แม่ปากร้ายยุค 80 - ตอนที่ 1079 ดอกท้อเน่าสองดอก
ตอนที่ 1079 ดอกท้อเน่าสองดอก
ตอนที่ 1079 ดอกท้อเน่าสองดอก
หลังจากเลิกงานตอนเที่ยง ก่อนที่ฟางจั๋วหรานจะถอดเสื้อคลุมสีขาว แพทย์จากห้องฉุกเฉินก็มาพูดกับเขาว่า “หมอฟางครับ เราจะไปกินข้าวเที่ยงกันก่อน หลังจากกินเสร็จแล้ว จึงจะมาเปลี่ยนเวรกับคุณ”
ห้องฉุกเฉินจำเป็นต้องมีคนดูแลตลอด 24 ชั่วโมง ทำให้ทุกคนต้องผลัดกันไปกินข้าว ซึ่งฟางจั๋วหรานเข้าใจดี
สิ่งที่เขาไม่เข้าใจคือ หมอทุกคนไม่ควรออกไปกินข้าวกลางวันและปล่อยเขาไว้ตามลำพัง เผื่อว่าตอนเที่ยงจะมีเคสผู้ป่วยฉุกเฉินจำนวนมาก
ฟางจั๋วหรานแสดงความกังวลของเขา
แพทย์คนหนึ่งโบกของบางสิ่งในมือ ซึ่งก็คือโทรศัพท์มือถือ
“เราทุกคนต่างก็มีโทรศัพท์มือถือ หากคนไข้เยอะ หัวหน้าพยาบาลจะติดต่อเรา แล้วเราจะรีบกลับมา ไม่ต้องกังวลเรื่องนี้นะครับ”
ไม่ถึง 15 นาทีหลังจากที่เพื่อนร่วมงานเหล่านั้นออกไป หัวหน้าพยาบาลก็รีบเข้ามาและพูดว่า “เร็วเข้าค่ะ ผู้ป่วยอาการหนักอยู่ที่นี่!”
หลังจากที่หัวหน้าพยาบาลกล่าวเช่นนั้น หล่อนก็พบว่าฟางจั๋วหรานอยู่ในห้องฉุกเฉินเพียงคนเดียว จึงถามด้วยความกังวล “หมอคนอื่นไปไหนคะ?”
ฟางจั๋วหรานบอกความจริง “ออกไปกินข้าวเที่ยงครับ”
หัวหน้าพยาบาลเม้มริมฝีปากแล้วรีบโทรหาหมอคนอื่นทันที
หมอคนนั้นบอกว่ากำลังเดินทางไปร้านอาหารและจะขับรถกลับ
พวกเขาบอกหัวหน้าพยาบาลว่าให้ฟางจั๋วหรานที่ถูกทิ้งไว้คนเดียวทำการตรวจผู้ป่วยเบื้องต้นและรักษาอาการของผู้ป่วยให้คงที่ เพื่อที่พวกเขาจะได้กลับไปทำงานได้ทันที
หัวหน้าพยาบาลผลักผู้ป่วยไปที่ห้องฉุกเฉินตามคำแนะนำของหมอ และขอให้ฟางจั๋วหรานทำการตรวจเบื้องต้น
เมื่อฟางจั๋วหรานทำการตรวจผู้ป่วยเบื้องต้น ขณะที่กดบริเวณถุงน้ำดีของผู้ป่วย ผู้ป่วยก็กรีดร้องด้วยความเจ็บปวดราวกับหมูที่ถูกเชือดและบอกว่ามันเจ็บ
ฟางจั๋วหรานดึงมือกลับอย่างรวดเร็ว เขาขมวดคิ้วและลองกดจุดเดิมอีกครั้ง
แม้ว่าครั้งนี้จะใช้แรงกดน้อยมาก แต่ผู้ป่วยก็ยังคงกรีดร้องด้วยความเจ็บปวด
หัวหน้าพยาบาลด้านข้างถามว่า “คนไข้เป็นอะไรคะ?”
ฟางจั๋วหรานกล่าว “การวินิจฉัยเบื้องต้นคือถุงน้ำดีอักเสบเฉียบพลัน บวกกับนิ่ว”
ตอนที่เขาสัมผัสบริเวณถุงน้ำดีอักเสบของผู้ป่วยก็พบว่ามันแข็งมาก ซึ่งเป็นอาการของโรคนิ่ว
ถุงน้ำดีอักเสบเฉียบพลันและการมีนิ่วในถุงน้ำดีอาจทำให้ถึงแก่ชีวิต
หัวหน้าพยาบาลกังวลมากจนกดหมายเลขโทรศัพท์มือถือของหมอที่ออกไปกินข้าวกลางวันอีกครั้ง
ตอนแรกหมอเหล่านั้นบอกว่าจะกลับมาทันที แต่ตอนนี้พวกเขากลับมาไม่ได้แล้ว
เนื่องจากคนขับใจร้อนเกินไปจนประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์ จึงถูกตำรวจจราจรควบคุมตัวไว้และคงกลับไปไม่ได้สักพัก
โคอิซึมิ คานาโกะเดินเข้ามา เมื่อเห็นว่าหัวหน้าพยาบาลวิตกกังวลราวกับมดบนหม้อไฟ จึงถามว่าเกิดอะไรขึ้น
หัวหน้าพยาบาลเล่าเรื่องทั้งหมดให้หล่อนฟัง
โคอิซึมิ คานาโกะมองไปทางฟางจั๋วหราน “ที่นี่ก็มีศัลยแพทย์อยู่แล้วไม่ใช่เหรอ? ให้เขาทำการผ่าตัดผู้ป่วยสิ อย่าปล่อยให้คนไข้ต้องทนทุกข์ทรมานนาน ไม่เช่นนั้นอาจเกิดอันตราย”
หัวหน้าพยาบาลถามอย่างสงสัย “หมอฟางมีคุณสมบัติหรือคะ?”
โคอิซึมิ คานาโกะตอบกลับ “ไม่ต้องห่วง ฉันรับผิดชอบเอง”
โคอิซึมิ คานาโกะเป็นลูกสาวของผู้ถือหุ้นรายใหญ่ของโรงพยาบาล เนื่องจากหล่อนออกปาก หัวหน้าพยาบาลจึงทำได้แค่ทำตามเท่านั้น
การผ่าตัดแผนกฉุกเฉินนั้นเรียบง่ายไม่ต้องการอะไรมาก แค่มีวิสัญญีแพทย์ที่ดี พยาบาลที่มีประสบการณ์จำนวนหนึ่ง หัวหน้าศัลยแพทย์ และผู้ช่วยหัวหน้าศัลยแพทย์
วิสัญญีแพทย์หาได้ง่าย พวกเขาออกไปกินข้าวเที่ยงและกลับมาแล้ว
คำถามคือ หากฟางจั๋วหรานเป็นหัวหน้าศัลยแพทย์ แล้วใครจะเป็นผู้ช่วยหัวหน้าศัลยแพทย์ล่ะ?
ฟางจั๋วหรานกล่าวกับหัวหน้าพยาบาลว่า “ไม่มีผู้ช่วยไม่เป็นไร ผมทำเองได้”
ฟางจั๋วหรานมีความมั่นใจสูงมาก ไม่ต้องพูดถึงข้อสงสัยของหัวหน้าพยาบาล แม้แต่โคอิซึมิ คานาโกะก็ยังกังวล หล่อนกล่าวด้วยความลังเล “ฉันจะเป็นผู้ช่วยของคุณเอง”
แม้ว่าหล่อนจะไม่ใช่ศัลยแพทย์ แต่ในช่วงเวลาวิกฤติเช่นนี้ หากฟางจั๋วหรานทำผิดพลาด หล่อนคงหยุดมันได้ทันเวลาเพื่อหลีกเลี่ยงอุบัติเหตุทางการแพทย์ที่ใหญ่กว่า
การผ่าตัดดำเนินไปอย่างรวดเร็วและประสบผลสำเร็จ ซึ่งทำให้ทุกคนประหลาดใจ
โคอิซึมิ คานาโกะบอกผู้อำนวยการเกี่ยวกับเรื่องนี้อย่างมีความสุข
ผู้อำนวยการเพียงตะคอกอย่างเย็นชาและไม่พูดอะไรอีก อย่างไรก็ตามสีหน้ากลับอ่อนลงมาก
หล่อนไม่ได้เลือกปฏิบัติต่อคนจีน สิ่งที่หล่อนดูถูกคือความล้าหลังของจีน และไม่เชื่อว่าคนจีนจะมีความสามารถที่โดดเด่น
ถ้าหมอฟางมีความสามารถจริง ๆ หล่อนก็ยังยินดีที่จะให้เขาทำงานในโรงพยาบาลต่อไป
ในตอนเช้าหลินม่ายไปปลูกผักกับคุณปู่ฟางและภรรยา ก่อนที่คนทั้งสามจะทำอาหารกลางวันด้วยกัน จากนั้นหลินม่ายวางแผนที่จะซื้อรถยนต์ให้ตัวเองในช่วงบ่าย
เธอเรียนขับรถที่โรงเรียนสอนขับรถเป็นเวลาหนึ่งสัปดาห์ เมื่อผ่านการทดสอบ เธอจึงจะได้รับใบขับขี่และขับรถด้วยตัวเอง เช่นนั้นจึงต้องมีรถก่อน
แต่แผนการก็ต้องเปลี่ยนไปกะทันหัน ก่อนที่หลินม่ายจะได้ออกไปข้างนอก ชายอาวุโสคนหนึ่งแอบโทรหาเธอและบอกว่าผู้บริหารของบริษัทจะนัดหยุดงานในวันพรุ่งนี้และขอให้เธอเตรียมตัว
หลินม่ายจำเสียงพนักงานเก่าแก่ได้และถามไปว่า “คุณคือหงเจี้ยนฉี คุณลุงหงใช่ไหมคะ?”
อีกด้านหนึ่งของโทรศัพท์ หงเจี้ยนฉีลูบหน้าผาก ทำไมเธอถึงมีความทรงจำดีขนาดนี้? ถึงขนาดจดจำผู้คนได้เพียงได้ยินเสียง!
เขายอมรับอย่างไม่เต็มใจว่า “ผมเอง รู้แค่ว่าผมเป็นคนมาแจ้งข่าวแล้วกัน แต่อย่านำไปบอกใคร”
เมื่อเห็นว่าเขาจริงจังแค่ไหน หลินม่ายก็ตอบรับหนักแน่น “ฉันเข้าใจแล้วค่ะ”
จากนั้นเธอถามว่า “มันเป็นแผนของรุ่นน้องที่ฉันไล่ออกในหมู่ผู้อาวุโสหรือเปล่าคะ?”
ไม่มีใครจะยืนหยัดต่อสู้กับเธอได้ ยกเว้นพวกเขา
แทบไม่ต้องพูดถึงความสัมพันธ์ บริษัทกุยตันเสนอเงินเดือนและผลประโยชน์ให้ผู้บริหารสูงกว่าบริษัทอื่น ๆ ทั้งสิ้น เฉพาะในกรณีที่มีคนเสียสติเท่านั้นที่พวกเขาจะหยุดงานประท้วง ซึ่งเป็นอันตรายต่ออนาคตของพวกเขาเอง
ลุงหงเงียบไปครู่หนึ่งแล้วพูดว่า “พวกเขาแค่ถูกใช้”
หลินม่ายประหลาดใจและอุทาน “โอ้?”
ลุงหงหยุดชั่วคราวและพูดต่อ “มีคนในกลุ่มต้องการกีดกันคุณและเข้ามาแทนที่คุณ โดยปล่อยให้เป็นแค่คนรวยที่เกียจคร้าน”
หลินม่ายถาม “คนนั้นคือใครคะ?”
ลุงหงตอบ “ผมไม่สามารถบอกได้ ผมบอกแค่คำใบ้ คนที่อยากกีดกันคุณก็เป็นพนักงานเก่าแก่ของบริษัทเช่นเดียวกับผมนี่แหละ”
เขาขอโทษ “มันเป็นความผิดของผมเอง ผมรู้ช้าเกินไป ผู้ชายคนนั้นมีอำนาจมากในบริษัทแล้ว ผู้อาวุโสหลายคนในบริษัทติดสินบนจากเขา คุณต้องใช้ความระมัดระวังอย่างมากในการจัดการกับเขา”
หลังจากวางสาย หลินม่ายก็จมอยู่กับความคิดตัวเอง
เธอคิดเสมอว่าผู้อาวุโสที่ป้าของเธอทิ้งไว้ข้างหลังนั้นภักดี แต่ไม่คาดคิดว่าพวกเขาจะถูกล่อลวงให้กบฏต่อเจ้านายตัวเอง
พวกเขาไม่ได้สำนึกเลยว่าใครใช้เงินมหาศาลเพื่อพาพวกเขามาลี้ภัยที่สหรัฐอเมริกา และอนุญาตให้พวกเขาพาครอบครัวมาด้วยได้
ย้อนกลับไปตอนนั้น คุณลุงและคุณป้าทำงานกันอย่างเต็มที่เพื่อนำพวกเขามาสู่ชีวิตที่ดีขึ้นในสหรัฐอเมริกาและสร้างรากฐานที่มั่นคง คุณลุงทำงานหนักจนเสียชีวิต ส่วนคุณป้าก็แท้งลูกและไม่สามารถตั้งครรภ์ได้อีก
ความเมตตาเหล่านี้ล้วนจางหายไปในจิตใจของผู้คนหลังจากเวลาผันผ่านไป
เนื่องจากผู้เฒ่าเหล่านี้ไม่ให้ความสำคัญกับมิตรภาพเก่าอีกต่อไป มันอาจเป็นการดีที่สุดสำหรับพวกเขาที่จะแยกออกไปตามทางของตัวเอง
หลินม่ายติดต่อหนังสือพิมพ์หลายฉบับทันที และลงประกาศรับสมัครงานในวันพรุ่งนี้
เธอคัดเลือกตำแหน่งผู้บริหารระดับสูงทั้งหมด และทำการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ เพื่อดูว่าการนัดหยุดงานของผู้บริหารระดับสูงเหล่านั้นจะส่งผลกระทบต่อบริษัทของฟางจั๋วหรานมากน้อยเพียงใด!
หลังจากคุยโทรศัพท์กับหนังสือพิมพ์หลายฉบับเสร็จแล้ว หลินม่ายหยิบกระเป๋าขึ้นและกำลังจะออกไปข้างนอก
ลุงฝูถามเธอว่ากำลังจะไปที่ไหน เธอตอบเขาไปว่าต้องการซื้อรถเพื่อที่จะได้ขับเอง
ลุงฝูพูดด้วยความขุ่นเคือง “อยากซื้อรถแบบไหนอีกครับ? ในโรงรถใต้ดินของเรามีรถหรูมากมาย ผมได้เปลี่ยนกระจกรถแลนด์โรเวอร์และรถเมอร์เซเดส-เบนซ์เป็นกระจกกันกระสุนแล้ว จากนี้ไปคุณหนูและนายน้อยสามารถใช้รถแลนด์โรเวอร์และรถเมอร์เซเดส-เบนซ์ที่ผมเตรียมไว้ให้”
หลินม่ายได้ลองขับรถรถเมอร์เซเดส-เบนซ์ที่ลุงฝูเตรียมไว้ให้ มันขับสบาย และเธอค่อนข้างพอใจเลยทีเดียว
…
ก่อนที่เขาจะเดินออกจากประตูโรงพยาบาล โคอิซึมิ คานาโกะเรียกเขาจากด้านหลังและถามด้วยรอยยิ้ม “หมอฟาง ช่วยเลี้ยงอาหารเย็นให้ฉันหน่อยได้ไหมคะ?”
ขณะที่พูด หล่อนก็เดินเข้ามาหาฟางจั๋วหรานด้วยท่าทางที่มีเสน่ห์และเย้ายวน
เจ้าหน้าที่ทางการแพทย์ชาย และแม้แต่คนไข้ชายที่เดินผ่านต่างก็ผิวปากใส่หล่อน
แต่ฟางจั๋วหรานไม่แยแส โคอิซึมิ คานาโกะสวยมากก็จริง แต่เมื่อเทียบกับภรรยาของเขาแล้ว หล่อนยังคงเป็นรองเท่านั้น
นอกจากนี้ ความสวยของหล่อนเกี่ยวอะไรกับเขา?
ฟางจั๋วหรานถามด้วยความสับสน “ทำไมถึงชวนผมไปรับประทานอาหารเย็นล่ะครับ?”
โคอิซึมิ คานาโกะตกตะลึงกับคำถามนี้ มีคำพูดที่กล่าวว่าคนจีนรู้จักโลกดีที่สุด แต่ทำไมชายคนนี้ถึงไร้เดียงสาและโง่เขลาขนาดนี้?
แต่จะทำอย่างไรได้ถ้าหล่อนชอบเขามากจริง ๆ?
หล่อนเตือนด้วยความเขินอาย “จำได้ไหมคะว่าฉันเสนอให้คุณผ่าตัดในตอนเที่ยง และให้โอกาสคุณแสดงความสามารถ”
ฟางจั๋วหรานพูดอย่างใจเย็น “ในประเทศของเรามีคำกล่าวที่ว่า ทองไปไหนก็ส่องประกายทุกที่ แม้ว่าคุณจะไม่ให้โอกาสผมแสดงความสามารถ แต่ผมก็ยังมีโอกาสในอนาคต และตอนนั้นคุณก็ไม่มีทางเลือกอื่น หากปล่อยผมไป คุณสามารถหาหมอคนอื่นมาทำแทนก็ได้? ผมช่วยให้โรงพยาบาลพ้นจากวิกฤต ดังนั้นโรงพยาบาลควรให้รางวัลผมต่างหาก”
โคอิซึมิ คานาโกะตกตะลึงเล็กน้อย ชายคนนี้รู้จักความโรแมนติกบ้างไหม?
เขาไม่เข้าใจความหมายตอนที่หล่อนบอกให้เขาเลี้ยงอาหารเย็นเลยหรือ?
เนื่องจากผู้ชายตรงหน้าไม่รู้ความโรแมนติก หล่อนจึงต้องพยายามมากขึ้น
รอยยิ้มของหล่อนสดใสราวกับดอกไม้ “คุณหมอฟางพูดถูกค่ะ พ่อของฉันเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ของโรงพยาบาลแห่งนี้ ดังนั้นฉันจะเลี้ยงอาหารคุณในนามของโรงพยาบาลเอง”
“ไม่จำเป็นครับ” ฟางจั๋วหรานปฏิเสธอย่างรวดเร็ว
“ฉันต้องการค่ะ” โคอิซึมิ คานาโกะพูดด้วยสีหน้าจริงใจ
ฟางจั๋วหรานมองหล่อนเงียบงันและกล่าวเสียงเย็นชา “วันนี้ผมไม่สะดวกครับ ค่อยไปวันอื่นแล้วกัน ภรรยาของผมกำลังรอให้ผมกลับไปกินอาหารเย็นด้วยกัน” สิ้นเสียง เขาหันหลังและเดินจากไปทันที
โคอิซึมิ คานาโกะยังคงยืนนิ่งอยู่ที่เดิม
หล่อนคิดว่าเขายังไม่มีแฟน แต่ที่ไหนได้เขาแต่งงานแล้ว~
เพื่อนร่วมงานชายผิวขาวเดินมาหาโคอิซึมิ คานาโกะ “คุณโคอิซึมิ ผมจะเลี้ยงอาหารค่ำคุณเอง คุณจะให้โอกาสผมไหมครับ?”
ใบหน้าของโคอิซึมิ คานาโกะไร้อารมณ์ และปฏิเสธด้วยสีหน้าเย่อหยิ่ง
หลังจากออกจากโรงพยาบาล ฟางจั๋วหรานไปซูเปอร์มาร์เก็ตเพื่อซื้อผลไม้สุดโปรดของหลินม่าย จากนั้นไปที่ร้านดอกไม้เพื่อซื้อดอกลิลลี่ที่หลินม่ายชอบ ก่อนจะนั่งแท็กซี่กลับบ้าน
ในไม่ช้ารถแท็กซี่ก็มาถึงที่ประตูลานบ้าน ฟางจั๋วหรานเดินลงจากรถโดยถือผลไม้ในมือข้างหนึ่งและอีกมือหนึ่งมีดอกลิลลี่
หลังจากเดินไปได้เพียงสองก้าว ซูซานที่อยู่ในเสื้อผ้าน้อยชิ้นโผล่ออกมาจากด้านหลังอย่างกะทันหัน หล่อนเอื้อมมือไปสัมผัสดอกลิลลี่ในอ้อมแขนของเขา ขณะที่ดวงตาเต็มไปด้วยความประหลาดใจ “ว้าว! สวยมากเลยค่ะ!”
ฟางจั๋วหรานไม่ต้องการให้หล่อนแตะต้อง เขาจึงก้าวถอยหลังไปเล็กน้อย “ห้ามแตะนะ! นี่คือดอกโอเรียนทอลลิลลี่ มันแพงมาก คุณไม่มีทางจ่ายชดใช้ถ้าทำมันสกปรก~”
ซูซานชักมือกลับด้วยความอายและพูดด้วยความเสียใจ “นายน้อยคะ ดิฉันถูกคุณหนูไล่ออกโดยไม่มีเหตุผล คุณจะไม่พูดทวงความยุติธรรมให้ดิฉันหน่อยหรือคะ?”
ฟางจั๋วหรานพูดอย่างใจเย็น “ผมขอให้ภรรยาไล่คุณออก แล้วคุณมาขอให้ผมพูดแทนคุณน่ะเหรอ? สมองหมูงอกบนหัวคุณหรือยังไง?” เขาหันหลังกลับและเดินจากไปทันที
ซูซานยืนนิ่งด้วยความตกตะลึง
เมื่อวานหล่อนกลับบ้านและคิดเรื่องนี้ทั้งคืน โดยคิดว่าหลินม่ายรู้เบาะแสแล้ว จึงได้ไล่หล่อนออกไปเช่นนั้น
โดยไม่คาดคิด เป็นนายน้อยเองที่ต้องการไล่หล่อนออกไป~
หล่อนมาที่นี่เพื่อรอพบกับฟางจั๋วหราน โดยหวังฟ้องเขาเกี่ยวกับความไม่เป็นธรรมของหลินม่าย และพยายามเกลี้ยกล่อมเขา
แต่ก่อนที่หล่อนจะทำลายชื่อเสียงของหลินม่าย หรือเหวี่ยงตัวเองเข้าสู่อ้อมแขนของเขา ฟางจั๋วหรานก็ได้โจมตีหล่อนด้วยคำพูดเหล่านั้น
หล่อนมองดูแผ่นหลังกว้างของฟางจั๋วหรานพลางสาปแช่งอยู่ในใจ ผู้ชายคนนี้ไม่มีความโลภมากเลยหรือไง?
มิฉะนั้นเขาจะยังคงเฉยเมยเมื่อเจอหญิงสาวหน้าตาสะสวยที่หน้าประตูบ้านแบบนี้หรือ? แล้วยังหนีไปเฉย ๆ อีก?
ในเวลานี้ สาวเอเชียคนหนึ่งเดินไปหาซูซานและยื่นกล้องในมือให้พร้อมพูดว่า “ฉันถ่ายได้แค่รูปที่คุณแตะดอกไม้เท่านั้น ถ่ายภาพอื่นคงไม่มีประโยชน์ ฉันก็เลยไม่ได้ถ่ายอีก”
ซูซานยิ้มเผยยิ้มอย่างน่ากลัว “แค่นี้ก็พอแล้ว!”
ถ้าแย่งมาไม่ได้ ก็แค่ทำลายมันซะ
หล่อนต้องการสร้างความยุ่งยากด้วยรูปถ่ายพวกนี้และทำลายความสัมพันธ์ระหว่างนายน้อยกับคุณหนู คงจะดีไม่น้อยหากทั้งคู่หย่าร้างกันไปเลย!
ทันทีที่ฟางจั๋วหรานเดินเข้ามาในห้องนั่งเล่น ทั้งครอบครัวก็มองเขาที่หอบหิ้วดอกไม้และผลไม้เข้ามา
คุณย่าฟางเป็นคนแรกที่ถามขึ้น “หลานหางานได้แล้วหรือ?”
“ผมเพิ่งได้งานเมื่อวานนี้ครับ และวันนี้ผมไปทำงานเป็นวันแรก” ฟางจั๋วหรานมองหลินม่ายด้วยรอยยิ้ม
หลินม่ายวางมือบนสะโพกและพูดด้วยความโกรธ “แล้วเมื่อวานคุณบอกว่า คุณจะกลับมากินข้าวที่บ้าน!”
ฟางจั๋วหรานพูดอย่างบริสุทธิ์ใจ “เมื่อวานผมไม่ได้ไปทำงาน ก็เลยมีวันว่างไม่ถูกหรือ?”
เขามอบผลไม้และดอกลิลลี่ที่ซื้อมาแก่หลินม่าย นี่เป็นเรื่องน่าแปลกใจเล็กน้อยที่เขาเตรียมไว้ให้เธอ
หลินม่ายรับมันมาและหอมแก้มของเขา “ขอบคุณค่ะ!”
เสี่ยวมู่ตงต้องการหอมแก้มฟางจั๋วหรานเช่นกัน แต่ด้วยส่วนสูงที่ต่างกันมาก เขาทำได้เพียงจับต้นขาของคุณพ่อและจูบ ซึ่งเป็นภาพฉากที่ทำให้ทุกคนหัวเราะ
เพื่อเป็นการเฉลิมฉลองการได้งานของฟางจั๋วหราน หลินม่ายจึงลงมือปรุงอาหารมากมายสำหรับมื้อเย็น
แม้ว่าไม่จำเป็นต้องรอให้เขาหาเงินมาเลี้ยงดูครอบครัว แต่ทุกคนรู้ดีว่าฟางจั๋วหรานรักในสายงานนี้มาก เขายอมว่างงานเป็นระยะเวลาสั้น ๆ แต่มันจะเจ็บปวดอย่างมากหากเขาต้องว่างงานนาน!
ที่โต๊ะอาหารเย็น หลินม่ายและคนอื่น ๆ ถามฟางจั๋วหรานด้วยความกังวลว่า เขาจะปรับตัวเข้ากับงานใหม่ได้หรือไม่
ฟางจั๋วหรานพยักหน้า “ปรับตัวได้สิ”
………………………………………………………………………………………………………………………….
สารจากผู้แปล
ดอกท้อเน่าดอกแรกยังดีที่ถอย แต่ดอกที่สองนี่น่าโกยทิ้งขยะมาก
ไหหม่า(海馬)