แม่ปากร้ายยุค 80 - ตอนที่ 1080 แผนกำจัดดอกท้อเน่า
ตอนที่ 1080 แผนกำจัดดอกท้อเน่า
ตอนที่ 1080 แผนกำจัดดอกท้อเน่า
เวลาหกโมงครึ่ง แสงแดดยามเช้าปรากฏที่ขอบฟ้า
ณ ห้องหรูหราในวิลล่าหลังโต ผ้าม่านกำมะหยี่ผืนหนาบดบังแสงอรุณด้านนอกจนมิดชิด
ชายชราผมหงอกนอนอยู่บนเตียงหรูหรา ดวงตาจ้องมองตรงไปยังเพดานในความมืด ไม่มีใครรู้ว่าเขากำลังคิดสิ่งใดอยู่
ว่ากันว่าก่อนอายุสามสิบมักจะตื่นไม่ค่อยไหว แต่หลังจากอายุสามสิบปีคุณจะนอนไม่ค่อยหลับ
ชายชราชื่อว่าฉู่ฟู่สือ ปีนี้เขาอายุห้าสิบแปดปีแล้ว ล่วงเลยจากอายุสามสิบมานาน
แต่เพราะเขาดูแลตัวเองดี จึงมักมีจิตใจแจ่มใสและนอนหลับสนิท
กระทั่งสี่ปีที่แล้ว หลังจากเริ่มมีความโลภ ไม่ว่าจะกินอาหารเสริมอะไรก็ตาม เขาก็ไม่เคยหลับสบายอีกเลย
เขาเข้านอนดึกและตื่นเช้าทุกวัน มันเป็นเรื่องยากที่จะนอนหลับอย่างมีประสิทธิภาพมากกว่าสี่ชั่วโมงต่อวัน
วันนี้ก็ไม่มีข้อยกเว้น เขาตื่นเช้า แต่ยังไม่ได้ลุกจากเตียง
หลังจากนอนราบไปสักพัก ภายใต้การดูแลของพ่อบ้าน ฉู่ฟู่สือแต่งกายด้วยชุดสีขาวเดินไปยังสวนหลังบ้าน เขาเตรียมพร้อมที่จะฝึกไทเก๊กสักพัก
แพทย์แผนจีนผู้รักษาเขากล่าวว่าการฝึกไทเก๊กทุกวันอาจทำให้การนอนหลับของเขาดีขึ้น
ฉู่ฟู่สือไม่ได้เชื่อนัก เพราะมันไม่ต่างจากการรักษาม้าตายเสมือนกับม้าเป็น
เขารู้อยู่แก่ใจดีว่า เขาจะนอนหลับอย่างสงบสุขทุกค่ำคืนอีกครั้งก็ต่อเมื่อบริษัทนายจ้างเก่าตกอยู่ในมือของเขาแล้วเท่านั้น
หลังจากเล่นไทเก๊กได้สักพัก ฉู่ฟู่สือก็หยุดพักและเดินไปนั่งที่โต๊ะหินอ่อนขนาดเล็ก
แม่บ้านรีบยื่นผ้าเช็ดตัวให้ แล้วเสิร์ฟชาและเค้กหอมหมื่นลี้ของโปรดของเขาเป็นการส่วนตัว
ฉู่ฟู่สือหยิบชาขึ้นมาจิบเล็กน้อย เขาอดไม่ได้ที่จะยกยิ้มมุมปาก
เช้านี้ผู้บริหารบริษัทนัดหยุดงานกัน มาดูสิว่าหลินม่ายจะรับมืออย่างไร!
หากเธอต้องการจะรักษาบริษัทไว้ เธอต้องตกลงยอมลาออกจากบริษัท ไม่เช่นนั้นจะไม่มีการต่อรองกันอีก!
เมื่อถึงเวลานั้น บริษัทก็ตกเป็นของเขา!
คนรับใช้ที่รับผิดชอบในการออกไปซื้อหนังสือพิมพ์ทุกเช้ารีบวิ่งเข้ามาด้วยความเร่งรีบ เขาถือหนังสือพิมพ์สองถึงสามฉบับในมือขณะตะโกนเสียงดัง “แย่แล้วครับ เกิดเรื่องใหญ่ขึ้นแล้วครับ!”
พ่อบ้านดุเขา “ทำไมถึงมาเอะอะโวยวายแต่เช้าขนาดนี้!”
คนรับใช้หนุ่มหุบปากทันทีและยืนด้านข้าง โดยมีหนังสือพิมพ์อยู่ในมือ
ฉู่ฟู่สือถามขึ้นว่า “มีเรื่องคอขาดบาดตายอะไร บอกฉันมา”
คนรับใช้หันมองหน้าพ่อบ้าน
พ่อบ้านพูดอย่างเบื่อหน่าย “ก็พูดตามที่นายท่านบอกสิ จะมามองหน้าฉันทำไม?”
คนรับใช้หนุ่มจึงวางหนังสือพิมพ์ในมือต่อหน้าฉู่ฟู่สือ “บริษัท… เผยแพร่ข้อมูลการรับสมัครในหนังสือพิมพ์ โดยเฉพาะการสรรหาผู้บริหารระดับสูงครับ~”
ใบหน้าของฉู่ฟู่สือแปรเปลี่ยนเป็นจริงจัง เขารีบอ่านบทความในหนังสือพิมพ์ทุกฉบับอย่างรวดเร็ว
หลังจากอ่านแล้ว ใบหน้าของเขาก็บิดเบี้ยวจนดูน่าเกลียด
เขาขอให้พ่อบ้านโทรหาหนังสือพิมพ์เหล่านั้นทันทีและถามว่าใครเป็นคนลงข้อมูลการรับสมัครงานเหล่านี้ เขาอยากจะสับมันคนนั้นให้เป็นชิ้น ๆ ช่างกล้าหาญไม่รู้จักที่ต่ำที่สูงนัก!
หลังจากที่พ่อบ้านคุยโทรศัพท์เสร็จ เขาก็บอกฉู่ฟู่สือด้วยเสียงสั่นเทาว่า หลินม่ายเป็นคนลงข่าวรับสมัครงานในหนังสือพิมพ์เหล่านั้น
ใบหน้าของฉู่ฟู่สือหมองหม่นจนน่าสะพรึงกลัว จากนั้นเขาก็ระเบิดหัวเราะ “ฮ่าๆๆ คิดว่าการเผยแพร่ประกาศรับสมัครงานสามารถพลิกสถานการณ์ได้งั้นเหรอ ช่างเป็นเด็กน้อยไม่รู้ประสาเอาเสียเลย!”
…
เมื่อคืนทั้งคู่ได้สานสัมพันธ์กันทั้งคืน กระทั่งฟางจั๋วหรานเกือบลืมสิ่งสำคัญไป
เมื่อตื่นขึ้นมาในตอนเช้า เขาเดินไปยังโต๊ะเครื่องแป้งของหลินม่ายทันทีเพื่อหาแหวนแต่งงานและสวมมันไว้
การมีแหวนวงนี้ มันจะช่วยปัดเป่าบรรดาดอกท้อเน่าไม่ให้มากล้ำกรายเขาได้
หลินม่ายลุกขึ้น และเห็นว่าเขาสวมแหวนแต่งงาน “ทำไมคุณถึงเอาแหวนแต่งงานมาใส่ล่ะ? มีดอกท้อเน่ามาวนเวียนใกล้คุณเหรอคะ?”
ฟางจั๋วหรานไม่ชอบใส่เครื่องประดับรวมถึงแหวนแต่งงาน แต่ตอนนี้เขากลับสวมมันไว้ ซึ่งบ่งบอกว่าเขากำลังเผชิญกับดอกท้อเน่าที่มาสร้างความรำคาญใจ
ฟางจั๋วหรานส่งเสียงตอบกลับ หวังว่าหลินม่ายจะอยากรู้อยากเห็นและถามเขาว่าดอกท้อเน่าเป็นใครมาจากไหน
แต่หลินม่ายมุ่งความสนใจไปที่การนัดหยุดงานของผู้บริหารบริษัทกุยตันในเช้าวันนี้ แล้วเธอจะมีอารมณ์ใส่ใจเรื่องเล็กน้อยนี้ได้อย่างไร
ในสายตาของเธอ ดอกท้อเน่าเสียพวกนั้นเป็นเพียงเรื่องเล็กน้อย ฟางจั๋วหรานดูแลเรื่องนี้ได้ และเธอไม่จำเป็นต้องกังวลเกี่ยวกับพวกมัน
เมื่อหลินม่ายไปที่ห้องครัวเพื่อทำอาหารเช้า ฟางจั๋วหรานเดินตามเข้ามาและถามว่าเธอจะกินอะไรเป็นอาหารเช้า?
หลินม่ายถามกลับว่าเขาอยากกินอะไร
ฟางจั๋วหรานกอดเอวของเธอจากด้านหลังและคิดอย่างจริงจัง “ไม่สำคัญว่าคุณจะกินอะไรในตอนเช้า ทำข้าวกล่องแห่งความรักมาให้ผมหน่อยสิ ผมอยากเอาไปกินที่โรงพยาบาล”
หลินม่ายหันกลับมาถาม “ทำไมล่ะ”
ไม่ใช่ว่าเขาไม่มีเงินและไม่สามารถซื้ออาหารนอกบ้านได้
ฟางจั๋วหรานกล่าว “ผมอยากอวดเพื่อนร่วมงาน”
หลินม่ายพยักหน้ารับ
แม้จะขอให้เธอทำข้าวกล่องอาหารกลางวันให้ แต่แท้จริงฟางจั๋วหรานได้เตรียมทุกอย่างไว้ให้ หลินม่ายเพิ่งผัดลูกชิ้นปลาทอด กล่องอาหารกลางวันก็พร้อมแล้ว
หลังรับประทานอาหารเช้า ฟางจั๋วหรานหยิบกล่องข้าวแห่งความรักและออกไปทำงาน
เมื่อนั่งแท็กซี่ข้างถนนตรงทางเข้าโรงพยาบาล เขามองไปรอบ ๆ และไม่เห็นวี่แววของซูซาน เขาพลันรู้สึกโล่งใจ
สิ่งที่กวนใจเขามากที่สุดคือการถูกสะกดรอยตามอย่างต่อเนื่องจากดอกท้อเน่า
เวลาประมาณแปดโมงเช้า หลินม่ายนั่งรถมายบัคออกไป เนื่องจากหลี่ตงซินยังไม่ถูกจับกุม เธอจึงไม่กล้าออกไปข้างนอกคนเดียว
รถมายบัคหยุดกะทันหันหลังจากขับออกจากลานบ้านไม่ถึงร้อยเมตร
หลินม่ายมองออกไปอย่างสงสัย และเห็นซูซานยืนขวางกลางถนน
เมื่อซูซานเห็นหลินม่าย เธอรีบวิ่งไปที่หน้าต่างรถและกล่าวคำฟังดูน่าฉงน “คุณหนูคะ ฉันมีเรื่องบางอย่างต้องการบอก ช่วยลงจากรถออกมาคุยกันได้ไหมคะ?”
“ไม่ได้” หลินม่ายหันไปพูดกับทอม “ขับออกไป”
“นี่! อย่าเพิ่งรีบไปสิ!” ซูซานรีบคว้าขอบหน้าต่างรถ
หลินม่ายบอกแจ็ค “โยนหล่อนออกไปให้พ้น!”
แจ็คกำลังลงจากรถเพื่อโยนซูซานออกไป แต่ซูซานยัดรูปถ่ายเข้าไปในรถของหลินม่าย “คุณจะเข้าใจสิ่งที่ฉันอยากจะพูดกับคุณ หลังจากลองดูนี่แล้ว”
ในภาพ ดูเหมือนว่าซูซานกำลังจะเอื้อมไปหยิบดอกลิลลี่ในอ้อมแขนของฟางจั๋วหราน
ซูซานพูดพลางด้วยท่าทางลังเล “เมื่อวานคุณคงได้รับดอกลิลลี่จากนายน้อยใช่ไหมคะ? นายน้อยต้องการมอบมันให้ฉัน แต่ฉันไม่ต้องการ เขาจึงนำมันกลับไปมอบให้คุณ นายน้อยกำลังไล่ตามฉันลับหลังคุณหนู ฉันคิดว่าควรต้องบอกคุณหนูให้รู้ความจริงเกี่ยวกับเรื่องนี้”
หลินม่ายโยนรูปถ่ายออกนอกหน้าต่างรถ “เอาล่ะ ฉันรู้ว่าเธอต้องการยุแยงความสัมพันธ์ของเรา แต่ช่วยส่องกระจกดูก่อนว่าเธอ มีคุณสมบัตินั้นหรือไม่”
หลังจากนั้นจึงหันไปบอกทอมให้ขับรถออกไป
คราวนี้ซูซานจำเป็นต้องปล่อยมือ
ในที่สุดหล่อนก็ได้เห็นอย่างชัดเจนแล้วว่าความสัมพันธ์ระหว่างนายน้อยกับคุณหนูนั้นแข็งแกร่งกว่าสิ่งอื่นใด คนนอกอย่างหล่อนไม่มีทางทำลายความสัมพันธ์ของพวกเขาได้
พวกเขาทั้งสองเป็นตัวตนพิเศษที่สามารถมองผ่านหัวใจของผู้คนได้อย่างรวดเร็วและไม่ถูกหลอกโดยง่าย
ไม่ว่าในกรณีใด หล่อนก็ไม่มีบทบาทในความสัมพันธ์ของพวกเขา
เดิมทีหลินม่ายต้องการไปที่บริษัทแต่เช้าเพื่อดูผู้บริหารนัดหยุดงาน
อย่างไรก็ตามเพราะถูกซูซานขัดขวางจนทำให้เสียเวลาชั่วครู่หนึ่ง เมื่อมาถึงบริษัท มันก็เป็นเวลาทำงานแล้ว
เมื่อรถมายบัคของหลินม่ายปรากฏขึ้น พวกเขาก็แห่แหนเข้ามารุมล้อม
ทันทีที่เธอลงจากรถ ไมโครโฟนหลายตัวก็ถูกจ่อมาที่ปากพร้อมขอสัมภาษณ์
แจ็คติดตามหลินม่ายอย่างใกล้ชิดเพื่อคอยปกป้องเธอ
หญิงสาวเพิ่งมาทำงานที่บริษัท นักข่าวพวกนี้ทำท่าสัมภาษณ์เธอราวกับเป็นดาราดัง ทำให้เธอตกอยู่ภายใต้ความกดดันอย่างมาก
นักข่าวคนหนึ่งถามว่า “คุณหลิน วันนี้คุณจะมาบริษัทเพราะผู้บริหารระดับสูงของบริษัทนัดหยุดงานใช่หรือไม่?”
หลินม่ายยอมรับอย่างตรงไปตรงมา “ใช่ค่ะ”
นักข่าวอีกคนหนึ่งถาม “คุณรับมือกับแผ่นดินไหวครั้งใหญ่นี้อย่างไร?”
ไม่ใช่เรื่องเกินจริงที่จะกล่าวว่าการนัดหยุดงานโดยผู้บริหารระดับสูงถือเป็นแผ่นดินไหว หากไม่ได้รับการจัดการอย่างดี หุ้นของบริษัทกุยตันจะร่วงลงเหวอย่างแน่นอน และมูลค่าตลาดอย่างน้อยหลายร้อยล้านจะถูกลบล้างไป
ธุรกิจของบริษัทมีแนวโน้มจะปิดตัวลงอย่างสมบูรณ์ ซึ่งส่งผลให้ขาดทุนมหาศาล
หลินม่ายตอบกลับขณะที่เดิน “ฉันอยากถามผู้บริหารพวกนั้นว่าทำไมถึงนัดหยุดงานก่อน แล้วค่อยมาแก้ไขปัญหาภายหลัง”
“หากแก้ไขข้อขัดแย้งไม่ได้ คุณมีแผนจะทำอย่างไร?” นักข่าวถามอย่างไม่ลดละ
หลินม่ายตอบ “ถ้าอย่างนั้นเราจะให้สองทางเลือกแก่ผู้บริหารเหล่านั้น หากต้องการนัดหยุดงานต่อ ก็ขอเชิญคนเหล่านั้นออกไป แต่หากคุณยังคงต้องการทำงานที่บริษัท ก็จงทำงานหนักด้วยความซื่อสัตย์”
นักข่าวที่เดินอยู่ข้างหน้าถามกลับว่า “จะเกิดอะไรขึ้นถ้าผู้บริหารของบริษัทของคุณปฏิเสธที่จะยอมแพ้และลาออกทั้งหมด?”
หลินม่ายหยุดและถามกลับว่า “คุณยังไม่ได้อ่านหนังสือพิมพ์ของวันนี้หรือคะ? ฉันได้ลงประกาศรับสมัครงานในหนังสือพิมพ์หลายฉบับ ฉันกำลังมองหาผู้บริหารระดับสูงโดยเฉพาะ”
นักข่าวพยักหน้าและกล่าวว่า “เราเห็นแล้วค่ะ แต่ผู้บริหารที่ได้รับการแต่งตั้งใหม่จะเข้ามารับช่วงต่องานทั้งหมดนั้นดูไม่สมเหตุสมผลสักเท่าไหร่”
หลินม่ายพยักหน้า “นั่นเป็นความจริงค่ะ
แต่คุณได้มองข้ามประเด็นหนึ่งไป ความจริงผู้บริหารระดับสูงเหล่านั้นมีทีมอยู่ภายใต้พวกเขา ไม่ว่าผู้บริหารจะนัดหยุดงานหรือลาออก ทีมเหล่านั้นจะไม่ติดตามพวกเขา ตราบใดที่ทีมเหล่านี้ไม่ลาออก ธุรกิจทั้งหมดก็ยังดำเนินต่อไปได้”
เธอหยุดเล็กน้อยและพูดต่อว่า “มีคำพูดในประเทศของเราที่บอกว่า คนเขลาสามคน เทียบเท่าหนึ่งจูกัดเหลียง (1) ซึ่งหมายความว่าคนธรรมดาก็สามารถทำสิ่งที่ยิ่งใหญ่ได้ ความสามัคคีเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันของสมาชิกในทีมทุกคนจะไม่ด้อยไปกว่าความสามารถของผู้บริหารระดับสูง
นักข่าวคนหนึ่งถามอย่างเฉียบขาด “คุณแน่ใจได้อย่างไรว่าทีมที่อยู่ภายใต้ผู้บริหารระดับสูงเหล่านั้นจะไม่ออกไปพร้อมกับพวกเขา?”
หลินม่ายกะพริบตาถามกลับ “เพื่อคำตอบที่คุณต้องการ งั้นติดตามฉันไปสัมภาษณ์ต่อดีไหมคะ?”
จากนั้นคนกลุ่มหนึ่งขึ้นลิฟต์ไปชั้นที่ตั้งสำนักงานของหลินม่าย
มีผู้บริหารราวเจ็ดสิบถึงแปดสิบคนนั่งและยืนในบริเวณแผนกต้อนรับขนาดสองถึงสามร้อยตารางเมตร ซึ่งทั้งหมดล้วนเป็นผู้บริหารระดับสูง
หลินม่ายมองดูทุกคนที่อยู่ ณ ที่นี้ ด้วยคนจำนวนมาก ผู้บริหารของบริษัททุกคนควรอยู่ที่นี่แล้ว
เธอถามอย่างใจเย็น “พวกคุณกำลังนัดหยุดงานใช่ไหมคะ?”
ผู้บริหารต่างมองหน้ากัน เมื่อเผชิญหน้ากับหลินม่าย ไม่มีใครต้องการแสดงตัวชัดเจนเกินไป
เพราะกระบอกปืนย่อมจ่อนกตัวแรกที่เผยตัว
หากการประท้วงสำเร็จ ย่อมได้รับผลประโยชน์อย่างแน่นอน แต่หากล้มเหลว ผลที่ตามมาจะเป็นหายนะ
การสัมภาษณ์ของนักข่าวกับหลินม่ายที่ชั้นล่างต่างก็แพร่กระจายมาถึงหูของผู้บริหารเหล่านี้ทันที
ผู้บริหารสูงสุดหลินมีมาตรการตอบโต้อย่างชัดเจน และไม่กลัวการลาออกของผู้บริหารระดับสูงทั้งหมด ซึ่งไม่ต้องพูดถึงการนัดหยุดงาน
ไม่ว่าหลินม่ายจะใช้กลอุบายในการข่มพวกเขาหรือไม่ก็ตาม แต่เพื่อประโยชน์ของตัวเอง พวกเขาไม่สามารถแสดงตัวอย่างโจ่งแจ้ง ดังนั้นจึงไม่มีใครพูดอะไร
หลินม่ายยังคงรักษาความสุขุม “ถ้าพวกคุณไม่ตอบ ฉันจะถือว่ามันเป็นการยอมรับของพวกคุณ”
ทุกคนยังคงนิ่งเงียบ
หลินม่ายพูดต่อ “ถ้าอย่างนั้นฉันขอถามสักหนึ่งถึงสองคำถาม ทำไมพวกคุณถึงหยุดงานคะ?”
ผู้บริหารทุกคนอยู่ในความโกลาหล แต่ไม่มีใครกล้าเป็นผู้นำในการตอบกลับไป
หากแผนการล้มเหลว ไม่เพียงหลินม่ายจะตามคิดบัญชีในภายหลัง แต่คนที่ก้าวออกมาเป็นผู้นำจะต้องประสบกับชะตากรรมที่เลวร้ายที่สุด
หลินม่ายพูดอย่างแช่มช้า “ในเมื่อไม่มีใครอยากพูด ฉันขอพูดหน่อยแล้วกันค่ะ พวกคุณนัดหยุดงานโดยไม่มีเหตุผลใด ๆ ซึ่งทำให้หุ้นของบริษัทตก ฉันจะติดตามความรับผิดชอบด้วยวิธีการทางกฎหมาย และฉันจะไล่พวกคุณทุกคนออกด้วย เชิญพวกคุณออกจากบริษัทไปเดี๋ยวนี้ค่ะ!”
ผู้บริหารทุกคนตกตะลึง
ครั้งสุดท้ายที่มีการยักยอกเงินมากกว่า 3,000 ดอลลาร์สหรัฐของหลี่ตงซิน หลินม่ายได้ไล่ออกและปลดผู้บริหารหลายสิบคนในคราวเดียว ซึ่งน่ากลัวมากแล้ว
คราวนี้เธอไล่พวกเขาทั้งหมดโดยไม่อ้อมค้อม
เธอไม่กลัวเลยหรือว่า ถ้าพวกเขาออกกันหมด หุ้นของบริษัทจะร่วงจนฉุดไม่อยู่ หรือแม้กระทั่งต้องปิดตัวบริษัทลง?
หลินม่ายบอกว่า ตราบใดสมาชิกทีมยังอยู่ บริษัทจะดำเนินการต่อไปได้
แล้วพวกเขาจะไม่ควรคิดถึงสถานการณ์นี้ได้อย่างไร?
การแย่งทีมของตัวเองออกจากบริษัทคือไพ่ตายของพวกเขาที่ใช้โจมตีหลินม่าย!
……….……….……….……………………………………………………………………………………………….
三个臭皮匠,顶个诸葛亮 คนเขลาสามคน เทียบเท่าหนึ่งจูกัดเหลียง (ขงเบ้ง) มีความหมายว่า แม้เป็นคนเขลา แต่หากมีความร่วมแรงร่วมใจกันเปิดกว้างรับความคิดเห็นของกันและกัน ก็จะสามารถคิดวิธีดี ๆ ออกได้เช่นเดียวกับผู้มีปัญญา
สารจากผู้แปล
มีคุณสมบัติอะไรมาเป็นมือที่สามคะซูซาน พวกเขารักกันมั่นคงออกขนาดนั้น
ในเมื่อไม่ยอมรับก็โดนไล่ออกกันให้หมดเลย เด็ดขาดดีค่ะ
ไหหม่า(海馬)