แม่ปากร้ายยุค 80 - ตอนที่ 1112 ยืมเงินเพื่อตักตวง
ตอนที่ 1112 ยืมเงินเพื่อตักตวง
……….
ตอนที่ 1112 ยืมเงินเพื่อตักตวง
หลินม่ายกลับมาที่สหรัฐอเมริกา และพักผ่อนที่บ้านเพียงวันเดียว ก่อนที่เธอจะมัวยุ่งกับการซื้อหุ้นที่จุดต่ำสุด
เธอต้องการคว้าโอกาสและสร้างโชคลาภ ซึ่งต้องใช้เงินทุนจำนวนมาก
แม้หลินม่ายจะมีทรัพย์สินมูลค่าสุทธิหลายร้อยล้าน แต่ทั้งหมดล้วนเป็นสกุลเงินจีน หากแปลงเป็นดอลลาร์สหรัฐก็มีไม่มากนัก
นอกจากนี้ เธอยังต้องการเปิดตลาดในสหรัฐอเมริกาและต้องการเงินทุนหมุนเวียน จึงเป็นไปไม่ได้เลยที่จะใช้เงินทุนที่มีจำกัดเพื่อเก็งกำไรหุ้น
หลินม่ายเริ่มนึกถึงฟางจั๋วหราน
ในเมื่อเขาร่ำรวยมาก บางทีอาจต้องขอยืมเงินเขา
เมื่อหลินม่ายมาขอยืมเงินจากฟางจั๋วหราน 30 ล้านเหรียญสหรัฐ ฟางจั๋วหรานก็มองเธอด้วยความประหลาดใจ “เงินของผมทั้งหมดก็เป็นของคุณไม่ใช่เหรอ? ทำไมยังอยากยืมผมล่ะ? แค่บอกฝ่ายการเงินว่าคุณต้องการเท่าไหร่”
อย่างไรก็ตาม สิ่งต่าง ๆ ไม่ได้ง่ายดายอย่างนั้น
เมื่อหลินม่ายขอให้ฝ่ายการเงินโอนเงิน 30 ล้านเหรียญสหรัฐไปยังบัญชีส่วนตัวของเธอ ผู้อำนวยการฝ่ายการเงินได้รายงานเรื่องนี้ให้หงเจี้ยนฉีทันที
หลังจากนั้นหลายเดือน หลินม่ายได้เปลี่ยนสมาชิกบริษัทกุยตันทั้งหมดตั้งแต่บนลงล่างด้วยคนของเธอ ยกเว้นพนักงานอาวุโสและผู้บริหารเพียงไม่กี่คนที่ภักดีต่อป้าของเธอและบริษัท
หลินม่ายรู้สึกขอบคุณลุงหงที่แจ้งข่าวคราวให้เธอก่อนหน้านี้ เขามีความสามารถและภักดีต่อป้าที่เสียชีวิตไปแล้ว
เขาได้รับการเลื่อนตำแหน่งเป็นพิเศษให้เป็นรองประธาน เพื่อจัดการการเงินของบริษัททั้งหมด
หงเจี้ยนฉีได้ยินจากผู้อำนวยการฝ่ายการเงินว่าหลินม่ายต้องการโอนเงิน 30 ล้านดอลลาร์สหรัฐของบริษัทไปยังบัญชีส่วนตัวของเธอ เขาจึงไปเยี่ยมเธอเป็นการส่วนตัวเพื่อสอบถามว่าทำไม
หลินม่ายบอกเขาถึงแผนการซื้อหุ้นที่จุดต่ำสุด และยังบอกอีกว่าเธอแค่ยืมมา ไม่ได้ขอไปเลย และจะคืนเงินให้ทันทีเมื่อทำเงินได้
ลุงหงถามอย่างจริงจังว่า “ถ้าทำเงินไม่ได้ หรือถ้าเสียเงินทั้งหมด คุณจะหามาคืนได้อย่างไร?”
หลินม่ายตอบด้วยความมั่นใจ “เป็นไปไม่ได้ที่จะไม่ทำเงินเลย ไม่ต้องพูดถึงการสูญเสียเงิน ฉันไม่กล้าเสี่ยงเรื่องที่ฉันไม่แน่ใจอยู่แล้วค่ะ”
“อย่างที่บอกไปแล้วว่าคุณไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญด้านหุ้น แล้วจะรับประกันได้อย่างไรว่าจะไม่ขาดทุน? ยังไงซะผมก็ไม่อนุมัติเงินหรอก ผมอยากเก็บเงินไว้ให้นายน้อย”
ฟางจั๋วหรานจึงต้องออกโรงพูดคุยกับลุงหงเป็นการส่วนตัว เพื่อขอให้เขาอนุญาตให้ฝ่ายการเงินโอนเงิน 30 ล้านดอลลาร์สหรัฐให้กับหลินม่าย เขาบอกเธอซ้ำแล้วซ้ำอีกว่า ไม่ว่าเธอจะทำเงินจากการซื้อขายหุ้นหรือไม่ เธอจะต้องคืนเงินให้นายน้อย
หลินม่ายพยักหน้าอย่างเคร่งขรึม
หลินม่ายซื้อหุ้น 30 ล้านหุ้นในคราวเดียว ดึงดูดความสนใจของผู้ประกอบการด้านการลงทุนหลายรายในวอลสตรีท
แม้ว่าหุ้นจะดิ่งลง แต่ก็ยังไม่ถึงเวลาซื้อที่จุดต่ำสุด มันจึงไม่ใช่เวลาที่ดีที่สุดในการซื้อตอนนี้
โดยเฉพาะหุ้นที่หลินม่ายต้องการซื้อ มันมีความเป็นไปได้ที่จะล้มลง และในอนาคตก็แทบอาจไม่ขึ้นเลย แต่เธอกลับต้องการซื้อมัน มันเป็นเพราะเธอโง่และมีเงินมากเกินไปหรือเปล่า?
นักธุรกิจด้านการลงทุนหลายคนรู้ว่าหลินม่ายเป็นผู้บริหารสูงสุดของบริษัทกุยตันและร่ำรวยมาก
แต่ต่อให้ร่ำรวยแค่ไหน เงิน 30 ล้านก็ใช่ว่าจะหามาได้ง่ายดาย
เหล่าผู้ลงทุนรายใหญ่ต่างก็รอดูเรื่องตลกของหลินม่าย
สองวันติดต่อกัน หุ้นที่หลินม่ายซื้อก็ร่วงลง แต่ร่วงเพียงเล็กน้อยเท่านั้น
แต่ลุงหงกลับกังวลเหมือนมดบนกระทะร้อน โดยกลัวว่าหุ้นที่หลินม่ายซื้อมาจะยังคงตกต่อไป และเงิน 30 ล้านหยวนที่หลินม่ายยืมมาซื้อหุ้นจะสูญเปล่า
ยังโชคดี หุ้นที่หลินม่ายซื้อมาร่วงแค่สองวันจนถึงจุดลงต่ำสุด และไม่ร่วงลงอีก
เข้าสู่ปี 1988 แล้ว และปีนี้วันส่งท้ายปีเก่าตรงกับวันที่ 21 มกราคม ซึ่งเป็นวันสุดท้ายก่อนที่วันหยุดฤดูหนาวจะสิ้นสุดลง
แม้ว่าพวกเขาจะเป็นคนแปลกหน้าในต่างแดน แต่ชาวจีนส่วนใหญ่ยังคงจำรากเหง้าของตนเองได้ เทศกาลฤดูใบไม้ผลิไม่ใช่วันหยุดราชการในสหรัฐอเมริกา แต่ชาวจีนจำนวนมากล้วนแขวนโคมสีแดงเพื่อเฉลิมฉลอง
ร้านบะหมี่แห้งม่ายจื่อเซียงของหลินม่ายยังได้รื้อต้นคริสต์มาสที่อยู่หน้าประตูออก จากนั้นแขวนโคมสีแดง และติดตั้งตะแกรงหน้าต่าง ทำให้มีบรรยากาศปีใหม่มาก
และลูกค้าทุกคนที่เข้ามาในร้านจะได้รับซองอั่งเปา
ภายในซองอั่งเปาสีแดงไม่ใช่เงิน แต่เป็นบัตรกำนัล
เมื่อบริโภคถึงจำนวนที่กำหนดก็สามารถใช้บัตรกำนัลได้ พูดตรง ๆ เลยคือเป็นกระแสโปรโมชั่นช่วงตรุษจีน
ไม่กี่วันก่อนวันส่งท้ายปีเก่า ครอบครัวของหลินม่ายไปห้างสรรพสินค้าเพื่อซื้อเสื้อผ้าปีใหม่
แม้จะอยู่ต่างแดน แต่ก็ไม่ลืมประเพณีของตน และยังจำเป็นต้องซื้อเสื้อผ้าปีใหม่เหล่านี้
ตอนที่ครอบครัวกำลังชอปปิ้งในห้างสรรพสินค้ามัวร์ เสี่ยวตงตงแวะมาที่เคาน์เตอร์ของเล่นและมองดูลูกบาศก์รูบิคแทบไม่กะพริบตา
ฟางจั๋วหรานย่อตัวลงและถามว่า “อยากได้หรือ?”
หนูน้อยพยักหน้ารับ
ฟางจั๋วหรานยืนขึ้นและขอให้พนักงานขายนำลูกบาศก์รูบิคมาให้หนูน้อยได้เลือก
พนักงานขายที่หันหลังจัดเคาน์เตอร์ส่งเสียงตอบรับ และหยิบลูกบาศก์รูบิคไปสองถึงสามชิ้น เมื่อหันกลับไป หล่อนก็ตกตะลึงและใบหน้าแดงก่ำด้วยความกระดากอาย
หลินม่ายตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่ง เธอไม่คาดคิดว่าจะได้พบเฝิงเยว่จู๋ในสหรัฐอเมริกา
แต่เธอก็กลับมาเป็นปกติอย่างรวดเร็ว มันไม่สำคัญสำหรับเธอว่าเฝิงเยว่จู๋อยู่ที่ไหน
ฟางจั๋วหรานลืมเรื่องของเฝิงเยว่จู๋ไปนานแล้ว และจำไม่ได้ด้วยซ้ำว่าหล่อนเป็นใคร
เขาอุ้มเสี่ยวตงตงขึ้นมาและขอให้หนูน้อยเลือกลูกบาศก์รูบิค หลังจากจ่ายเงิน ทั้งครอบครัวก็จากไป
เฝิงเยว่จู๋มองดูแผ่นหลังของหลินม่ายและรู้สึกละอายใจมากจนแทบร้องไห้
เมื่อนึกถึงคำพูดที่เคยหัวเราะเยาะหลินม่าย หล่อนยิ่งละอายใจ
หล่อนบอกว่าต่อให้ไม่แต่งงานกับไป๋เซี่ย หล่อนก็จะแต่งงานแล้วย้ายมาใช้ชีวิตดีๆ ในสหรัฐอเมริกา
แต่ผลก็คือ หลังติดตามสามีมาอเมริกาอย่างมีความสุข หล่อนก็ตระหนักว่าสหรัฐอเมริกาไม่ใช่สวรรค์ ที่นี่มีการแข่งขันสูง และเป็นการยากที่จะหางานที่ดีกว่านี้
หล่อนไม่เก่งภาษาอังกฤษและมีปัญหาในการสื่อสารกับผู้อื่น นอกจากนี้คุณวุฒิระดับวิทยาลัยในประเทศจีนยังไม่ได้รับการยอมรับในสหรัฐอเมริกา
และต่อให้หล่อนจะพูดภาษาอังกฤษได้คล่อง หล่อนก็ไม่มีวุติการศึกษา ทำให้ไม่สามารถหางานดี ๆ ได้ สิ่งที่หล่อนทำได้จึงมีแค่ล้างจานในร้านอาหาร หรือทำงานเป็นพนักงานทำความสะอาดเท่านั้น
หลังจากทำงานในร้านอาหารล้างจานมากว่าครึ่งปี ในที่สุดหล่อนก็สามารถพูดคุยกับผู้คนเป็นภาษาอังกฤษได้
จากนั้นหล่อนก็เปลี่ยนงานและกลายเป็นพนักงานขาย
แต่หลังจากเริ่มงานได้ไม่กี่วัน หล่อนก็พบกับหลินม่ายโดยบังเอิญ
แม้หลินม่ายจะไม่ได้สวมเครื่องประดับสักชิ้น แต่เสื้อผ้าที่เธอสวมใส่ล้วนเป็นของแบรนด์ดัง ทำให้เห็นแล้วนึกอิจฉา
เฝิงเยว่จู๋มองดูหลินม่ายเดินจากไป ความรู้สึกละอายใจค่อย ๆ เลือนราง และแทนที่ด้วยการคิดไตร่ตรอง
ไม่ว่าจะล้างจานในร้านอาหารหรือทำงานขายของ หล่อนก็มีรายได้ที่ไม่สูงนัก สามีของหล่อนจึงมักดูถูก และปฏิบัติต่อหล่อนเหมือนพี่เลี้ยงเด็ก
เฝิงเยว่จู๋ต้องอดทนต่อสิ่งเหล่านี้
แค่คิดว่าเงินหนึ่งร้อยดอลลาร์ที่ส่งกลับทุกเดือนจะช่วยให้พ่อแม่ของหล่อนมีรายได้เพียงพอสู้หน้าญาติและเพื่อนฝูง หล่อนก็รู้สึกประสบความสำเร็จอย่างมาก และรู้สึกว่าความยากลำบากทั้งหมดที่ต้องทนทุกข์ในสหรัฐอเมริกานั้นคุ้มค่า
แต่ครึ่งปีต่อมา พ่อแม่ได้เขียนจดหมายแจ้งหล่อนว่าน้องชายของหล่อนกำลังจะมาเรียนที่สหรัฐอเมริกา โดยขอให้หล่อนและสามีรับผิดชอบค่าใช้จ่ายทั้งหมดของเขาในสหรัฐอเมริกาด้วย
เฝิงเยว่จู๋ปฏิเสธอย่างหนักแน่น
หล่อนรู้ดีกว่าใครว่าน้องชายของตนเรียนเก่งหรือไม่
เขาไม่อาจเข้าโรงเรียนมัธยมดี ๆ ในประเทศจีนได้ด้วยซ้ำ แต่ยังดั้นด้นมาเรียนที่สหรัฐอเมริกา นั่นไม่เท่ากับเสียเงินเปล่าเหรอ?
นอกจากนี้ ลู่เวยสามีของหล่อนก็ไม่เห็นด้วยกับการแบกรับค่าใช้จ่ายทั้งหมดสำหรับการศึกษาของเสี่ยวเฝิงในสหรัฐอเมริกา ภาระทางการเงินสำหรับพวกเขาในฐานะคู่รักนั้นค่อนข้างสำคัญ!
เขาและภรรยายังไม่ได้ตั้งหลักในสหรัฐอเมริกา ทั้งความคล่องตัวทางการเงินยังไม่ดีมาก พวกเขาไม่กล้ามีลูกด้วยซ้ำ ตอนนี้จะให้พวกเขามาดูแลน้องชาย เฝิงเยว่จู๋ย่อมไม่เต็มใจ
แต่พ่อเฝิงและแม่เฝิงไม่ได้คำนึงถึงความยากลำบากของเฝิงเยว่จู๋เลย เมื่อเดือนที่แล้วพวกเขายืนยันว่าจะให้น้องชายของเฝิงเยว่จู๋มาสหรัฐอเมริกา
เมื่อเขาอยู่ที่นี่ เฝิงเยว่จู๋ไม่สามารถเพิกเฉยได้ ดังนั้นเธอจึงทำได้เพียงพาน้องชายเข้ามาในบ้านเท่านั้น
ลู่เวยผู้เป็นสามีแทบจะระเบิดด้วยความโกรธ
เมื่อสองเดือนที่แล้ว ลู่เวยถูกไล่ออกจากบริษัทกุยตัน และเขาก็หางานไม่ได้หลังจากผ่านมาสองเดือน
ทั้งเขายังปฏิเสธที่จะทำงานเสิร์ฟอาหารในร้านอาหาร
หลังจากอยู่เฉย ๆ ที่บ้านมาสองเดือน ลู่เวยก็เริ่มหงุดหงิดใจ
ตอนนี้มีภาระใหญ่เพิ่มเข้ามาจากเฝิงเยว่จู๋ เขาจะไม่โกรธได้อย่างไร
เขาบอกกับเฝิงเยว่จู๋ทันทีว่าถ้าหล่อนกล้ารับน้องชายเข้ามา เขาจะหย่ากับหล่อน
เฝิงเยว่จู๋ตกใจมากเมื่อได้ยินสิ่งนี้
หากลู่เวยหย่าร้างกับหล่อน หล่อนก็จะไม่ได้รับกรีนการ์ดของสหรัฐอเมริกา และจะไม่สามารถอยู่ในสหรัฐอเมริกาได้อีกต่อไป
หากเลือกที่จะอยู่ต่อ หล่อนคงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องแอบทำงานอย่างลับ ๆ และเก็บตัว
ค่าจ้างแรงงานผิดกฎหมายเท่ากับน้อยกว่า 70% ของค่าจ้างปกติ ทั้งยังต้องทำงานหนักมาก และต้องเผชิญกับการถูกจับได้ตลอดเวลา มีโอกาสถูกเนรเทศออกนอกประเทศได้
ในช่วงเวลานี้ เฝิงเยว่จู๋กังวลมากจนไม่สามารถกินหรือนอนได้ และไม่รู้ว่าจะแก้ไขปัญหาที่เผชิญได้อย่างไร
ทันใดนั้นหล่อนก็มีความคิด
หากขอให้หลินม่ายตกลงรับลู่เวยกลับเข้าบริษัทกุยตันได้อีกครั้ง เขาคงจะไม่ยอมหย่าร้างกับหล่อน
บริษัทกุยตันให้เงินเดือนสูงและมีสวัสดิการที่ดี
คงจะดีไม่น้อยหากเขาได้กลับเข้าบริษัทและทำงานเป็นเสมียน รายได้ครอบครัวจะเพิ่มขึ้นมาก และยังได้รับสวัสดิการที่ดีด้วย
แม้จะรู้สึกกระดากที่ต้องแบกหน้าขอร้องหลินม่าย แต่คำถามคือหล่อนยังจะกล้ามองหน้าหลินม่ายอีกไหม?
เฝิงเยว่จู๋ถอนหายใจ ตอนนี้หากไม่คว้าโอกาสแล้วปล่อยหลินม่ายไป หล่อนก็ไม่รู้ว่าจะมีโอกาสไล่ตามอีกฝ่ายได้อีกหรือไม่
………………………………………………………………………………………………………………………….
สารจากผู้แปล
หวังว่าหุ้นจะไม่ร่วงหนักไปกว่านี้นะ ไม่งั้นขาดทุนหนักแน่
ทำไมโลกมันกลมอะไรอย่างนี้ เจอแต่โจทก์เก่าทั้งนั้นเลย
ไหหม่า(海馬)
……….