แม่ปากร้ายยุค 80 - ตอนที่ 1101 เหตุน่าสะพรึง
ตอนที่ 1101 เหตุน่าสะพรึง
……….
ตอนที่ 1101 เหตุน่าสะพรึง
ครึ่งเดือนได้ผ่านไปก่อนที่จะทันได้รู้ตัว
ธุรกิจบะหมี่แห้งม่ายจื่อเซียงที่ประตูมหาวิทยาลัยเริ่มดีขึ้นเรื่อย ๆ และถึงเวลาแล้วสำหรับการเปิดสาขาใหม่ในนิวยอร์ก
หลินม่ายจึงวางแผนที่จะรับสมัครผู้จัดการก่อน
หลังจากการสรรหาผู้จัดการแล้ว แผนการต่อไปคือการสรรหาพนักงานและการเช่าหรือซื้อร้านค้า เธอสามารถปล่อยให้ผู้จัดการที่ได้รับคัดเลือกดูแลเรื่องเหล่านั้น
ประการแรกเป็นการทดสอบความสามารถของผู้จัดการ ประการที่สองเพื่อลดภาระของเธอเอง
สถานการณ์ปัจจุบันของหลินม่ายคือการตั้งใจทิ้งงานให้กับลูกน้องอย่างเด็ดเดี่ยว และจะไม่โหมงานด้วยตัวเองหนักมากเกินไป
มันไม่ใช่การเริ่มต้นทำธุรกิจครั้งแรกของเธอ ตอนนั้นเธอไม่มีเงินและต้องพยายามอย่างเต็มที่
ตอนนี้เธอแค่ต่อสู้เพื่ออุดมคติและความทะเยอทะยานของตัวเอง
เมื่อถึงวันเสาร์ หลินม่ายก็เสร็จสิ้นการรับสมัครครั้งสุดท้ายที่สำนักงานผู้จัดการร้านบะหมี่แห้งม่ายจื่อเซียงสาขาหน้ามหาวิทยาลัย
ขณะที่กำลังจะออกไป เธอเห็นป้าชาวอเมริกันคนหนึ่งเดินเข้ามาพร้อมไม้เท้า
หล่อนถามพนักงานเสิร์ฟว่า “เจ้านายของคุณอยู่ที่นี่หรือเปล่า?”
พนักงานเสิร์ฟชี้ไปที่หลินม่ายซึ่งเดินเข้ามาในร้านอีกครั้ง “คนนั้นค่ะ”
ป้าอเมริกันร่างอวบเดินมาหาหลินม่ายและถามอย่างตรงไปตรงมา “คุณเป็นเจ้าของร้านเหรอ”
หลินม่ายพยักหน้าและพูดว่า “ใช่ค่ะ คุณมีธุระอะไรกับฉันหรือเปล่าคะ?”
หญิงชราหยิบใบเสร็จรับเงินออกมาด้วยความโกรธและพูดว่า “เมื่อวานฉันมาที่ร้านบะหมี่แห้งม่ายจื่อเซียงเพื่อรับประทานอาหารเช้า ฉันสั่งบะหมี่แห้งร้อนเนื้อห้าเครื่องเทศหนึ่งถ้วย บะหมี่ซุปหนึ่งถ้วย และขนมจีบหนึ่งชุด ราคารวม 17.55 ดอลลาร์”
หลินม่ายเหลือบทองใบเสร็จและพูดว่า “ถูกต้องค่ะ เราก็ไม่ได้คิดเงินคุณเกินนี่นา”
“ทำไมถึงจะไม่คิดเกินล่ะ?” หญิงชราพลิกใบเสร็จรับเงินและชี้ไปที่ราคาอาหารที่พิมพ์ไว้ เธอพูดด้วยความโกรธว่า “แหกตาดูสิ ราคาข้างต้นถูกกว่าราคาที่คุณขายฉันห้าสิบเซนต์ พูดให้ชัดก็คือ คุณเรียกเก็บเงินฉันเพิ่มอีกหนึ่งดอลลาร์ห้าสิบเซนต์”
หลินม่ายชี้ไปยังเส้นเล็ก ๆ ที่อยู่ด้านล่างของใบเสร็จรับเงินแล้วพูดว่า “คุณผู้หญิง ดูตรงนี้สิคะ มีตัวหนังสือขนาดเล็กพิมพ์อยู่อีกบรรทัด หากราคาไม่อัปเดตตามเวลา ทางเราจะยึดราคาที่ระบุไว้ในเมนูของร้านเป็นหลัก”
เธอชี้ไปที่เมนูบนผนังแล้วพูดว่า “เราเพิ่มราคา 50 เซนต์สำหรับแต่ละรายการเมื่อครึ่งเดือนที่แล้วค่ะ”
แต่ไม่ว่าหลินม่ายจะอธิบายอย่างไร ป้าชาวอเมริกันคนนี้ก็ยืนยันว่าเธอถูกเรียกเก็บเงินเกินจริงและเรียกร้องค่าชดเชยสามเท่าสำหรับการสูญเสียของเธอตามกฎหมายที่เกี่ยวข้อง
ร้านค้ากำลังไปได้สวย ดังนั้นค่าตอบแทนสามเท่าจึงเหลือเพียง 4.50 ดอลลาร์ ซึ่งไม่ได้มีค่าอะไรเลย
เพื่อยุติเรื่องนี้ หลินม่ายจึงยินดีจ่ายค่าชดเชย
แต่ป้าชาวอเมริกันกลับเรียกลิงผิวเหลืองซ้ำแล้วซ้ำเล่า ซึ่งทำให้หลินม่ายรู้สึกไม่สบายใจอย่างมาก
นอกจากนี้หล่อนยังขู่ฟ้องหลินม่าย ซึ่งทำให้หลินม่ายขุ่นเคืองใจยิ่งกว่าเดิม
เธอไม่ได้ฝ่าฝืนกฎหมาย หากอีกฝ่ายจะฟ้องร้อง เธอก็จะไม่ยอมจ่ายเงินแม้แต่เพนนีเดียว
ป้าชาวอเมริกันจึงต้องจากไปด้วยความโกรธ
จากนั้นหลินม่ายจึงขับรถกลับบ้าน
เมื่อขับผ่านตึกสูง จู่ ๆ ชายคนหนึ่งก็กระโดดลงจากตึกสูงมาตกด้านหน้ารถของหลินม่ายอย่างแรง ร่างของชายคนนั้นกระดอนอย่างหนักบนพื้นหลายครั้ง และกระเด้งสูงมากกว่าครึ่งเมตร
หลินม่ายเหยียบเบรกตามสัญชาตญาณ
ถึงกระนั้นเลือดของผู้ตายก็กระเซ็นไปทั่วกระจกรถด้านหน้า
ถึงแม้หลินม่ายจะกล้าหาญกว่าผู้หญิงคนอื่น แต่เธอก็ยังหวาดกลัวมากจนใบหน้าถอดสี
หากผู้ตายหล่นลงมาบนหลังคารถของเธอจริง ๆ มันอาจทำให้รถของเธอพังได้ และตัวเธอเองก็อาจถูกเศษเหล็กทับจนไม่เหลือโอกาสรอดชีวิต
หลังจากที่ตำรวจมาถึงและนำผู้เสียชีวิตออกไปแล้ว หลินม่ายก็ขับรถกลับบ้านต่อไป
เมื่อถึงบ้าน เธอขอให้ลุงฝูจัดคนมาทำความสะอาดรถให้สะอาดทั้งด้านในและด้านนอก
ลุงฝูถามด้วยความงุนงง “เมื่อวานเพิ่งเอารถออกไปล้างไม่ใช่หรือครับ ทำไมวันนี้ถึงต้องล้างอีกล่ะ?”
หลินม่ายเล่าเรื่องทั้งหมดให้ลุงฝูฟัง
ลุงฝูจึงสั่งคนให้ขับรถเมอร์เซเดส-เบนซ์ของหลินม่ายไปทำความสะอาดยังร้านล้างรถ
จากนั้นเขาก็กลับมาที่ห้องนั่งเล่น และบอกสาวใช้รินนมร้อนสักแก้วให้หลินม่ายดื่มเพื่อคลายความตกใจ แล้วพูดว่า “ช่วงนี้หุ้นใหญ่ ๆ พากันดิ่งฮวบจนหลายคนล้มละลาย มีคนโดดตึกกันเยอะเลยครับ คุณหนูโปรดใช้ความระมัดระวังในการขับขี่ในอนาคตด้วย”
หลังจากได้ยินสิ่งนี้ หลินม่ายก็จำได้ว่าตอนที่เธอสะกดจิตหลินเพ่ยก่อนหน้านี้ เธอได้เรียนรู้จากหลินเพ่ยว่า ปี 1987 เป็นปีแห่งความหายนะของตลาดหุ้นทั่วโลก
ปีนี้เป็นปี 1987
ปีนี้เพียงปีเดียว สหรัฐอเมริกาสูญเสียเงิน 800 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ และฮ่องกงสูญเสียเงิน 30 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ
หุ้นทั้งหมดในสหรัฐอเมริการ่วงลงสู่ระดับต่ำสุดหลังคริสต์มาส และเริ่มดีดตัวขึ้นตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ถึงมีนาคมปี 1988 จากนั้นภายในเดือนมิถุนายน การดีดตัวกลับแข็งแกร่งมาก
หลินม่ายวางแผนที่จะซื้อหุ้นของตัวเองมูลค่าหลายสิบล้านดอลลาร์หลังคริสต์มาสเพื่อร่ำรวยในชั่วข้ามคืน
เมื่อฟางจั๋วหรานกลับมาถึงบ้านหลังเลิกงาน ลุงฝูบอกให้ฟางจั๋วหรานใส่ใจเรื่องความปลอดภัยบนท้องถนน และพยายามหลีกเลี่ยงการลอดใต้อาคารสูง
ฟางจั๋วหรานสับสน “ทำไมถึงต้องหลีกเลี่ยงการลอดใต้อาคารสูงล่ะครับ?”
ลุงฝูตอบ “ในช่วงเวลานี้ ราคาหุ้นดิ่งลง ส่งผลให้มีคนล้มละลายจำนวนมาก และทำให้มีคนกระโดดลงจากอาคารสูงค่อนข้างเยอะ ตอนที่คุณหนูขับรถกลับบ้าน นักลงทุนหุ้นคนหนึ่งกระโดดลงจากอาคารจนเกือบตกลงบนหลังคารถของหล่อน ผมจึงอยากเตือนให้นายน้อยระวังและพยายามอย่าผ่านใต้ตึกสูงในช่วงนี้”
เมื่อฟางจั๋วหรานได้รับฟัง สีหน้าของเขาพลันเคร่งขรึมและรีบขึ้นชั้นบนไปหาหลินม่ายที่กำลังพักผ่อน
หลินม่ายนอนอยู่บนเตียงโดยหลับตาและพยายามทำสมาธิ เสียงเปิดประตูของฟางจั๋วหรานที่เกิดขึ้นกะทันหันทำให้เธอสะดุ้งและลุกพรวดขึ้นจากเตียง
เมื่อเห็นว่าคนที่เข้ามาคือฟางจั๋วหราน เธอก็ผ่อนคลายลงและเอนตัวลงนอนอีกครั้ง
ฟางจั๋วหรานรู้สึกเป็นทุกข์มากที่เห็นเธอหวาดกลัว เขาเดินไปที่เตียงและนั่งลงด้านข้าง ก่อนยื่นมือไปแตะหน้าผากของเธอ
โชคดีที่เธอไม่มีไข้
หากความหวาดกลัวทำให้เกิดไข้ นั่นจะกลายเป็นปัญหา
ฟางจั๋วหรานจับมือเล็กของเธอพลางพูดด้วยความลำบากใจ “คงหวาดกลัวมากสินะ”
หลินม่ายวางหัวลงบนตักของเขาพลางตอบรับเสียงเบา “ไม่เป็นไรค่ะ คงหายดีในอีกไม่กี่วัน”
ฟางจั๋วหรานอยู่ในห้องกับหลินม่ายตลอดเวลา กระทั่งคนรับใช้เรียกพวกเขาให้ลงมาทานอาหารเย็นที่ชั้นล่าง
เมื่อพิจารณาถึงอาการหวาดกลัวของหลินม่าย ลุงฝูจึงขอให้คนครัวหลีกเลี่ยงทำอาหารจานเนื้อ เพื่อไม่ให้หลินม่ายเห็นเนื้อและต้องคิดถึงเหตุการณ์น่าพรั่นพรึงดังกล่าว จนทำให้เธอขวัญผวาเป็นครั้งที่สอง
บนโต๊ะอาหารเย็นวันนี้จึงมีทั้งผักและอาหารทะเล
ระหว่างมื้ออาหาร ฟางจั๋วหรานขอให้ลุงฝูส่งคนไปซื้อหัวใจหมู เขาต้องการตุ๋นหัวใจหมูและซุปเมล็ดบัวให้หลินม่ายดื่ม อาหารเหล่านี้มีประสิทธิภาพมากในการรักษาอาการตื่นตระหนก
ลุงฝูตอบ “นายน้อยแทบไม่ต้องบอกผมถึงเรื่องนี้เลย ผมซื้อวัตถุดิบรักษาอาการตื่นตระหนกไปแล้วและกำลังทำอยู่ในห้องครัว แล้วค่อยให้คุณหนูดื่มก่อนเข้านอน”
ฟางจั๋วหรานไม่คิดว่าลุงฝูจะรอบคอบถึงขนาดนี้ “ตั้งแต่พรุ่งนี้เป็นต้นไป ลุงฝูมากินข้าวโต๊ะเดียวกับเรานะครับ”
ลุงฝูรู้สึกยินดี “นายน้อยครับ นั่นไม่จำเป็นเลย!”
คุณปู่ฟางพูดเสริม “มันไม่ใช่เรื่องใหญ่โตอะไร คุณดูแลหลานสองคนของเราราวกับเป็นลูกหลานของคุณเอง พวกเขาก็ปฏิบัติต่อคุณเหมือนเป็นส่วนหนึ่งของครอบครัว มันเป็นเรื่องแน่นอน และได้รับการตัดสินใจอย่างแน่วแน่แล้ว”
ลุงฝูสะเทือนใจจนน้ำตาไหล
ก่อนเข้านอน ลุงฝูขอให้สาวใช้นำซุปสมุนไพรมาให้เขา
หลินม่ายตักมันขึ้นจิบเล็กน้อย แต่มันขมมากจนเธอตัวสั่นสะท้าน และไม่ยอมดื่มมันอีกต่อไป
หลินม่ายหยิบชามขึ้นจิบ ท่ามกลางความประหลาดใจของหลินม่าย ฟางจั๋วหรานได้โอบกอดเธอไว้ในอ้อมแขนและจูบลงบนริมฝีปากเพื่อป้อนซุปสมุนไพรเข้าไปในปากของเธอ
หลินม่ายไม่สามารถหันหนีไปไหนได้ นี่เขาป้อนยาเธอแบบนี้ได้ยังไง?
เมื่อเธอกลับมารู้สึกตัว ฟางจั๋วหรานก็ป้อนยาสมุนไพรให้เธอเกือบหมดชามแล้ว
หลินม่ายสงสัยว่าเหตุใดรสจูบของฟางจั๋วหรานจึงหอมหวานมาก
ไม่เช่นนั้นเมื่อเขาป้อนยาสมุนไพรให้เธอผ่านการจูบ ทำไมมันถึงไม่มีรสขมเลย?
แม้ว่าหลังจากดื่มยาสมุนไพรแล้ว หลินม่ายยังคงกระสับกระส่ายเล็กน้อยในตอนกลางคืน เธอขยับตัวไปมาราวกับถูกฝันร้ายหลอกหลอน
การเห็นคนตายครั้งนี้แตกต่างจากการเห็นร่างไร้วิญญาณในโรงพัก
ครั้งนั้นผู้ตายปรากฏตัวต่อหน้าหลินม่ายในรูปแบบของศพตั้งแต่ต้น
ไม่ว่ามันจะมีสภาพที่น่ากลัวแค่ไหน แต่มันก็กลายเป็นศพที่เย็นชืดแล้ว
แต่คราวนี้มันแตกต่างออกไป คนเป็นตายต่อหน้าต่อตาหลินม่าย ยิ่งไปกว่านั้นยังเกือบหล่นลงมาทับหลังคารถของเธอ ซึ่งเกือบจะทำให้เธอตกตายไปพร้อมกัน
ฟางจั๋วหรานโอบกอดหลินม่ายไว้ในอ้อมแขนพลางลูบหลังของเธอเพื่อปลอบโยน
………………………………………………………………………………………………………………………….
สารจากผู้แปล
นึกถึงวิกฤตฟองสบู่แตกเมื่อปี 2540 เลย ตอนนั้นก็มีคนเครียดจากการล้มละลายจนฆ่าตัวตายไปหลายคนเหมือนกัน
ไหหม่า(海馬)