ายยิ้มก่อนจะตักหมูตุ๋นติดหนังให้คุณปูฟาง “คุณปู่คะ ฉันไม่ไปแย่งทุนของเหล่านักเรียนดีเด่นหรอกค่ะ แต่ฉันอยากให้คุณปู่ออกหน้าแทนฉันหน่อย ว่าเราจะมอบทุนเอกชน 30 ที่นั่งจากสาขาวิชาเอกของฉันเพื่อไปเรียนต่อต่างประเทศค่ะ”
คุณปู่ฟางปฏิเสธทันที “อย่าพูดเรื่องใช้เส้นสายกับฉัน”
หลินม่ายขอให้คุณปู่ฟางใช้เส้นสาย เพราะอยากจะให้ประเทศเตรียมรับมือกับธุรกิจชิปในอนาคต
แต่เพราะคุณปู่ฟางเป็นคนเถรตรงมาก และปฏิเสธที่จะช่วยเหลือ มันจึงกลายเป็นเรื่องยากทันที
หลินม่ายเล่าให้คุณปู่ฟางฟังถึงความสำคัญของเรื่องนี้
คุณปู่ฟางบอกกล่าวว่าเธอไม่ควรกังวลมากเกินไป สุดท้ายแล้วประเทศนี้ก็สามารถผลิตระเบิดปรมาณูได้ด้วยตัวเอง ชิปขนาดกระจ้อยร่อยเช่นนี้ไม่อาจหยุดยั้งลูกหลานจีนได้หรอก
หลินม่ายไม่มีทางเลือกนอกจากหยุดพูด และคิดหาวิธีการอื่น
ตอนกลางคืน หลังจากทั้งสามเข้ามาในห้องแล้ว ฟางจั๋วหรานเงยหน้ามองหลินม่ายก่อนจะถามว่า “ทำไมวันนี้คุณดูเครียดจังเลย? งานมีปัญหาอีกแล้วเหรอครับ?”
หลินม่ายส่ายศีรษะ “เปล่าค่ะ”
จากนั้นเธอก็บอกเล่าเรื่องที่เธออยากจะสนับสนุนทุนให้กับนักเรียน 30 คนในสาขาวิชาเอกของตัวเองไปเรียนต่อที่สหรัฐอเมริกาด้วยเงินส่วนตัว
ตลอดทั้งวัน เธอครุ่นคิดอยู่ในใจว่าใครเหมาะสมที่สุดที่จะได้รับคัดเลือก
แต่คุณปู่ฟางพูดถูก เธอไม่สามารถใช้ทุนไปเรียนต่อต่างประเทศด้วยเงินทุนรัฐบาลได้ เธอควรใช้เงินของตัวเองเพื่อดำเนินเรื่องนี้
ขณะที่กำลังเล่นกับเสี่ยวมู่ตง ฟางจั๋วหรานพูดขึ้นว่า “ความคิดของคุณเป็นเพียงทฤษฎี แต่ถ้ามองตามหลักความจริงแล้ว ผมกลัวว่าคุณจะต้องเผชิญหน้ากับความสูญเสีย”
หลินม่ายถามทันที “ทำไมถึงพูดแบบนั้นล่ะคะ?”
“ในบรรดานักศึกษาทั้งหมดที่เรียนจบจากมหาวิทยาลัยชิงหวาและมหาวิทยาลัยปักกิ่ง มีกี่คนที่จะกลับมากัน? ส่วนใหญ่ล้วนไปทำงานในประเทศที่พัฒนาแล้วทั้งนั้น”
หลินม่ายเงียบไปครู่หนึ่ง
เธอลืมเรื่องนี้ไปเลย
เธอใช้เงินเพื่อฝึกฝนผู้มีความสามารถด้านเทคโนโลยีชิปให้กับประเทศของตัวเอง และไม่ต้องการใช้เงินและความพยายามอย่างหนักเพื่อฝึกฝนคนจากประเทศตัวเองให้ไปทำงานกับประเทศที่พัฒนาแล้วในท้ายที่สุด
หรือจะมอบทุนการศึกษาทั้ง 30 ที่นั่งให้กับผู้รักชาติดี?
ให้พวกเขาที่เต็มไปด้วยศรัทธาได้กลับมารับใช้ประเทศบ้านเกิดหลังจากเรียนจบ?
หลินม่ายรู้สึกไม่มั่นใจขึ้นมาทันที
สุดท้ายแล้วทุนสาธารณะในชาติก่อนทั้งหมดล้วนแต่มาจากประเทศเกาะไม่ใช่เหรอ?
เพื่อแสดงให้พวกเขามีวิสัยทัศน์กว้างไกล และมีความรู้มากกว่าคนธรรมดา คนที่มีจิตใจสูงส่งเหล่านั้นถึงกับสังหารหมู่ประชาชนกว่าสามแสนคนในหนานจิง
หากถามหาความรักชาติ มันก็ไม่ต่างอะไรจากการขอหนังจากเสือ
คนที่มีการศึกษาส่วนใหญ่แล้วเห็นแก่ตัวกว่าคนทั่วไป เพียงเพราะต้องการมีชีวิตที่ดี พวกเขาจะไม่สนใจประเทศชาติหรือคนในชาติ
นั่นเป็นสาเหตุที่นักศึกษาจำนวนมากจากมหาวิทยาลัยชิงหวาและมหาวิทยาลัยปักกิ่งไปศึกษาต่อในต่างประเทศและไม่เคยกลับมาอีกเลย
หลินม่ายไม่อยากสนับสนุนพวกเนรคุณเหล่านี้ เรื่องนี้จะต้องใช้เวลาคิดให้รอบคอบ
หลินม่ายระงับแผนการฝึกฝนทักษะด้านการพัฒนาชิปด้วยค่าใช้จ่ายของตัวเองไว้ชั่วคราว ตอนนี้เสิ่นเสี่ยวผิงทำตามคำแนะนำของเธอเพื่อเล่นตามแผนของโต้วโต้วทีละขั้นตอน
เช้าวันรุ่งขึ้น หลังจากได้รับคำสั่งของหลินม่าย เสิ่นเสี่ยวผิงก็มาที่บ้านของหรงจี้เหมย
เสิ่นเสี่ยวผิงตกใจเล็กน้อยหลังจากได้พบโต้วโต้วครั้งแรก
หล่อนไม่ได้เจอกับโต้วโต้วเพียงเดือนเดียวเท่านั้น ตอนนี้โต้วโต้วกลับมีน้ำหนักลดไปมาก แม้หล่อนจะดูสวยขึ้น แต่เสิ่นเสี่ยวผิงก็รู้สึกว่ารูปร่างอ้วนท้วนของหล่อนเป็นข้อพิสูจน์หนึ่งว่าหล่อนได้อยู่อย่างสุขสบาย
เสิ่นเสี่ยวผิงเผยสีหน้าเคร่งขรึมก่อนจะหันไปคุยกับหรงจี้เหมย “คุณได้ค่าครองชีพ 150 หยวนต่อเดือนไปแล้ว แต่คุณเลี้ยงดูเด็กแบบนี้น่ะเหรอ?”
ก่อนหรงจี้เหมยจะตอบกลับ โต้วโต้วก็กล่าวแทรก “อย่าตำหนิพ่อกับแม่เรื่องนี้เลยค่ะ หนูกินเนื้อคนเดียวไม่ได้ ต้องแบ่งให้พ่อ น้องชาย และลูกพี่ลูกน้องที่เฝ้ามองจากข้าง ๆ ด้วย อาหารสำหรับคน ๆ เดียว หลังแจกจ่ายให้กับทั้งครอบครัวแล้วก็เหลือไม่เท่าไหร่ ไม่แปลกที่หนูจะน้ำหนักลด ถ้าแม่สนับสนุนเงินเพิ่มอีกสัก 2-3 ร้อยหยวน เรื่องแบบนี้คงจะไม่เกิด”
เสิ่นเสี่ยวผิงแทบกระอักด้วยความโกรธ เด็กโง่คนนี้กำลังทุกข์ทรมานจากพ่อแม่ผู้ให้กำเนิด แต่กลับโทษว่าเป็นความผิดหลินม่ายที่มอบเงินให้น้อยเกินไป!
เสิ่นเสี่ยวผิงพยายามอดกลั้นก่อนจะกล่าวแผ่วเบา “ไปโรงพยาบาลกันเถอะ”
หรงจี้เหมยและโต้วโต้วพาเสิ่นเสี่ยวผิงไปที่โรงพยาบาลของคนงานในบริษัท
เสิ่นเสี่ยวผิงยืนหน้าประตูโรงพยาบาลก่อนจะถามว่า “แน่ใจนะว่าจะเข้าโรงพยาบาลนี้?”
สภาพการรักษาของโรงพยาบาลแห่งนี้ย่ำแย่มาก มีเพียงลูกจ้างและครอบครัวของพนักงานในบริษัทคู่สัญญาเท่านั้นที่มาพบแพทย์ แทบจะไม่มีบุคคลเจ็บป่วยร้ายแรงมาที่นี่เลย ส่วนใหญ่แล้วมีแต่อาการป่วยเล็กน้อย เช่น ไข้หวัด หรือไอ
พนักงานเหล่านั้นพร้อมกับสมาชิกในครอบครัวจะมาที่โรงพยาบาลแห่งนี้เพื่อรักษาฟรี
หรงจี้เหมยลอบสะกิดมือของโต้วโต้ว เวลานี้โต้วโต้วก็พูดทันที “ถ้ามาหาหมอที่นี่ จะถูกกว่ามาก”
มันคือความจริง
แต่ครั้นคำพูดที่ดูคล้ายจะประหยัดออกมาจากปากของโต้วโต้ว เสิ่นเสี่ยวผิงก็รู้สึกประหลาดใจ
ทั้งกลุ่มเดินเข้ามาในโรงพยาบาล เสิ่นเสี่ยวผิงลงทะเบียนชื่อให้กับโต้วโต้ว และทุกคนเดินไปที่ห้องผู้ป่วยนอกด้วยกัน
ในโรงพยาบาลเล็ก ๆ แห่งนี้ยังมีคนไข้ไม่มากนัก เพราะยังเช้ามาก
กระทั่งห้องผู้ป่วยนอกก็ยังมีผู้ป่วยอยู่เพียงไม่กี่คนเท่านั้น
มีแพทย์ทั้งหมดแปดคน และมีเพียงหกคนกำลังพูดคุยกับคนไข้อยู่ ส่วนอีกสองคนไม่ได้ทำอะไร
โต้วโต้วเดินเข้าไปอย่างรวดเร็ว ก่อนจะนั่งลงตรงหน้าหมอหนุ่มคนหนึ่ง
หลังจากแพทย์ได้ยินว่าโต้วโต้วมาด้วยโรคหัวใจ เขาฟังเสียงหัวใจของเธอสักครู่ก่อนจะเผยสีหน้าจริงจังขึ้น
หรงจี้เหมยถามออกไปอย่างกังวล “คุณหมอ อาการลูกของฉันเป็นยังไงบ้างคะ?”
หลังจากตรวจเบื้องต้นแล้ว แพทย์ก็กล่าวต่อ “อาการแย่มาก ทำไมถึงเพิ่งพาเด็กมาหาหมอวันนี้?”
หรงจี้เหมยหันมองเสิ่นเสี่ยวผิงด้วยสีหน้ากล่าวโทษ “มีคนปฏิเสธจะจ่ายเงิน เรื่องราวเลยลากยาวมาถึงตอนนี้ค่ะ”
เสิ่นเสี่ยวผิงไม่สามารถอดทนได้อีกต่อไป “เด็กคนนี้เป็นลูกสาวของคุณ แล้วลูกสาวของคุณกำลังป่วย แต่คุณกลับไม่คิดจะจ่ายค่ารักษาพยาบาลให้หล่อน คุณจะรอให้คนอื่นมาจ่ายให้ได้ยังไง? หนังหน้าของคุณถูกสุนัขกินไปหมดแล้วหรือไง?!”
โต้วโต้วกล่าวด้วยน้ำเสียงมั่นคง “เพราะแม่สัญญากับหนูว่าถ้าหนูป่วยจะให้เงินหนูไปหาหมอ ถ้าไม่ใช่เพราะคุณน้าไม่จ่ายเงินให้หนู หนูก็คงไม่ต้องเลื่อนนัดหมอนานขนาดนี้ไหมคะ?”
ใบหน้าของหล่อนเต็มไปด้วยความขุ่นเคือง ดูไม่เหมือนเด็กที่ป่วยแต่อย่างใด
หรงจี้เหมยหัวเราะ “มันไม่ใช่เงินของคุณสักหน่อย ทำไมยังชักช้าอยู่ล่ะ?”
เสิ่นเสี่ยวผิงโกรธมาก
แพทย์ออกเอกสารหลายฉบับและทำการตรวจโต้วโต้ว
ผลตรวจอย่างการตรวจคลื่นหัวใจไฟฟ้าออกมาแล้ว
แพทย์หญิงที่ทำการตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจให้กับโต้วโต้วบอกกับหรงจี้เหมยและเสิ่นเสี่ยวผิงว่า “อาการของเด็กแย่แล้ว หล่อนต้องแอดมิทโรงพยาบาลด่วน”
เสิ่นเสี่ยวผิงถามทันที “จริงเหรอคะ? คุณตรวจดีแล้วแน่นะ?”
แพทย์หญิงกล่าวออกมาอย่างขุ่นเคือง “ฉันทำงานนี้มาอย่างน้อยสิบปี คุณคิดว่าฉันจะตรวจพลาดเหรอ?”
เสิ่นเสี่ยวผิงตอบกลับด้วยน้ำเสียงเย็นชา “ฉันต้องการให้คุณตอบให้ตรงคำถาม!”
“มันไม่ผิดแน่! คุณได้ยินไม่ชัดอีกเหรอคะ?” แพทย์หญิงโต้กลับอย่างไม่ยินดี
เสิ่นเสี่ยวผิงหยิบเอกสารการตรวจหลายแผ่น ก่อนจะกลับไปหาหมอหนุ่มที่รักษาโต้วโต้วก่อนหน้าพร้อมกับแม่และลูกสาว
หมอหนุ่มคนนี้บอกว่าอาการของโต้วโต้วไม่ค่อยดีนัก และเขาจะส่งตัวโต้วโต้วเข้ารักษาตัวในโรงพยาบาลทันที
เสิ่นเสี่ยวผิงมองดูการจ่ายเงินล่วงหน้าของค่ารักษาพยาบาลที่ออกโดยแพทย์คนนั้นหรือเรียกกันว่าเงินมัดจำ มันระบุเอาไว้เป็นเงิน 3,000 หยวน เวลานี้หล่อนถึงกับอุทานออกมาอย่างประหลาดใจ “ต้องใช้เงินมากขนาดนั้นเชียวเหรอ?”
แพทย์หันมองเธออย่างเย้ยหยัน “การรักษาโรคหัวใจไม่ใช่เรื่องเล็กน้อย อีกอย่างโรคของเด็กคนนี้ร้ายแรงมาก เราต้องนำเข้ายาต่างประเทศเพื่อรักษาหล่อน มันเลยแพงเป็นปกติ ที่ผมเขียนออกมาเป็นส่วนหนึ่งของค่ารักษาเท่านั้น และหลังจากเข้าพักในโรงพยาบาลแล้วอาจจะมีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม”
เสิ่นเสี่ยวผิงถามต่อ “ค่ารักษาพยาบาลทั้งหมดเท่าไหร่คะ?”
หมอหนุ่มไตร่ตรองสักครู่ก่อนจะตอบ “ประมาณห้าพันหยวน”
เสิ่นเสี่ยวผิงดึงโต้วโต้วออกไป “โรงพยาบาลเล็ก ๆ แคบ ๆ แบบนี้ แต่กล้าเรียกค่ารักษาพยาบาล 5,000 หยวนเนี่ยนะ รู้งี้ไปรักษาที่โรงพยาบาลผู่จี้ดีกว่า!”
แพทย์หนุ่มหัวเราะออกมา “ถ้าคุณมีเงิน 20,000 หยวนเพื่อรักษาในโรงพยาบาลผู่จี้ก็เอาเลย”
โต้วโต้วสะบัดมือเสิ่นเสี่ยวผิง ก่อนจะกล่าวออกมาอย่างนุ่มนวล “คุณน้า เราอยู่กับหมอที่นี่เถอะค่ะ ค่ารักษามันถูกกว่ามาก”
หรงจี้เหมยเองก็ช่วยสนับสนุน เสิ่นเสี่ยวผิงจึงยินยอมในท้ายที่สุด
หล่อนจ่ายเงินค่ารักษาด้วยใบหน้าเคร่งขรึมก่อนจะจากไป หลังจากนั้นหลี่กวงจื้อปรากฏตัวขึ้น
โต้วโต้วถามทันที “ทำไมพ่อถึงมาที่นี่ล่ะคะ? พ่อไม่ได้ไปทำงานที่ไซต์ก่อสร้างเหรอ?”
หลี่กวงจื้อหยิกแก้มน้อย ๆ ของเธอก่อนจะหยิบขาไก่ออกมา “เจ้าหญิงตัวน้อยของเราป่วย พ่อจะไม่มาเยี่ยมได้เหรอ? ขาไก่นี้พ่อซื้อมาฝากลูกคนเดียว คนอื่น ๆ ไม่ได้กินด้วยหรอก”
โต้วโต้วมีความสุขมากก่อนจะรับขาไก่มากิน
หล่อนชอบการได้เป็นคนสำคัญของพ่อและแม่ที่สุด
หลี่กวงจื้อลอบขยิบตาให้กับหรงจี้เหมย ก่อนทั้งสองคนจะเดินออกมา
หลี่กวงจื้อถามอย่างอดใจไม่ไหว “เรียบร้อยแล้วใช่ไหม?”
หรงจี้เหมยพยักหน้าด้วยรอยยิ้ม “หลังจากโต้วโต้วออกจากโรงพยาบาล เราจะได้เงินสองพันหยวน”
หลี่กวงจื้อเผยแววตาละโมบ “สุดท้ายแล้วมันขึ้นอยู่กับสถานการณ์ ถ้านังสารเลวแซ่เสิ่นคนนั้นหลอกง่าย เราจะปล่อยให้โต้วโต้วอยู่ในโรงพยาบาลเพื่อรับค่ารักษามากขึ้น”
หรงจี้เหมยพยักหน้า “ในอนาคตให้โต้วโต้วแกล้งป่วยบ้างก็ดี ฉันอยากจะหยุดทำงานและใช้ชีวิตสบาย ๆ บ้าง”
พยาบาลเดินเข้ามาพร้อมกับรถเข็นคันเล็กเพื่อจะฉีดยาให้กับโต้วโต้ว หรงจี้เหมยเองก็เข้ามาด้านในเพื่อดูแลโต้วโต้ว
ก่อนที่จะให้ยาทางหลอดเลือดดำ จู่ ๆ เสิ่นเสี่ยวผิงก็พาตำรวจและสหพันธ์สตรีเข้ามา
…………………………………………………………………………………………………………………………
สารจากผู้แปล
คิดว่าหลอกเอาเงินหลินม่ายได้แล้วงั้นสิฝูงปลิงพวกนี้ ยังจ้า ละครฉากนี้ยังไม่จบ
ไหหม่า(海馬)