แม่ปากร้ายยุค 80 - ตอนที่ 1103 มาช่วยอุดหนุน
ตอนที่ 1103 มาช่วยอุดหนุน
……….
ตอนที่ 1103 มาช่วยอุดหนุน
ในที่สุดก็ถึงวันที่สาขาย่อยร้านบะหมี่แห้งม่ายจื่อเซียงของหลินม่ายจะเปิดพร้อมกันทั่วสหรัฐอเมริกา
ในตอนเช้า หลินม่ายมายังร้านบะหมี่แห้งสาขาเรือธงในนิวยอร์กด้วยตัวเอง
เพราะบะหมี่แห้งร้อนกับเนื้อต้องใช้น้ำเกลือ
แม้ว่าครัวส่วนกลางจะจัดเตรียมน้ำเกลือไว้อย่างสม่ำเสมอ และปิดผนึกลงในห่อบรรจุน้ำเกลือ ซึ่งคุณสามารถฉีกออกเมื่อใช้งาน
ทันทีที่ถุงน้ำเกลือถูกฉีกออก กลิ่นหอมก็ฟุ้งกระจายไปทั่วจนทำให้ผู้คนน้ำลายไหล
บวกกับกลิ่นหอมของหลู่ไช่ชนิดต่าง ๆ น้ำมันงา และอาหารอื่น มันก็กลายเป็นกลิ่นน่าหลงใหลมากจนผู้คนที่เดินผ่านไปมาไม่อาจขยับเท้าผ่านจากร้านได้
ยิ่งกว่านั้นที่ร้านยังมีการโฆษณามากมาย ดังนั้นก่อนเจ็ดโมงเช้า ร้านเรือธงก็เกือบไม่เหลือที่นั่งแล้ว
หลังจากกินบะหมี่แห้งกับเนื้อ หรือขนมว่างสไตล์หูหนาน ชาวต่างชาติจำนวนมากต่างอุทานออกมาว่าอร่อยมาก!
หลินม่ายไม่ได้แจ้งให้เคอจื่อฉิงและสามีทราบเกี่ยวกับการทดลองเปิดร้านบะหมี่แห้งที่หน้าประตูมหาวิทยาลัย
ต่อให้เคอจื่อฉิงและสามีจะได้รับแจ้ง พวกเขาก็ไม่สามารถมาได้ ในเวลานั้นเคอจื่อฉิงเพิ่งคลอดบุตรชายและต้องทำการพักฟื้น
ในฐานะสามีที่ดีและมีความเสมอต้นเสมอปลาย เฉินเฟิงจึงคอยอยู่ดูแลหล่อน
แม้ว่าทารกจะเป็นเด็กผู้ชาย แต่ทั้งคู่ก็ไม่ผิดหวังและแทบไม่สามารถวางหนูน้อยลง
อย่างไรก็ตามเคอจื่อฉิงยังคงบ่นเล็กน้อย โดยบอกว่าหล่อนกินน้ำพริกจำนวนมากโดยเปล่าประโยชน์เพื่อคลอดลูกชาย
ครั้งนี้ร้านบะหมี่แห้งม่ายจื่อเซียงรวม 300 สาขาเปิดตัวพร้อมกัน แม้ว่าหลินม่ายจะยังไม่ได้ให้เคอจื่อฉิงและสามีได้ทราบ แต่โฆษณาเปิดตัวก็สามารถเห็นได้ทุกที่ ดังนั้นหล่อนและสามีจึงทราบเรื่องดังกล่าวโดยไม่ต้องรอรับแจ้ง
ด้วยกลัวจะไม่ได้รับความนิยมเพียงพอ ในวันเปิดร้าน เคอจื่อฉิงและเฉินเฟิงซื้อกระเช้าดอกไม้ขนาดใหญ่จำนวน 10 กระเช้าและมาที่ร้านเรือธงในนิวยอร์กช่วงเช้าตรู่พร้อมกับลูก ๆ สามคนเพื่อช่วยเหลือหลินม่าย
ทันทีที่เคอจื่อฉิงลงจากรถ หล่อนก็เห็นว่าไม่มีกระเช้าดอกไม้ที่ทางเข้าร้านเรือธงของหลินม่าย จึงหันไปพูดกับเฉินเฟิงว่า “ไม่มีใครส่งกระเช้าดอกไม้ด้วยซ้ำ ฉันเกรงว่าธุรกิจอาจไปได้ไม่ดี เราลองเข้าไปดูกันเถอะ หากธุรกิจย่ำแย่จริง ๆ คุณควรจัดให้พนักงานของบริษัทของคุณมาทานอาหารเช้าที่ร้านบะหมี่แห้งม่ายจื่อเซียง ตราบใดที่การบริโภคน้อยกว่า 10 ดอลลาร์ บริษัทจะคืนเงินให้พวกเขา”
เฉินเฟิงกำลังอุ้มและจูงมือลูกรักตัวน้อยทั้งสาม ซึ่งประพฤติตัวดีและไม่เอะอะโวยวาย
เขาคิดกับตัวเอง หลินม่ายคงไม่ขยายสาขา 300 แห่งพร้อมกันหากเธอไม่แน่ใจ ดังนั้นธุรกิจไม่มีทางย่ำแย่แน่นอน
ทั้งคู่เดินเข้าไปในร้านเรือธงพร้อมกับเด็กน้อยสามคน
เมื่อเห็นว่าไม่มีที่นั่งว่างอยู่ด้านใน เคอจื่อสองก็ถอนหายใจ “ฉันนี่กังวลไม่เข้าเรื่อง”
หลินม่ายพลันสังเกตเห็นครอบครัวของพวกเขา
เหตุผลหลักก็คือ ครอบครัวพวกเขาค่อนข้างโดดเด่น มีเด็กน้อยสามคน บอดี้การ์ด และยังมีพี่เลี้ยงเด็กด้วย
คนกลุ่มใหญ่ทำตัวราวกับว่าพวกเขามาสร้างปัญหาที่นี่ ซึ่งเป็นเรื่องยากที่จะเพิกเฉยต่อพวกเขา
หลินม่ายรีบเข้าไปทักทาย “ทำไมถึงมาที่นี่ล่ะ?”
เคอจื่อฉิงประหลาดใจมากที่เห็นหลินม่ายอยู่ในร้าน จึงบอกไปว่าเหตุผลที่ครอบครัวมาที่นี่ไม่เพียงเพื่อกินบะหมี่แสนอร่อยในร้านของหลินม่าย แต่ยังมาเพื่อให้กำลังใจหลินม่ายด้วย
วันนี้ต้าเป่าและเสี่ยวเป่าได้หยุดเรียนหนึ่งวันเพื่อมาให้กำลังใจ
เคอจื่อฉิงรู้สึกเสียใจเล็กน้อย “ฉันไม่ได้คาดหวังว่าธุรกิจของเธอจะไปได้ดีขนาดนี้ มันไม่ใช่ชั่วโมงเร่งด่วนด้วยซ้ำ แต่กลับมีคนอยู่แน่นร้าน ฉันกับอาเฟิงทำอะไรได้ไม่มาก จึงส่งกระเช้าดอกไม้เปิดงานได้เพียงไม่กี่กระเช้าเท่านั้น”
เพื่อนที่ดีจะคงอยู่ตลอดชีวิต
แม้ว่าคำพูดของเคอจื่อฉิงอาจจะไม่สวยหรูหรือกินใจนัก แต่หลินม่ายก็ยังซาบซึ้งในน้ำใจและพาครอบครัวของเคอจื่อฉิงไปนั่งที่โต๊ะตรงหน้าต่างกระจกสูงจากพื้นจรดเพดาน
ที่นั่งตรงนี้สามารถเพลิดเพลินกับทิวทัศน์ท้องถนนโดยไม่ต้องรู้สึกหนาว
หลินม่ายบ่น “มันหนาวมาก เธอเพิ่งคลอดลูกได้ไม่ถึงสองเดือนแต่กลับออกมาวิ่งเล่นข้างนอกแล้ว ทั้งยังนำสมบัติตัวน้อยทั้งสามติดตัวมาด้วย ฉันกลัวว่าเธอและลูก ๆ จะหนาวจนตัวแข็ง จึงไม่กล้าชวนมาอุดหนุน แต่สุดท้ายพวกเธอก็มาจนได้”
เคอจื่อฉิงตบหน้าอกและพูดว่า “ซานเป่าก็เหมือนฉันนี่แหละ มีสุขภาพดีมาก ดังนั้นเธอไม่ต้องกังวลว่าเราจะเป็นหวัดหรอก นอกจากนี้เรายังนั่งรถยนต์มา เลยไม่หนาว แล้วร้านของเธอก็มีเครื่องทำความร้อนด้วย”
หลินม่ายจับมือหล่อน “อย่าตบหน้าอกแรงนักสิ ถ้าตบอาหารของซานเป่าแบบนั้น แล้วซานเป่าจะกินอะไรตอนที่เขาหิว?”
เคอจื่อฉิงหัวเราะและบอกว่าไม่เป็นไร
หลินม่ายรับบทเป็นพนักงานเสิร์ฟและให้ความบันเทิงกับครอบครัวของเคอจื่อฉิงเป็นการส่วนตัว ขณะที่เธอนำเมนูอาหารเลิศรสมาให้ตามคำสั่งของหญิงสาว
สำหรับเฉินเฟิง สถานะของเขาในครอบครัวต่ำมาก เขาเป็นเพียงเครื่องมือทำเงินเท่านั้น
หลินม่ายเป็นคน “วัตถุนิยม” จึงไม่ได้สนใจอยู่แล้วว่าเขาชอบกินอะไร
เคอจื่อฉิงพลิกเมนูแล้วพูดด้วยความประหลาดใจ “มีบะหมี่แห้งร้อน ๆ พร้อมเนื้อหลายสิบชนิดเลยเหรอ!”
หลินม่ายพยักหน้าด้วยรอยยิ้ม
ตอนนี้บะหมี่แห้งของเธอไม่ได้เพียงสามารถจับคู่กับเนื้อตุ๋นต่าง ๆ เท่านั้น แต่ยังสามารถจับคู่กับเนื้อบาร์บีคิวได้อีกด้วย
เนื้อบาร์บีคิวของร้านหลินม่ายแตกต่างจากบาร์บีคิวแบบยุโรปและอเมริกา โดยพื้นฐานมาจากบาร์บีคิวแบบซินเจียงและทาด้วยผงยี่หร่าจำนวนมาก ซึ่งอร่อยกว่าบาร์บีคิวท้องถิ่นในสหรัฐอเมริกา
เคอจื่อฉิงเลือกบะหมี่แห้งพร้อมเนื้อแกะย่างและเอ้กน๊อกหนึ่งแก้ว
หล่อนชอบเอ้กน๊อกของเมืองเจียงเฉิงมาก แม้ว่าสูตรจะเรียบง่ายก็ตาม
เคอจื่อสิ่งสั่งอาหารให้ตัวเองเสร็จ จึงหันไปถามต้าเป่าและเอ้อร์เป่าว่าพวกเขาต้องการกินอะไร
ลูกคนโตและลูกคนที่สองอายุเกือบ 6 ขวบแล้ว พวกเขาเติบโตในอเมริกา และสามารถพูดภาษาอังกฤษได้คล่องมาก
หนุ่มน้อยคู่หนึ่งพูดคุยกันเป็นภาษาอังกฤษเป็นเวลานาน ในที่สุดก็เลือกการผสมผสานระหว่างเนื้อเครื่องเทศและบะหมี่แห้ง
พวกเขายังต้องการสั่งเอ้กน๊อกด้วยเหมือนกัน แต่เคอจื่อฉิงหยุดพวกเขาก่อน ยังเด็กขนาดนี้จะให้ดื่มได้อย่างไร?
เคอจื่อฉิงสั่งโจ๊กงาดำข้นให้พวกเขาแทน งาดำมีคุณค่าทางโภชนาการมาก
ต้าเป่าและเอ้อร์เป่าค่อนข้างประพฤติตัวดีและไม่ต่อต้าน
หลังจากเลือกอาหารให้เด็กน้อยทั้งสองแล้ว ก็ถึงคราวของเฉินเฟิง
มันเป็นไปตามขั้นสถานะของครอบครัวนี้!
หลินม่ายแอบยิ้มอยู่ในใจ
เฉินเฟิงเลือกส่วนผสมของลิ้นหมูตุ๋นและบะหมี่แห้ง นอกจากนี้เขาขอสั่งข้าวเหนียวไก่สองห่อ และบะหมี่น้ำอีกหนึ่งถ้วย
หลินม่ายนำอาหารมาเสิร์ฟให้กับครอบครัวพวกเขาเป็นการส่วนตัว
เคอจื่อฉิงและสามีตกใจมาก
หน้าตาของบะหมี่แห้งดูน่าอร่อยมากจริง ๆ
จานสีขาวหิมะขนาดใหญ่ ราวเจ็ดสิบเปอร์เซ็นต์ของจานเป็นบะหมี่แห้งพร้อมเครื่องปรุงรสต่าง ๆ
ส่วนที่เหลืออีกสามสิบเปอร์เซ็นต์ถูกครอบครองโดยใบผักกาดห้าถึงหกใบที่จัดเป็นดอกไม้บาน
เนื้อข้างเคียงที่ลูกค้าสั่งจะถูกวางบนใบผักกาดหอมเพื่อกินคู่กับบะหมี่แห้ง ด้านข้างชิ้นเนื้อยังวางมะเขือเทศเชอรี่สดไว้ด้วย
เคอจื่อฉิงใช้ตะเกียบคลุกเคล้าส่วนผสมบะหมี่แห้งเข้าด้วยกัน “ม่ายจื่อ การจัดจานสวยงามมากเลย!”
“มันเป็นสิ่งจำเป็นน่ะ”
เห็นได้ชัดว่าอาหารจีนอร่อยที่สุดในเอเชีย แต่ทำไมมันกลับมีราคาถูกมากในตลาดยุโรปและอเมริกา ขณะที่อาหารญี่ปุ่นและเกาหลีมีราคาแพงมาก นั่นไม่ใช่เพราะการนำเสนออาหารจีนไม่ดีเท่าอาหารญี่ปุ่นและอาหารเกาหลีหรอกเหรอ?
หลินม่ายออกแบบร้านบะหมี่แห้งม่ายจื่อเซียงให้สวยงามมาก เพื่อเพิ่มอรรถรสในการมองเห็นอาหารจีน
วันนี้ฟางจั๋วหรานมีวันหยุดหนึ่งวัน ก่อนที่ครอบครัวเคอจื่อฉิงจะลงมือกิน เขาก็เข้ามาพร้อมคุณปู่ฟางและคุณย่าฟางเพื่อช่วยเหลือเธอ
เสี่ยวเหวินอาศัยอยู่ในโรงเรียนประจำ ส่วนเสี่ยวตงตงไปโรงเรียนอนุบาล เขาจึงไม่ได้มาด้วย
พวกเขาทั้งสามนั่งร่วมโต๊ะกับครอบครัวของเคอจื่อฉิง
แม้ว่าจะมีเพิ่มอีกสามคน แต่ก็ยังมีพื้นที่มากพอ
คุณย่าฟางมองไปรอบ ๆ และมีความสุขมากที่เห็นว่าธุรกิจไปได้ดี
ทั้งคู่สั่งบะหมี่แห้งและบะหมี่น้ำ ส่วนฟางจั๋วหรานสั่งขนมเบื้องสามเซียนพร้อมกับเต้าหู้ชนิดต่าง ๆ
หลินม่ายยกอาหารมาให้ ก่อนที่ทุกคนจะขอให้เธอสั่งอาหารให้ตัวเอง เพื่อมานั่งกินกับพวกเขา
เมื่อเห็นว่าเคอจื่อฉิงกินเนื้ออย่างเอร็ดอร่อย หลินม่ายก็เริ่มหิวขึ้นมา เธอจึงสั่งบะหมี่แห้งผสมกับเนื้อตุ๋นห้าเครื่องเทศพร้อมผงรากบัวและซอสหอมหมื่นลี้
เธอนำอาหารของตัวเองมานั่งกินที่โต๊ะ ซึ่งเคอจื่อฉิงได้กินอาหารส่วนของตัวเองหมดแล้ว
เคอจื่อฉิงเหลือบมองเนื้อห้าเครื่องเทศที่มีกลิ่นหอมบนจานอาหารของหลินม่าย ทันใดนั้นเธออยากกินบ้าง
หล่อนเอื้อมตะเกียบไปคีบเนื้อตุ๋นห้าเครื่องเทศชิ้นหนึ่งจากจานของหลินม่าย แล้วนำมาใส่เข้าปาก จากนั้นก็พลันรู้สึกเสียใจที่ไม่ได้สั่งบะหมี่แห้งกับเนื้อตุ๋นห้าเครื่องเทศ เนื่องจากรสชาติของเนื้อตุ๋นนี้อร่อยมาก!
หล่อนโบกมือ ก่อนที่บริกรคนหนึ่งจะเดินเข้ามาถามด้วยความเคารพ “คุณผู้หญิง มีอะไรให้ผมช่วยไหมครับ?”
เคอจื่อฉิงชี้ไปที่จานบะหมี่แห้งพร้อมเนื้อตุ๋นห้าเครื่องเทศของหลินม่ายและพูดว่า “ขอบะหมี่แห้งร้อนเนื้อตุ๋นห้าเครื่องเทศให้ฉันด้วย และขอพิเศษเนื้อตุ๋นนะ”
หล่อนมองดูโจ๊กซี่โครงหมูที่สาวผิวขาวโต๊ะข้าง ๆ ตักกินเมื่อครู่พลางแอบกลืนน้ำลายลงคอ “แล้วก็เอาโจ๊กซี่โครงหมูร้อน ๆ โรยผักชีมาให้ฉันอีกถ้วย”
บริกรตอบรับ “ได้ครับคุณผู้หญิง กรุณารอสักครู่นะครับ” หลังจากนั้นเขาก็เดินจากไป
เฉินเฟิงรีบหยุดบริกรแล้วพูดคำเบา “เอามาแค่โจ๊กซี่โครงหมูถ้วยเดียวพอ อย่างอื่นไม่ต้องเอามา”
บริกรไม่รู้ว่าจะฟังใคร เขามองเฉินเฟิง จากนั้นมองเคอจื่อฉิง
เคอจื่อฉิงแสดงท่าทางตอบสนองที่เกินจริง
เธอยกนิ้วเรียวยาวของตนเองขึ้น ทำท่าเหมือนเฉินซื่อเหม่ยที่ถูกฉินเซียงเหลียนทอดทิ้งในละครงิ้ว ก่อนชี้ไปทางเฉินเฟิงและพูดว่า “อาเฟิง คุณเปลี่ยนไปแล้ว! ตอนที่ไล่ตามฉันคุณพูดว่าอย่างไร ถึงฉันอยากได้ดวงดาวบนฟากฟ้า คุณก็จะหามาให้ไม่ใช่เหรอ ตอนนี้ฉันแค่อยากกินอีก แต่คุณกลับไม่อยากจ่ายเงิน หึๆๆ”
หลินม่ายเงยหน้าขึ้นมองเคอจื่อฉิง
ไม่ใช่ว่าเป็นหล่อนที่นอนกับกับเฉินเฟิงอย่างกล้าหาญและจับเขาอยู่ในคราวเดียวหรอกเหรอ? ทำไมถึงกลายเป็นเฉินเฟิงที่ไล่ตามหล่อนไปได้?
แต่ก็อาจเป็นไปได้ว่าหล่อนแก่เกินไปจนความจำเลอะเลือน
หลินม่ายใช้มือตีหัวตัวเองเบา ๆ
เฉินเฟิงทำอะไรไม่ถูก “ไม่ใช่ว่าผมไม่อยากให้คุณกิน แต่ดูสิว่าคุณน้ำหนักเพิ่มเท่าไหร่แล้วหลังจากกินดื่มตามใจปากช่วงพักฟื้นหลังคลอด เมื่อวานที่ไปโรงพยาบาลเพื่อตรวจร่างกาย หมอยังบอกด้วยว่า ถ้าน้ำหนักขึ้นอีกจะเสี่ยงเป็นโรคตับอ่อนอักเสบเฉียบพลันได้ง่าย และอาจถึงขั้นเป็นเบาหวานได้ หลังคุณลดน้ำหนักจนปกติ ผมจะพาคุณไปกินทุกอย่างที่คุณต้องการ”
เดิมทีคุณปู่ฟางและคุณย่าฟางต้องการเกลี้ยกล่อมเฉินเฟิงให้ปล่อยเคอจื่อฉิงกินเท่าที่หล่อนต้องการ หากน้ำหนักขึ้นสักเล็กน้อย มันก็ไม่ใช่ปัญหา
แต่หลังจากฟังคำพูดของเฉินเฟิง สามีภรรยาสูงอายุก็ชักชวนให้เคอจื่อฉิงเชื่อฟังคำพูดเฉินเฟิง แล้วค่อยกินอีกหลังจากลดน้ำหนักแล้ว
เคอจื่อฉิงไม่มีทางเลือกอื่น นอกจากต้องเชื่อฟังข้อตกลงของเฉินเฟิง
หลังจากนั้นไม่นาน บริกรก็นำชามโจ๊กซี่โครงหมูร้อน ๆ ใส่ผักชีลงไปมาหนึ่งชาม
เคอจื่อฉิงใช้ตะเกียบคนโจ๊กซี่โครงหมู ซึ่งมีซี่โครงหมูเพียง 2 ชิ้นเท่านั้น
หล่อนคีบซี่โครงหมูขึ้นมาด้วยตะเกียบและกัด ก่อนจะพูดกับหลินม่ายด้วยเสียงสูง “ม่ายจื่อ เมื่อไหร่ที่ฉันลดน้ำหนักสำเร็จ ฉันจะกว้านซื้อหลู่ไช่ทั้งหมดในร้านของเธอและกินมันคนเดียว!”
หลิน่ายส่ายหัวด้วยรอยยิ้ม “หลู่ไช่ในร้านของฉันไม่ได้มีไว้ขายแยกอย่างเดียวนะ ยังเอาไว้จับคู่กับบะหมี่แห้งด้วย เมื่อไหร่ที่เธอลดน้ำหนักสำเร็จ ฉันจะเปิดร้านหลู่ไช่ในอเมริกา เธออยากกินเมื่อไหร่ก็ค่อยไปซื้อ”
คนอเมริกันไม่กินเครื่องในสัตว์ ตีนหมู หรือหาง ส่วนผสมที่สามารถตุ๋นได้มีขายในราคาถูกมากในสหรัฐอเมริกา
หลินม่ายเองก็มีความตั้งใจที่จะเปิดร้านหลู่ไช่ในสหรัฐอเมริกาโดยเร็วที่สุด เพื่อกอบโกยผลประโยชน์
แต่ก่อนอื่นร้านบะหมี่แห้งม่ายจื่อเซียงจะต้องมีความมั่นคง และประการที่สองเธอต้องการเปิดโรงงานเครื่องดื่ม ดังนั้นร้านหลู่ไช่ในสหรัฐอเมริกาจึงเป็นโครงการที่สามต่อจากสิ่งเหล่านี้
เคอจื่อฉิงกินโจ๊กซี่โครงหมูเสร็จอย่างรวดเร็ว จากนั้นจึงเฝ้าดูคนอื่นกินอาหารด้วยสีหน้าพึงพอใจ
ในเวลานี้ ผู้หญิงสองคนในวัยยี่สิบต้น ๆ ผมสีบลอนด์และตาสีฟ้าเดินเข้ามาในร้าน
พวกหล่อนมีรูปร่างสูงโปร่งและดูดี สวมรองเท้าส้นสูงและชุดเดรสสั้น เผยให้เห็นท่อนแขนและต้นขาขาวสะดุดตา ซึ่งดึงดูดความสนใจของผู้ชายจำนวนมาก
แม้ว่าเคอจื่อฉิงจะไม่ใช่ผู้ชาย แต่ก็ยังอดมองตามไม่ได้
รองเท้าส้นสูงที่หญิงสาวทั้งสองสวมใส่ดูสวยงามมาก เคอจื่อฉิงต้องการสวมมันเช่นกัน
แต่ตอนนี้หล่อนอ้วนเกินไป การสวมรองเท้าส้นสูงขนาดนั้นจะไม่ทำให้หล่อนเจ็บเท้าเอาหรือ?
เฉินเฟิงเห็นเคอจื่อฉิงจ้องมองหญิงสาวชาวผิวเขาทั้งสองอย่างตั้งใจ เขาจึงหันมองตามด้วยความสงสัย
เฉินเฟิงมีหน้าตาหล่อเหลา หากมองแวบแรก เขาก็ดูเหมือนชายหนุ่มเสเพล
หญิงสาวชาวผิวขาวสังเกตเห็นว่าเขากำลังมองดูพวกเธอ จึงเผยยิ้มอย่างมีเสน่ห์ให้เขา ซึ่งมันค่อนข้างเย้ายวน
เคอจื่อฉิงหันไปมองเฉินเฟิงทันที และเห็นว่าเขากำลังมองหญิงสาวผิวขาวทั้งสอง ขณะที่ดวงตาของเขายังคงค้างอยู่ที่เท้าของพวกหล่อน
หล่อนลุกขึ้นยืนทันที
เฉินเฟิงรีบลุกขึ้นตาม “ภรรยา คุณกำลังทำอะไร?”
“กลับบ้าน ฉันจะไปกินน้ำพริก เพราะว่าฉันไม่อิ่ม!” เคอจื่อฉิงพูดด้วยความโกรธ
เฉินเฟิงรีบพูด “คุณจะกินน้ำพริกเป็นอาหารหลักได้ยังไง มันไม่ดีต่อสุขภาพของคุณนะ”
“ช่างปะไร คุณจะได้ไปหาเด็กผู้หญิงผิวขาวแบบนั้นได้”
เฉินเฟิงถึงได้รู้ว่าภรรยาของเขาหึงหวงอีกครั้ง
เขาอธิบายอย่างใจเย็น “เมื่อกี้ผมไม่ได้ตั้งใจมองสาวผิวขาวสองคนนั้น ผมแค่เห็นคุณมองรองเท้าที่พวกหล่อนใส่ จึงมองตามสายตาของคุณด้วยความสงสัย”
แต่เคอจื่อฉิงยังคงแสดงสีหน้าไม่เชื่อ
เฉินเฟิงรู้ดีว่า ถ้าเขาสั่งอาหารให้เคอจื่อฉิงในเวลานี้ เธอจะยอมเชื่อเขาทุกอย่าง
แต่เพื่อสุขภาพของภรรยา เขาจะทำแบบนั้นไม่ได้
หลินม่ายมองดูการแสดงออกที่สิ้นหวังของเฉินเฟิงพลางลอบถอนหายใจ แล้วถามตัวเองว่าความรักคือสิ่งใดในโลกใบนี้
เธอจำได้ว่าในสมัยนั้น พี่เฟิงเป็นคนสง่างามและกล้าหาญมากทั้งยามพูดคุยหรือหัวเราะ แต่สิ่งเหล่านั้นได้มอดไหม้เป็นเถ้าถ่านไปเสียแล้ว ตอนนี้เขากลับยอมจำนนทุกสิ่งอย่างต่อหน้าเคอจื่อฉิง
ชีวิตเหมือนกับความฝัน เพียงยกจอกสุราเทลงเป็นเครื่องบูชาแก่จันทร์กระจ่างในสายธารา
ก่อนที่เธอจะรำลึกถึงความหลังจบ จู่ ๆ เธอก็รู้สึกคลื่นไส้และอดไม่ได้ที่จะถอยหลังกลับไป
เฉินเฟิง เคอจื่อฉิง ฟางจั๋วหราน และคนอื่น ๆ ต่างก็หันมองหลินม่ายเป็นตาเดียว
…………………………………………………………………………………………………………………………
สารจากผู้แปล
ภรรยาเปลี่ยนไปแบบนี้ต้องทำใจและพยายามเข้าใจนะคะอาเฟิง
ม่ายจื่อมีน้องอีกคนแล้วหรือเปล่านะ
ไหหม่า(海馬)