แม่ปากร้ายยุค 80 - ตอนที่ 1104 ตั้งครรภ์อีกครั้ง
ตอนที่ 1104 ตั้งครรภ์อีกครั้ง
……….
ตอนที่ 1104 ตั้งครรภ์อีกครั้ง
ดวงตาของเคอจื่อฉิงเบิกกว้างด้วยความประหลาดใจ “ม่ายจื่อ เธอแพ้ท้องหรือเปล่า?”
หลินม่ายตกตะลึงเล็กน้อย “ฉันไม่รู้~”
คุณปู่ฟางและคุณย่าฟางต่างก็ตื่นเต้น พวกเขากระตุ้นให้ฟางจั๋วหรานพาหลินม่ายไปโรงพยาบาลเพื่อตรวจสอบทันที
จากนั้นกลุ่มคนจำนวนมากรวมถึงเด็กน้อยทั้งสามจากครอบครัวเฉินเฟิงก็ติดตามมาด้วย
ไม่มีใครในกลุ่มสังเกตเห็นว่าโคอิซึมิ คานาโกะกำลังกินบะหมี่แห้งในร้านของหลินม่ายด้วย แต่นั่งห่างจากพวกเขาออกไปสามโต๊ะ
เมื่อได้ยินว่าหลินม่ายกำลังตั้งครรภ์ ใบหน้าของหล่อนพลันบิดเบี้ยวทันที
โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อหล่อนเห็นฟางจั๋วหรานไม่อาจปกปิดสีหน้าดีใจไว้ได้ ใบหน้าของหล่อนยิ่งดูน่าเกลียดมากขึ้น
เมื่อเห็นว่าพวกเขาพากันไปโรงพยาบาล หล่อนจึงขึ้นรถขับตามพวกเขาไปด้วยความอยากรู้ว่าหลินม่ายท้องจริงหรือไม่
หลังจากการตรวจสอบก็พบว่าหลินม่ายกำลังตั้งครรภ์จริง ๆ ทุกคนมีความสุขมาก รวมถึงเด็กน้อยทั้งสามจากครอบครัวเฉินเฟิงด้วย
หลินม่ายกลายเป็นสมบัติที่ทุกคนหวงแหนและดูแลอย่างใกล้ชิด คุณย่าฟางรีบบอกให้ทุกคนกลับบ้านเพื่อพักผ่อนอย่างเต็มที่
ทารกยังอยู่ในครรภ์ได้ไม่มั่นคงในระยะแรกของการตั้งครรภ์ นางจึงต้องการให้หลินม่ายตั้งครรภ์อย่างปลอดภัย
ขณะที่เดินกลับ เคอจื่อฉิงแนะนำให้กินอาหารมื้อใหญ่เพื่อเฉลิมฉลองการตั้งครรภ์ของหลินม่าย แต่ไม่มีใครตอบตกลง
หลังจากกลับถึงบ้าน หลินม่ายเข้าไปในห้องเพื่อพักผ่อนตามคำขอของคุณย่าฟาง
ฟางจั๋วหรานคิดว่าหลินม่ายยังไม่ทันกินอาหารเช้าตอนอยู่ที่ร้านจนหมด และต้องไปโรงพยาบาลเพื่อตรวจครรภ์ก่อน เขาจึงปรุงข้าวผัดผักดองให้หลินม่ายเป็นการส่วนตัว
ภรรยาเพิ่งบอกว่าอยากกินอะไรอร่อย ๆ
น้าถูบอกให้ฟางจั๋วหรานไปดูแลหลินม่าย ส่วนหล่อนจะทำข้าวผัดผักดองให้เอง แต่ฟางจั๋วหรานปฏิเสธ
หลินม่ายบอกว่าอยากกินถั่วเปรี้ยว ฟางจั๋วหรานจึงใส่ถั่วเปรี้ยวจำนวนมากลงในข้าวผัด ทำให้ทั้งห้องครัวเต็มไปด้วยกลิ่นของถั่วเปรี้ยว
คุณย่าฟางคิดว่าหลินม่ายชอบกินผักชี จึงขอให้คุณปู่ฟางแบ่งผักชีจำนวนมากจากแปลงผักที่ปลูก และขอให้น้าถูล้างมันให้สะอาด ก่อนจะใส่ลงในข้าวผัดผักดอง
หลังจากทำข้าวผัดผักดองเสร็จแล้ว ฟางจั๋วหรานก็ยกมันมาให้หลินม่ายด้วยตัวเอง
หลินม่ายกินไปได้สองคำ มันรสชาติดีก็จริง แต่เธออยากเพิ่มความเผ็ดอีกนิด
เธอขอให้ฟางจั๋วหรานไปที่ห้องครัวเพื่อหยิบน้ำพริกมาเติมลงในข้าวผัด
ฟางจั๋วหรานรีบไปหยิบให้ทันที
แต่เมื่อกลับถึงห้อง น้ำพริกอยู่ในมือของเขามีเพียงครึ่งขวดเล็กเท่านั้น
หลินม่ายใช้ตะเกียบควักน้ำพริกออกมาผสมในชาม ทำให้ข้าวผัดรสชาติอร่อยขึ้นมาก!
ฟางจั๋วหรานมองน้ำพริกที่เหลือและปิดฝาให้แน่น “ที่บ้านเหลือน้ำพริกเพียงครึ่งขวดเล็กเท่านั้น คงต้องหาเวลาโทรหาโจวฉายอวิ๋นและขอให้หล่อนส่งน้ำพริกมาเพิ่ม”
หลินม่ายพยักหน้าเห็นด้วย
ด้วยการเพิ่มรสชาติของน้ำพริก หลินม่ายจึงกินข้าวผัดผักดองได้หมดชาม
ฟางจั๋วหรานรอให้เธอบ้วนปาก แล้วจึงช่วยจัดแจงที่นอนให้เธอพักผ่อน
เธอเห็นฟางจั๋วหรานล้างจานและกำลังจะออกไป หลินม่ายเรียกเขาไว้ก่อน “อย่าเพิ่งไปค่ะ ฉันมีเรื่องจะถามคุณ”
ฟางจั๋วหรานกลับมาที่เตียงและกล่าวคำเบา “ภรรยา ต้องการถามอะไรผมหรือ?”
“คุณเองก็คิดว่าผู้หญิงผิวขาวสองคนนั้นมีเสน่ห์มากใช่ไหม คุณจ้องมองพวกเธอตั้งหกวินาที!” หลินม่ายบ่น
ฟางจั๋วหรานถามด้วยความสับสน “ผู้หญิงผิวขาวที่ไหน?”
เขาพูดขณะพยายามนึก
หลินม่ายเตือน “ก็ผู้หญิงผิวขาวสองคนที่ทำให้อาเฟิงและเคอจื่อฉิงทะเลาะกันในร้านเรือธงไงคะ”
ฟางจั๋วหรานดูเหมือนจะจดจำได้ในที่สุด “คุณหมายถึงผู้หญิงที่แต่งตัวมีรสนิยมสินะ”
ใบหน้าหลินม่ายมืดหม่นเล็กน้อย
ในอดีตฟางจั๋วหรานเมินเฉยต่อผู้หญิงทุกคน แต่ตอนนี้เขากลับบอกว่าผู้หญิงผิวขาวสองคนนั้นแต่งตัวมีรสนิยม นี่หมายความว่าการแต่งงานของพวกเขาเข้าสู่ช่วงอาถรรพ์เจ็ดปีก่อนกำหนดหรือเปล่า?
ขณะที่หลินม่ายกำลังใคร่ครวญว่าจะเอาชนะความเบื่อหน่ายในชีวิตสมรสได้อย่างไร เธอได้ยินฟางจั๋วหรานพูดด้วยน้ำเสียงดูถูกเหยียดหยาม “ขนาดในหน้าหนาวยังแต่งตัวเปิดเผยขนาดนั้น นอกเหนือจากมีรสนิยมก็ไม่เห็นจะมีอะไรอีก?”
หลินม่ายพลันรู้สึกสบายใจพร้อมเผยรอยยิ้มบนใบหน้า จากนั้นเธอหลับตาลงด้วยความพึงพอใจ
ฟางจั๋วหรานนำจานและตะเกียบไปยังห้องครัว ทันทีที่ลงมายังชั้นล่าง เขาได้ยินของบางอย่างตกแตกเสียงดัง ขณะที่อาหวงและหวางไฉกำลังวิ่งไล่กัน และบังเอิญทำแจกันราคาแพงขนาดใหญ่ล้มจนแตกกระจาย
สุนัขหมาป่าสองตัวตกใจกลัวและจ้องมองไปที่เศษซากบนพื้นโดยไม่เคลื่อนไหว
ทันทีที่หลินม่ายเอนกายพักผ่อน พวกมันก็ก่อปัญหาในบ้านจนทุกคนอยากจับมาเคี่ยวกินเพื่อลงโทษ
สุนัขหมาป่าสองตัวเดินออกไปในสวนโดยที่หางตกลงอยู่ระหว่างขา
หลินม่ายนอนพักผ่อนเพียงครึ่งชั่วโมง ก่อนจะลุกขึ้นหยิบหนังสือมาอ่าน
เธอยังต้องการสอบเข้าเรียนต่อปริญญาโทที่สหรัฐอเมริกาด้วย ดังนั้นเธอจึงต้องเรียนให้หนัก
ระหว่างรับประทานอาหารกลางวัน คุณย่าฟางกล่าวถึงงานแต่งงานวันปีใหม่ของคุณพ่อไป๋
ตอนนี้หลินม่ายตั้งครรภ์ และไม่เหมาะที่จะเดินทางไกล
นางจึงแนะนำว่าควรโอนเงินเป็นของขวัญวันแต่งงานให้พ่อไป๋ และไม่จำเป็นต้องให้หลินม่ายไปเอง
หลินม่ายพูดด้วยรอยยิ้ม “คุณย่าคะ ฉันไม่เป็นอะไรหรอกค่ะ คุณย่าไม่ต้องห่วงนะ ฉันเองก็อยากไปร่วมงานแต่งงานของคุณพ่อ”
เมื่อคุณย่าฟางรับฟังถ้อยคำดังกล่าว นางก็ไม่กล้าห้ามอีกฝ่าย ท้ายที่สุดคนที่กำลังจะแต่งงานก็คือพ่อของเด็กคนนี้
คุณย่าฟางครุ่นคิดครู่หนึ่งและพูดว่า “ถ้าอย่างนั้นเรากลับไปประเทศจีนด้วยกันเถอะ เราจะได้คอยดูแลเธอระหว่างทางด้วย”
พรุ่งนี้เป็นวันคริสต์มาสอีฟ ไม่ว่ามหาวิทยาลัยหรือโรงเรียนประถมศึกษาและมัธยมศึกษาจะเป็นเช่นไร วันหยุดฤดูหนาวจะเริ่มในวันพรุ่งนี้และสิ้นสุดในวันที่ 22 มกราคม
ในช่วงบ่าย เสี่ยวตงตงและเสี่ยวเหวินกลับบ้านจากโรงเรียนทีละคน
ทันทีที่เด็กทั้งสองเข้ามา คุณย่าฟางก็บอกพวกเขาว่าหลินม่ายท้อง และขอให้พวกเขาดูแลหลินม่ายมากขึ้นในอนาคต
เสี่ยวเหวินมีความสุขมาก และลูบหน้าสีชมพูของเสี่ยวมู่ตงด้วยความรักใคร่ “เรากำลังจะมีน้องชายเร็ว ๆ นี้ ตงตงมีความสุขไหม?”
เสี่ยวมู่ตงพยักหน้า “มีความสุขครับ”
จากนั้นเขาก็กล่าวเสริมว่า “ผมอยากมีน้องสาวมากกว่า”
ฟางจั๋วหรานต้องการลูกสาวเช่นกัน เพราะมีลูกชายอย่างเสี่ยวตงตงและเสี่ยวเหวินสองคนในครอบครัวก็เพียงพอแล้ว
เมื่อครอบครัวกำลังกินอาหารเย็น เสี่ยวเหวินถามหลินม่ายว่า เขาสามารถขอให้ป้าโจวฉายอวิ๋นส่งน้ำพริกมาให้อีกหนึ่งถึงสองร้อยขวดได้ไหม
หลินม่ายถามด้วยความสับสน “ทำไมเธอถึงต้องการน้ำพริกมากมายขนาดนี้ล่ะ? เธออยากกินมันเองเหรอ?”
“เปล่าครับ” เสี่ยวเหวินเห็นว่าเสี่ยวมู่ตงอยากกินลูกชิ้นปลามะเขือเทศ แต่เขาเอื้อมไม่ถึง จึงตักลูกชิ้นปลาหนึ่งช้อนใส่ชามให้หนูน้อยและพูดต่อ “ผมเอาน้ำพริกไปกินที่โรงเรียนใช่ไหมครับ เพื่อนร่วมชั้นเห็นผมกินจึงอยากลองชิม หลังจากนั้นพวกเขาหลายคนก็ติดใจและอยากซื้อมัน ผมจึงอยากขอให้อาหญิงนำน้ำพริกรสเด็ดของคุณป้ามาขายให้เพื่อนร่วมชั้น ได้ไหมครับอาหญิง?”
หลินม่ายพยักหน้า “ได้สิ!”
เสี่ยวเหวินกำลังเริ่มต้นธุรกิจในโรงเรียน นั่นเป็นสิ่งที่ดี!
หลังกินอาหารเย็น หลินม่ายโทรหาโจวฉายอวิ๋น นอกจากจะสั่งให้อีกฝ่ายส่งน้ำพริกหลายร้อยขวด เธอยังขอให้เพิ่มการผลิตน้ำพริกและหลู่ไช่ด้วย
โจวฉายอวิ๋นตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนถามขึ้ว่า “เธอพิ่งเปิดร้านบะหมี่แห้งม่ายจื่อเซียงทั่วสหรัฐอเมริกา และธุรกิจก็ดำเนินไปด้วยดีมาก ตอนนี้ยังต้องการน้ำพริกและหลู่ไช่จำนวนมากขนาดนั้นด้วยเหรอ?”
หลินม่ายพูด “มันไม่ใช่สำหรับเติมในบะหมี่แห้ง น้ำพริกและหลู่ไช่ที่ใส่บะหมี่แห้งผลิตเป็นซองขนาดเล็กไม่ใช่เหรอ? ฉันอยากได้แพ็คเกจขนาดปกติและเตรียมวางขายในซูเปอร์มาร์เก็ตต่างหาก”
โจวฉายอวิ๋นส่งเสียงตอบรับ “โอ้” และคุยกับหลินม่ายว่าเธอต้องการเพิ่มการผลิตอีกเท่าใด ก่อนที่ทั้งสองจะวางสาย
ก่อนวางสาย หลินม่ายบอกโจวฉายอวิ๋นว่าหลู่ไช่ทั้งหมดควรบรรจุในแพ็คเกจขนาด 50 กรัม เพื่อให้คนซื้อจำนวนมากขึ้น
แต่โจวฉายอวิ๋นลังเล “ถ้าเราบรรจุภัณฑ์ขนาดเล็ก 50 กรัม ลูกค้าก็จะซื้อแต่แพ็คเกจเล็ก ยอดขายจะไม่ลดลงใช่ไหม? ต่อให้คนซื้อมากชิ้นขึ้นจะมีประโยชน์อะไร!”
“ไม่ใช่” หลินม่ายกล่าว “คนคนเดียวสามารถรับประทานห่อเล็ก 50 กรัมได้ ซึ่งมันสะอาดและถูกสุขลักษณะ แน่นอนว่ามีลูกค้าที่ชอบซื้อแพ็คใหญ่ในคราวเดียว แต่ก็มีจำนวนน้อยมาก เวลาไปซื้อของ แล้วเจอของชิ้นเล็กราคาถูก พี่จะซื้อแค่ห่อเดียวไหม? พี่ก็คงไม่ซื้อแค่ห่อเดียวแน่นอน เพราะมันไม่เพียงพอ พี่ควรจะซื้ออย่างน้อยสิบห่อ แม้ว่าลูกค้าจะซื้อเพียงแพ็คเกจเล็กก็ไม่สำคัญ ผู้ที่ซื้อเพียงบรรจุภัณฑ์ขนาดเล็กจะไม่ซื้อบรรจุภัณฑ์ขนาดครึ่งกิโลกรัมหรือใหญ่กว่านี้ตั้งแต่แรก ความจริงแล้วเราใช้แพ็คเกจขนาดเล็ก 50 กรัมเพื่อเจาะกลุ่มเป้าหมายที่ไม่เคยกิน หรือสามารถกินผักดองได้เล็กน้อย รับรองได้เลยว่า เมื่อแพ็คเกจพ่อเล็กออกมาวางขาย ยอดขายหลู่ไช่ของเราจะเพิ่มขึ้นแน่นอน”
หลังจากที่ทั้งสองคุยกันจบ ฟางจั๋วหรานก็พูดขึ้นว่า “คนอเมริกันไม่ชอบอาหารเผ็ดมากนัก และผมก็ไม่เคยได้ยินมาก่อนว่าพวกเขาชอบผักดอง หากคุณขายน้ำพริกและหลู่ไช่ในสหรัฐอเมริกา แล้วจะมีใครซื้อเหรอ?”
“ไม่ต้องห่วงค่ะ จะมีคนซื้อแน่นอน” หลินม่ายมั่นใจมาก “ร้านบะหมี่แห้งม่ายจื่อเซียงที่หน้ามหาวิทยาลัยเพิ่มเมนูหลู่ไช่ได้ไม่นาน ก็มีลูกค้าผิวขาวจำนวนมากถามว่ามีซองน้ำพริกกับถั่วดองแยกขายไหม แสดงว่ายังมีลูกค้าชาวยุโรปและอเมริกาบางส่วนที่ชอบกินน้ำพริกและถั่วดอง”
ได้ยินแบบนั้นฟางจั๋วหรานจึงโล่งใจ
………………………………………………………………………………………………………………………….
สารจากผู้แปล
รอลุ้นเลย ท้องนี้จะเป็นน้องชายหรือน้องสาวน้า
ไหหม่า(海馬)