แม่ปากร้ายยุค 80 - ตอนที่ 1092 สอนบทเรียนคนชั่ว
ตอนที่ 1092 สอนบทเรียนคนชั่ว
ตอนที่ 1092 สอนบทเรียนคนชั่ว
หลินม่ายยิ้มและสั่งเขา “ขึ้นรถสิคะ ไปดื่มกาแฟด้วยกันเถอะ”
สยงจินหรงกล่าวสวัสดีและกำลังจะเปิดประตูฝั่งผู้โดยสาร แต่หลินม่ายหยุดเขาและกล่าวอย่างเย็นชาว่า “นั่งข้างหลังค่ะ!”
แม้ว่าน้ำเสียงของหลินม่ายจะฟังผิดปกติ แต่สยงจินหรงดีใจมากและเปิดประตูเบาะหลังโดยไม่ได้คิดอะไร
เขาถูกคนในรถลากเข้ามาโดยไม่ทันเห็นว่าเกิดอะไรขึ้นด้วยซ้ำ
เขาเพิ่งนั่งลงเมื่อมีอีกคนมาสมทบ โดยประกบเขาไว้ระหว่างผู้โดยสารสองคนที่อยู่ในรถอยู่แล้ว
หยงจินหรงมองไปที่ชายหนุ่มผิวดำสองคนทางซ้ายและขวา ซึ่งมีรูปร่างใหญ่และตัวหนา เขารู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติและต้องการลงจากรถ
หลินม่ายมองเขาอย่างเย็นชาจากกระจกมองหลัง “ขึ้นรถง่ายแต่ลงยากหน่อยนะ คุณคิดว่าจะยังลงจากรถได้อีกเหรอ?”
สยงจินหรงถามด้วยความหวาดกลัว “คะ… คุณต้องการทำอะไร?”
“ฉันอยากสั่งสอนบทเรียนให้คุณเสียหน่อย”
น้ำเสียงของหลินม่ายสงบนิ่ง ทว่าใบหน้าของสยงจินหรงซีดเผือดทันใด “ทะ… ทำไมล่ะ? เราไม่มีความคับข้องใจในอดีต และไม่ได้เป็นศัตรูกันในอนาคตอันใกล้นี้…”
ก่อนที่เขาจะพูดจบ หลินม่ายขัดจังหวะเขาอย่างไร้ความปรานี เธอถามเขาด้วยความประชดประชัน “คุณต้องการเหตุผลในการสั่งสอนคนชั่วเหรอ?”
สยงจินหรงตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่งเมื่อรู้ว่าวันนี้เขาถึงวาระแล้ว
เขาอ้าปากเพื่อตะโกนขอความช่วยเหลือ แต่ทันทีที่เขาอ้าปาก ชายผิวดำด้านข้างก็เอื้อมมือมาปิดปากเขาไว้แน่นด้วยผ้าขี้ริ้วส่งกลิ่นเหม็นอับ ทำให้ไม่มีเสียงเล็ดลอดออกไป
หลินม่ายเหยียบคันเร่งและขับรถออกไปทันที
ใต้อพาร์ทเมนต์ที่สยงจินหรงอาศัยอยู่มีห้องใต้ดิน
โก่วเวินเป็นคนเช่าห้องใต้ดินแห่งนั้น
ตอนที่หลินม่ายเรียกสยงจินหรง หล่อนได้ยินและได้เห็นทุกสิ่งอย่างที่เกิดขึ้นผ่านรอยแตกของประตู
หลินม่ายขับรถไปยังถนนอันห่างไกล ก่อนจะหยุดลงในที่สุด
ชายผิวดำสองคนลากสยงจินหรงออกจากรถเหมือนลูกหมู
จากนั้นเขาถูกลากเข้าไปในป่าข้างถนน ขณะเดียวกันเขายังคงพยายามส่งสายตาขอความเห็นใจจากหลินม่าย
หลินม่ายจัดเตรียมทุกอย่างไว้เพื่อสั่งสอนบทเรียนให้กับสยงจินหรงสำหรับสิ่งที่เขาทำกับเธอและสวี่เมิ่ง เช่นนี้เธอจะให้ความสนใจกับสายตาอ้อนวอนของเขาได้อย่างไร
ก่อนหน้าเธอไม่เคยคิดจะจัดการกับสยงจินหรงเกี่ยวกับความขุ่นเคืองระหว่างเขาและสวี่เมิ่ง เพราะเธอไม่มีเวลามากขนาดนั้น
อย่างไรก็ตามสยงจินหรงทำตัวแย่กับเธอมาก ดังนั้นเธอจึงต้องสอนบทเรียนให้เขาอย่างไม่เต็มใจ และยังเป็นการช่วยสวี่เมิ่งระบายความโกรธด้วย
หลินม่ายขับรถออกไป โดยปล่อยให้ชายผิวดำสองคนลากสยงจินหรงเข้าไปในป่าลึก
ความหวาดกลัวฉายผ่านดวงตาสยงจินหรงอย่างเด่นชัด เขาโค้งคำนับให้ชายผิวดำทั้งสองซ้ำแล้วซ้ำเล่า โดยหวังว่าพวกเขาจะยอมปล่อยไป
ชายผิวดำสองคนเพิกเฉยต่อเขา และเริ่มลงมือทุบตีอย่างรุนแรงจนเขาปางตาย
ก่อนออกเดินทาง ชายผิวดำชี้ไปที่สยงจินหรงและพูดว่า “ถ้าแกกล้ามารังควานคุณหลินอีกครั้ง ครั้งต่อไปจะไม่ถูกแค่กระทืบแล้ว”
เขาไม่กล้าแจ้งตำรวจ
หลินม่ายเป็นคนรวยและมีอำนาจ แล้วเธอจะกลัวตำรวจได้อย่างไร?
สยงจินหรงนอนอยู่บนเตียง ยิ่งเขาคิดถึงเรื่องนี้มากเท่าไร เขาก็ยิ่งหดหู่ใจ เขาแค่อยากไล่ตามหลินม่าย แต่ทำไมหลินม่ายต้องพาคนมาซ้อมเขาจนปางตายด้วย!
ในเวลานี้ มีคนมาเคาะประตูบ้านของเขา
สยงจินหรงอดทนต่อความเจ็บปวดและลุกขึ้นจากเตียง เขาเดินกะเผลกไปยังประตูและถามขึ้น “นั่นใคร?”
ชายผิวสีสองคนทุบตีเขาอย่างแรงจนฟันหักไปสองซี่ ทำให้เขาเจ็บปวดอย่างมากเวลาพูด
เสียงของโก่วเวินดังขึ้นจากด้านนอก “ฉันเองค่ะ เพื่อนบ้านของคุณ โก่วเวิน”
สยงจินหรงครุ่นคิดอยู่นาน ก่อนจะจำได้ว่าเขามีเพื่อนบ้านอยู่ชั้นใต้ดิน
โก่วเวินเป็นผู้หญิงธรรมดาและไม่มีเสน่ห์ ดังนั้นสยงจินหรงจึงไม่เคยแม้แต่ชายตามองหล่อน และไม่ได้รู้สึกประทับใจในตัวหล่อนเลย
น้ำเสียงของเขาแสดงความรำคาญ “คุณมีธุระอะไร?”
“ฉันเพิ่งเห็นว่าคุณได้รับบาดเจ็บ จึงทำไข่ต้มมาให้คุณค่ะ”
สยงจินหรงครุ่นคิด ก่อนจะยอมเปิดประตูให้โก่วเวินเข้ามาในที่สุด
ทันทีที่เดินเข้าประตู โก่วเวินมองดูการตกแต่งภายในและเฟอร์นิเจอร์ต่าง ๆ ด้วยความอิจฉา กว่าจะกลับมาได้สติอีกครั้งก็ตอนที่สยงจินหรงเชิญให้หล่อนนั่งลง
หล่อนยื่นไข่ต้มสองฟองที่ห่อด้วยผ้าผืนเล็กให้กับสยงจินหรง
สยงจินหรงกล่าวขอบคุณและรับมันมา ก่อนจะวางไข่บนใบหน้าส่วนที่ได้รับบาดเจ็บ จากนั้นเขาก็ครวญครางออกมาด้วยความเจ็บปวด
โก่วเวินกล่าว “ฉันรู้นะคะว่าใครซ้อมคุณ”
สยงจินหรงชะงักชั่วครู่ เขาขยับไข่ต้มไปทั่วใบหน้าพลางหลบตาลงด้วยความเขินอาย
สยงจินหรงค่อนข้างเขินอายเวลาที่มีคนรู้เรื่องราวน่าอับอายเช่นนี้
เดิมทีเขาวางแผนที่จะบอกโก่วเวินเกี่ยวกับอาการบาดเจ็บบนใบหน้า โดยบอกว่าถูกชายผิวดำขี้เมาทุบตี
ในสหรัฐอเมริกา เรามักจะเจอคนผิวดำเช่นนี้ พวกเขามักชอบโจมตีชาวเอเชีย
โดยไม่คาดคิด โก่วเวินกลับรู้ความจริง~
โก่วเวินถาม “คุณอยากแก้แค้นหลินม่ายไหมคะ?”
สยงจินหรงสาปแช่งในใจ ผู้หญิงคนนี้ปัญญาอ่อนหรือไง
พวกเขามีสถานะอะไร และหลินม่ายมีสถานะอะไร
การพยายามใช้ไม้ซีกงัดไม้ซุงนั้นเป็นความพยายามที่ไร้ประโยชน์และทำลายตนเอง
แต่เขาก็ยังเงยหน้าขึ้นมาถามว่า “คุณจะทำอะไร?”
“วันเสาร์หน้า หยางจื้อกังประธานสหภาพนักศึกษาในนิวยอร์กของเราจะจัดงานเลี้ยง คุณเองก็รู้นี่”
“ผมรู้ แล้วยังไง?”
“เราสามารถใช้ประโยชน์จากงานเลี้ยงนี้ได้” โก่วเวินกระซิบข้างหูของสยงจินหรง
สยงจินหรงนิ่งเงียบอยู่นานหลังจากได้ยินสิ่งนี้
เขาคำนวณในใจ หากแผนสำเร็จ เขาจะได้กำไรมากมาย
ถ้ามันล้มเหลว แม้จะมีเปอร์เซ็นต์น้อย แต่ก็ยังพอเป็นไปได้ เขาแค่โยนความผิดให้โก่วเวิน แล้วบอกว่าเขาเป็นเหยื่อเช่นกัน แค่นี้ก็รอดแล้วไม่ใช่เหรอ?
การแสวงหาโชคลาภมีความเสี่ยง แต่ชีวิตมีโอกาสเสมอ
…
ชีวิตปัจจุบันของหลินม่ายคล้ายคลึงกับชีวิตของเธอในเมืองหลวง
เรียนและทำงาน
เธอได้เริ่มเปิดร้านบะหมี่แห้งจำนวน 30 ร้านในนิวยอร์กตามแผนที่วางไว้แล้ว
เธอคิดชื่อได้แล้ว และตัดสินใจเรียกมันว่าร้านบะหมี่แห้งม่ายจื่อเซียง
อย่างไรก็ตามหลินม่ายวางแผนที่จะเปิดร้านบะหมี่แห้งม่ายจื่อเซียงที่ประตูมหาวิทยาลัย เพื่อทดสอบดูปฏิกิริยาของนักเรียนผิวขาว ก่อนทำการปรับเปลี่ยน
หลินม่ายจำได้ว่าชาติก่อนบะหมี่แห้งต้มร้อนไม่ได้รับความนิยมมากนักในจีน นอกจากเมืองเจียงเฉิง ทว่าตั้งแต่ปี2018 บะหมี่แห้งก็ได้รับความนิยมอย่างมากในยุโรปและสหรัฐอเมริกา
นี่คือเหตุผลที่หลินม่ายกล้าที่จะส่งเสริมบะหมี่แห้งในต่างประเทศครั้งนี้
แม้กระทั่งก่อนเริ่มเรียน หลินม่ายขอให้ลุงฝูหาซุ้มด้านหน้ามหาวิทยาลัยของเธอ
ในที่สุดก็ใช้เวลากว่าสิบวันกว่าจะหาทำเลดีในมหาวิทยาลัยได้
ต่อไปคือการตกแต่ง การสรรหา และการฝึกอบรมจะใช้เวลาอย่างน้อยครึ่งเดือน และจะสามารถเปิดทำการได้ประมาณปลายเดือนนี้
เที่ยงวันนั้น หลังอาหารกลางวันที่โรงเรียน หลินม่ายอยากไปร้านบะหมี่แห้งม่ายจื่อเซียงแห่งแรกที่ประตูมหาวิทยาลัย เพื่อดูว่าการตกแต่งเป็นยังไงบ้าง
ความเร็วในการทำงานของคนอเมริกันไม่ค่อยดีนักเมื่อเทียบกับคนทำงานในประเทศจีน
ในตอนแรก ผู้รับผิดชอบของบริษัทก่อสร้างบอกกับหลินม่ายว่าการตกแต่งจะใช้เวลาหนึ่งเดือน ทั้งยังบอกด้วยว่านี่ถือว่าเร็วที่สุดแล้ว หลินม่ายไม่ได้คาดหวังว่าบริษัทก่อสร้างจะซับซ้อนแค่ไหน
เมื่อเธอได้เห็นภาพออกแบบ หัวใจก็หล่นวูบลงไปยังตาตุ่ม
ภาพวาดนั้นเรียบง่ายมาก รวมถึงการทาสีผนังและปูกระเบื้องปูพื้น เพิ่มองค์ประกอบแบบจีนให้กับทางเข้าร้านและล็อบบี้ และห้องครัวโปร่งใส
การตกแต่งที่ไม่ซับซ้อนขนาด 100 ตารางเมตรนี้สามารถทำให้เสร็จภายในเวลาสองสัปดาห์ในประเทศจีน แต่ในสหรัฐอเมริกากลับใช้เวลาถึงสี่สัปดาห์
หลินม่ายวิ่งมาตรวจดูความคืบหน้าการตกแต่งเป็นระยะ ๆ เพราะเกรงว่าหากตกแต่งไม่เสร็จภายในสี่สัปดาห์จะส่งผลต่อเวลาการเปิดตัวร้านมากเกินไป
เธอดูแลกำกับด้วยตัวเองและกระตุ้นคนงานทุกวัน
เพื่อนร่วมชั้นเรียกหลินม่ายจากด้านหลัง และบอกว่ามีพัสดุส่งมาถึงเธอ
หลินม่ายไปที่ตู้ไปรษณีย์ของมหาวิทยาลัย พบว่ามันเป็นน้ำพริกที่เธอขอให้โจวฉายอวิ๋นส่งมาให้
เธอจำได้อย่างชัดเจนว่าให้โจวฉายอวิ๋นส่งไปที่วิลล่า แล้วทำไมมันถึงถูกส่งมาที่มหาวิทยาลัย?
โจวฉายอวิ๋นอาจจะจำผิดไป
หลังจากที่หลินม่ายตรวจดูและพบว่ามีน้ำพริกมากกว่าสิบขวด เธอก็ไปอ่านหนังสือในห้องสมุดสักพักแล้วจึงเข้าเรียน
อาจารย์ยังไม่มา แต่นักศึกษาทุกคนมารอแล้ว
เมื่อทุกคนเห็นหลินม่ายเข้ามาพร้อมพัสดุใบใหญ่ พวกเขาต่างสงสัยว่ามีอะไรอยู่ในพัสดุ
หลินม่ายบอกว่าพวกมันเป็นน้ำพริก
นักเรียนบางคนถามว่าแบ่งขายให้พวกเขาได้ไหม?
นักเรียนเหล่านี้ล้วนมาจากมณฑลที่ชื่นชอบอาหารรสเผ็ด พวกเขาอยู่อเมริกามาเกือบเดือน การกินขนมปังทุกวันทำให้เบื่ออาหาร พวกเขาจึงอยากได้น้ำพริกมาทาบนขนมปัง
หลินม่ายนับจำนวนนักศึกษา พบว่าเพื่อนร่วมชั้นเจ็ดคนขอแบ่งซื้อจากเธอ
เธอพูดอย่างไม่เห็นแก่ตัว “ฉันจะให้คนละขวดแล้วกัน”
แม้ว่าแต่ละคนจะได้รับฟรีหนึ่งขวด แต่ก็ยังเหลืออีกเกือบสิบขวด ซึ่งเพียงพอสำหรับเคอจื่อฉิง เสี่ยวเหวิน และตัวเธอเองให้มีกินสักระยะ
หลังจากกินหมดแล้ว เธอจะขอให้โจวฉายอวิ๋นส่งมาให้อีก
เพื่อนร่วมชั้นคนหนึ่งหยิบน้ำพริกที่หลินม่ายมอบให้และถามว่า “หลินม่าย วันเสาร์นี้ประธานสหภาพนักศึกษาจะจัดงานเลี้ยงต้อนรับนักศึกษาใหม่ คุณจะเข้าร่วมไหม?”
หลินม่ายคิดอยู่ครู่หนึ่งและตอบว่า “น่าจะไปค่ะ”
เธอเคยได้ยินมาบ้างเหมือนกันว่าจะมีงานเลี้ยงที่จัดขึ้นโดยกลุ่มสหภาพนักศึกษาเหล่านี้
คนกลุ่มนี้มีเป้าหมายที่จะเสริมสร้างความสามัคคี การช่วยเหลือซึ่งกันและกัน และความรู้สึกรักชาติของนักศึกษาในต่างประเทศ
แน่นอนว่าหลินม่ายสนใจที่จะเข้าร่วมงานเลี้ยงดังกล่าว
………………………………………………………………………………………………………………………….
สารจากผู้แปล
วางแผนชั่วอีกแล้วยัยโก่วเวิน ระวังจะเข้าตัวเถอะ
ไหหม่า(海馬)