แม่ปากร้ายยุค 80 - ตอนที่ 1077 การตอบโต้ของเสี่ยวเหวิน
ตอนที่ 1077 การตอบโต้ของเสี่ยวเหวิน
ตอนที่ 1077 การตอบโต้ของเสี่ยวเหวิน
หลังอาหารกลางวัน ฟางจั๋วหรานเข้าหาหลินม่ายและถามว่า “ภรรยา คุณไล่ซูซานออกเพราะผมหรือเปล่า?”
หลินม่ายส่ายหัวอย่างจริงใจ “ไม่ค่ะ นั่นเพื่อตัวฉันเอง ฉันไม่อาจเก็บตัวปัญหาที่วางแผนร้ายกับคนของฉันไว้ที่บ้านได้”
ฟางจั๋วหรานกล่าว “ผมไม่ปล่อยให้หล่อนมีอิทธิพลต่อความคิดของผมหรอก”
หลินม่ายใช้ศีรษะกระแทกแขนของเขา “ฉันเชื่อคุณค่ะ”
ฟางจั๋วหรานยิ้มพลางลูบศีรษะของเธอ
วันนี้เป็นวันแรกที่เสี่ยวเหวินและเสี่ยวตงตงไปโรงเรียนในสหรัฐอเมริกา
หากไม่มีเสี่ยวตงตงที่บ้าน ทั้งครอบครัวก็รู้สึกว่าชีวิตประจำวันเป็นเรื่องยากลำบากมาก
โดยเฉพาะพี่เลี้ยงทั้งสอง คุณปู่ฟางและคุณย่าฟาง หลังจากผ่านเวลาเที่ยงวัน พวกเขาจ้องมองนาฬิกาโบราณสวิสเรือนใหญ่ในห้องนั่งเล่น ราวกับว่าพวกเขาเฝ้ารอมาเนิ่นนานหลายปี
ก่อนที่จะมาสหรัฐอเมริกา เสี่ยวตงตงวิ่งเล่นอยู่ตรงหน้าพวกเขาเกือบตลอดทั้งวัน เสียงอ้อแอ้น่าทะนุถนอมของเขาดังก้องอยู่ในหูของทุกคน
ตอนนี้พวกเขามองไม่เห็นหนูน้อยและเสียงอ้อแอ้ของเขา ทุกคนต่างก็รู้สึกอึดอัดมาก
ในช่วงบ่าย เมื่อหลินม่ายและฟางจั๋วหรานไปโรงเรียนสอนขับรถเพื่อเรียนขับรถ พวกเขาได้ยินคุณปู่ฟางและคุณย่าฟางพูดกับตัวเอง
“เฮ้อ หนูน้อยของเราจะโดนแกล้งในโรงเรียนอนุบาลหรือเปล่านะ?”
“มื้อเที่ยงนี้เสี่ยวตงตงจะกินอิ่มหรือเปล่า?”
“เสี่ยวตงตงพูดและฟังภาษาอังกฤษไม่ได้ แล้วเขาจะเล่นกับเด็กคนอื่นอย่างไร?”
พี่เลี้ยงทั้งสองได้ยินแบบนั้นก็ดูกังวลใจ
หลินม่ายกังวลเกี่ยวกับตงตงเช่นกัน แต่เธอยังคงยิ้มและปลอบใจทุกคน
เด็กเล็กสามารถปรับตัวได้ดี และยังสามารถเล่นด้วยกันได้ แม้ว่าพวกเขาจะไม่เข้าใจภาษาก็ตาม
นอกจากนี้ เมื่อทั้งครอบครัวตัดสินใจมาที่สหรัฐอเมริกา เธอและฟางจั๋วหรานได้สอนภาษาอังกฤษให้กับเสี่ยวตงตงแล้ว ดังนั้นเขาควรจะสามารถเข้าใจคำศัพท์ได้บ้างสองถึงสามคำ
สรุปแล้วเธอบอกพวกเขาว่าไม่ต้องกังวล เด็กที่ถูกตามใจมากเกินไปจะไม่ประสบความสำเร็จมากนักในอนาคต
คุณปู่ฟางและคุณย่าฟางรู้ว่าคำพูดของหลินม่ายสมเหตุสมผล แต่พวกเขาอดไม่ได้ที่จะกังวล
ในโรงเรียนอนุบาลในสหรัฐอเมริกา เด็กโตสามารถนั่งรถโรงเรียนกลับบ้านได้ และผู้ปกครองก็รออยู่ที่ประตูเท่านั้น
แน่นอนว่าผู้ปกครองก็สามารถไปรับพวกเขาที่โรงเรียนได้เช่นกัน
แม้ว่าเสี่ยวตงตงจะมีอายุน้อยกว่าสามขวบ แต่เพื่อฝึกฝนความเป็นอิสระของเขา หลินม่ายและสามีจึงปล่อยให้เขาขึ้นรถโรงเรียนกลับบ้าน
รถโรงเรียนออกจากโรงเรียนอนุบาลทุกวันตอนห้าโมงเย็น และมาถึงหน้าประตูบ้านหลินม่ายเวลาประมาณห้าโมงครึ่ง
ครูใหญ่แจ้งให้ผู้ปกครองรอที่ริมถนนหน้าหน้าบ้านล่วงหน้าไม่กี่นาที
เมื่อมาถึงตอนห้าโมงเย็น คุณปู่ฟางและคุณย่าฟางต่างก็ตื่นเต้น พวกเขาอยากจะรอเสี่ยวตงตงที่ริมถนนหน้าบ้าน ก่อนที่พี่เลี้ยงเด็ก 2 คนและสุนัขหมาป่า 2 ตัวตามไปติด ๆ
หลินม่ายและฟางจั๋วหรานไม่สามารถหยุดพวกเขาได้ ดังนั้นจึงต้องสั่งให้พี่เลี้ยงทั้งสองเอาครอบปากสุนัขหมาป่าตัวใหญ่สองตัวและใส่สายจูง
สหรัฐอเมริกามีการจัดการสุนัขเลี้ยงอย่างเข้มงวดมาก หากสุนัขไม่ได้ครอบปากและใส่สายจูงเมื่อออกไปข้างนอก สุนัขที่เลี้ยงและเจ้าของจะถูกตำรวจพาตัวไป
หากสุนัขเลี้ยงมีปัญหา เจ้าของอาจต้องติดคุก
มันไม่เหมือนสิ่งที่หลินม่ายเห็นบนอินเทอร์เน็ตในชีวิตก่อน ในประเทศจีน เมื่อสุนัขกัดคน เจ้าของสุนัขส่วนใหญ่ไม่ต้องการจ่ายค่าชดเชยด้วยซ้ำ ไม่ต้องพูดถึงการรับผิดชอบทางกฎหมาย และทัศนคติของพวกเขาก็หยิ่งผยองมาก
แม้หลินม่ายจะไม่ต้องการยอมรับ แต่ตำรวจอเมริกันก็ทำหน้าที่ได้ดีในการจัดการสุนัขเลี้ยง ในขณะที่กฎหมายของจีนแทบไม่สนใจเรื่องนี้เลย
คุณปู่ฟาง คุณย่าฟาง และพี่เลี้ยงทั้งสอง รวมถึงอาหวงและหวางไฉยืนรอใต้แสงแดดในฤดูใบไม้ร่วงเป็นเวลาครึ่งชั่วโมงก่อนที่รถโรงเรียนจะมาถึง
หลินม่ายและสามีเดินออกมารับเสี่ยงตงตงไม่กี่นาทีก่อนที่รถโรงเรียนจะมาถึง
เสี่ยวตงตงแนบแก้มนุ่ม ๆ ของเขากับกระจกหน้าต่างรถ เมื่อเขาเห็นคุณปู่ฟางและคนอื่น ๆ เขาแสดงท่าทางดีใจมาก
คนขับเป็นลุงผิวดำผู้ใจดี เขาจับมือเสี่ยวมู่ตงลงจากรถโรงเรียน
หลังจากยืนยันตัวตนของหลินม่ายและสามีกับเสี่ยวมู่ตงแล้ว เขาจึงมอบหนูน้อยให้ทั้งสอง
ทั้งครอบครัวและเสี่ยวตงตงกล่าวขอบคุณลุงคนขับ จากนั้นพวกเขาเดินกลับเข้าบ้านโดยมีหนูน้อยเดินนำหน้า
หลังไม่เห็นนายน้อยของตัวเองทั้งวัน อาหวงและหวางไฉก็เดินตามเสี่ยวตงตงอย่างใกล้ชิดด้วยความตื่นเต้น
คุณปู่ฟาง คุณย่าฟาง และพี่เลี้ยงทั้งสองแทบรอไม่ไหวที่จะถามเขาว่า วันแรกของโรงเรียนอนุบาลเป็นอย่างไรบ้าง
หนูน้อยไม่มีปัญหาอะไรมาก แต่อุปสรรคทางภาษาทำให้เขาสับสนเล็กน้อย
เขาแทบจะไม่เข้าใจสิ่งที่เด็กคนอื่นพูด และเด็กคนอื่นก็ไม่เข้าใจสิ่งที่เข้าพูดเช่นกัน
ภาษาเป็นปัญหาใหญ่ ดังนั้นเสี่ยวตงตงจำเป็นต้องมีครูพิเศษมาสอนภาษาอังกฤษ
หลินม่ายมอบเรื่องนี้ให้ลุงฝู และขอให้เขาหาครูสอนภาษาอังกฤษให้กับเสี่ยวมู่ตง ซึ่งไม่เพียงต้องคอยเล่นกับเสี่ยวมู่ตงเท่านั้น แต่ยังต้องสอนภาษาอังกฤษให้เขาด้วย
หลินม่ายวางแผนจะโทรหาเสี่ยวเหวินหลังอาหารเย็นและถามเขาว่า เขารู้สึกอย่างไรในวันแรกที่มาเรียนที่สหรัฐอเมริกา
แม้ว่าเขาจะเป็นวัยรุ่น แต่เขาก็ยังถือว่าเด็กมาก เด็กวัยนี้ยังต้องการความรักและความเอาใจใส่
โดยไม่คาดคิด โทรศัพท์จากเสี่ยวเหวินกลับดังขึ้นก่อน
เขาบอกหลินม่ายทางโทรศัพท์ว่า เขาเข้ากับเพื่อนร่วมชั้นได้ดีและไม่มีปัญหาเรื่องการเรียน ซึ่งทำให้หลินม่ายและทุกคนวางใจ
นอกจากนี้เขายังถามเกี่ยวกับสถานการณ์ของเสี่ยวมู่ตงในโรงเรียนอนุบาลด้วยความเป็นห่วง และขอพูดคุยกับเสี่ยวมู่ตงทางโทรศัพท์ด้วย
หลินม่ายรู้สึกโล่งใจที่เห็นว่าเสี่ยวเหวินทำได้ดีในโรงเรียนใหม่
อีกด้านหนึ่งของโทรศัพท์ หลังจากเสี่ยวเหวินวางสายลง เด็กผู้ชายหลายคนในชั้นเรียนก็มารุมล้อมรอบตัวเขา เรียกเขาว่าลิงผิวเหลือง สรุปสั้น ๆ แล้วคือ เขากำลังถูกกลั่นแกล้ง
เสี่ยวเหวินไม่ได้สนใจเรื่องนี้มากนัก เขาไม่ใช่คนที่โกรธง่าย ซึ่งนิสัยนี้เหมือนกับหลินม่าย
หลินม่ายบอกว่า คนที่โกรธง่ายคือคนที่มีความฉลาดทางอารมณ์ต่ำ
ส่วนผู้ที่ติดตามความคิดเห็นของผู้อื่น ถูกผู้อื่นชี้นำ หรือไม่ชอบคำพูดและการกระทำของผู้อื่น พูดจาโผงผางโดยไม่คิด ล้วนมีความฉลาดทางอารมณ์ต่ำเช่นกัน
พวกที่ว่าก็คือนักเรียนที่อยู่ตรงหน้าเขาไม่ใช่หรือไง?
ในบรรดานักเรียนเจ็ดถึงแปดคน มีเพียงสองคนเท่านั้นที่มีความคิดแบ่งแยกเชื้อชาติ ส่วนคนอื่น ๆ แค่ถูกชักจูงให้รังแกเขาพร้อมกับคนโง่สองคนนั้น
น่าเหลือเชื่อ พวกเขาสามารถปลูกฝังความชั่วร้ายในเด็กคนอื่นด้วยการรังแกเขางั้นเหรอ?
เพื่อนร่วมชั้นหลายคนเห็นว่าเสี่ยวเหวินไม่โกรธกับการกระทำทารุณกรรมและความอัปยศอดสูเหล่านี้ หนึ่งในนั้นจึงเริ่มทวีความรุนแรงขึ้น
เสี่ยวเหวินทนไม่ไหวอีกต่อไป
อาหญิงบอกเขาอีกด้วยว่า ถ้าไม่อยากทนโดนรังแกก็อย่าทน
แม้ว่าเขาจะไม่ได้เตี้ยหรือผอมในหมู่วัยรุ่นเอเชียก็ตาม
แต่เมื่อเปรียบเทียบกับเด็กผู้ชายผิวขาวที่สูงใหญ่ด้วยการกินเนื้อวัว ส่วนสูงและพละกำลังของเสี่ยวเหวินจึงถือว่าเสียเปรียบ เด็กผู้ชายชาวเอเชียมีกล้ามเนื้อน้อยกว่าและเตี้ยกว่าเด็กผิวขาวมาก
แต่เสี่ยวเหวินมีความดื้อรั้นในตัว เว้นแต่อีกฝ่ายจะทุบตีเขาจนตาย เขาจะขอต่อสู้จนลมหายใจสุดท้าย
เสี่ยวเหวินตอบโต้เพื่อนร่วมชั้นผิวขาวที่เคลื่อนไหวเป็นคนแรกทันที
เพื่อนร่วมชั้นชกเสี่ยวเหวินลงกับพื้นด้วยหมัดหลายครั้ง
เสี่ยวเหวินไม่เคยเรียนมวยมาก่อน และต่อให้เขาเคยเรียน เขาก็คงไม่แข็งแกร่งเท่าเพื่อนร่วมชั้นผิวขาวคนนั้น
เขาจะไม่แข่งขันแบบเผชิญหน้ากับจุดแข็งของผู้อื่น และจะใช้กลยุทธ์ที่ชาญฉลาดแทน
เสี่ยวเหวินซึ่งถูกกระแทกลงพื้นใช้ประโยชน์จากสถานการณ์ดังกล่าวดึงเท้าของเพื่อนร่วมชั้นผิวขาวอย่างแรง กระทั่งเพื่อนร่วมชั้นผิวขาวสูญเสียจุดศูนย์ถ่วงและล้มลงกับพื้น
เสี่ยวเหวินขึ้นคร่อมเขาอย่างรวดเร็ว เหวี่ยงหมัดใส่ซ้ายทีขวาทีพร้อมคำรามเป็นภาษาอังกฤษ ‘ตีฉันอีกสิ ด่าทอฉันอีกสิ!’ เพื่อนร่วมชั้นผิวขาวคนนั้นไม่ทันระวังและกลายเป็นฝ่ายรับในการต่อสู้
เสี่ยวเหวินยังคงปฏิเสธที่จะยอมแพ้ ในขณะที่ทุบตี เขาถามอีกฝ่ายเป็นภาษาอังกฤษ “แกยังกล้ารังแกฉันอยู่หรือเปล่า?”
เมื่อเพื่อนร่วมชั้นอีกหลายคนเห็นแบบนั้น พวกเขารีบเข้ามาเตะและตีเสี่ยวเหวิน โดยพยายามให้เขาปล่อยเพื่อนร่วมชั้นชายผิวขาวคนนั้น
เสี่ยวเหวินจับผมของเด็กชายแน่นแล้วกระแทกหัวของเขาลงกับพื้นอย่างแรงที่สุดเท่าที่จะทำได้
เขาตะโกนเป็นภาษาอังกฤษว่า “ยิ่งพวกแกตีฉันเท่าไหร่ ฉันก็ยิ่งกระแทกหัวของมันลงพื้นแรงเท่านั้น เข้ามาสิ ตีฉันให้ตายไปเลย!”
ท้ายที่สุดแล้วพวกเขาทั้งหมดเป็นเด็กอายุ 12 ย่างเข้า 13 ปี เมื่อเห็นว่าเสี่ยวเหวินเผยท่าทางดุร้าย ส่วนเด็กชายที่ถูกจับหัวฟาดพื้นยังคงกรีดร้องไม่หยุดและขอให้คนอื่น ๆ หยุดตีเสี่ยวเหวิน ทุกคนจึงเริ่มถอยออกมา
เสี่ยวเหวินรอจนกระทั่งเด็กชายที่ถูกจับหัวฟาดพื้นร้องขอความเมตตาและสัญญาว่าพวกเขาทั้งหมดจะไม่รังแกเขาอีก จากนั้นเสี่ยวเหวินจึงปล่อยเขาไป
เด็กชายหลายคนมองดูแผ่นหลังตรงของเสี่ยวเหวินขณะที่เขาจากไป ขณะที่พวกเขาทั้งหมดล้วนรู้สึกหวาดกลัว
ลิงผิวเหลืองตัวนี้เป็นคนน่ากลัวมากจริง ๆ เมื่อครู่พวกเขารุมทุบตีอีกฝ่ายอย่างหนักจนเสี่ยวเหวินควรที่จะได้รับบาดเจ็บสาหัส แต่เขากลับเดินออกไปด้วยท่าทางที่ยังสบายดี
เสี่ยวเหวินเข้าไปในหอพักของเขาและปิดประตูลง ด้วยความเจ็บปวดในร่างกายทำให้เขาพิงประตูและค่อย ๆ ทรุดตัวนั่งลงกับพื้น
หลังอาหารเย็น หลินม่ายและทุกคนกำลังเล่นกับเสี่ยวมู่ตง
พวกเขาไม่รู้เลยว่า พายุขนาดย่อมกำลังก่อตัวขึ้น
…………………………………………………………………………………………………………………………
สารจากผู้แปล
อเมริกาก็กลั่นแกล้งในโรงเรียนกันโหดเหมือนกันนะเนี่ย
ไหหม่า(海馬)