แม่ปากร้ายยุค 80 - ตอนที่ 1076 ฟางจั๋วหรานมองหางานทำ
ตอนที่ 1076 ฟางจั๋วหรานมองหางานทำ
ตอนที่ 1076 ฟางจั๋วหรานมองหางานทำ
กว่าจะรู้ตัวก็เป็นวันสุดท้ายของเดือนสิงหาคมแล้ว
หลินม่ายและสามีพาเสี่ยวเหวินและเสี่ยวมู่ตงไปโรงเรียนเพื่อลงทะเบียน
คนกลุ่มหนึ่งลงทะเบียนให้เสี่ยวเหวินก่อน จากนั้นจึงเข้าไปเยี่ยมชมโรงเรียนและหอพัก
โรงเรียนประจำที่ลุงฝูติดต่อนั้นเป็นโรงเรียนระดับสูงที่มีสิ่งอำนวยความสะดวกดีมาก
หลังจากออกจากโรงเรียนของเสี่ยวเหวิน ครอบครัวทั้งสี่คนก็ไปโรงเรียนอนุบาลของเสี่ยวมู่ตง
ครูใหญ่เป็นผู้หญิงผิวขาววัยกลางคนร่างท้วมและมีรอยยิ้มที่เป็นมิตร เธอกอดเสี่ยวมู่ตงและชื่นชมความน่ารักของเขา
หลินม่ายกังวลว่าเสี่ยวมู่ตงจะไม่สามารถสื่อสารกับครูได้เมื่อเข้าเรียน เนื่องจากปัญหาทางภาษา
ครูใหญ่ยิ้มและบอกว่า หล่อนรู้ภาษาจีนและสามารถพูดคุยกับเสี่ยวมู่ตงได้ทุกวัน
หลินม่ายถอนหายใจด้วยความโล่งอก ลุงฝูทำงานได้ดีเยี่ยมและยังคำนึงถึงรายละเอียดเล็ก ๆ เช่นนี้ด้วย
ฟางจั๋วหรานกำลังมองหางานตั้งแต่เขามาถึงสหรัฐอเมริกา แต่เขาสมัครไปที่โรงพยาบาลหลายแห่งและถูกปฏิเสธ
ไม่ใช่เพราะเหตุผลอื่นใด แต่โรงพยาบาลหลายแห่งมองเขาด้วยอคติ
เมื่อคิดว่าจีนแผ่นดินใหญ่ล้าหลังเกินไป จึงคิดว่าฟางจั๋วหรานไม่สามารถใช้อุปกรณ์ทางการแพทย์ขั้นสูงเหล่านั้นอย่างแน่นอน
ก่อนที่ฟางจั๋วหรานจะถูกย้ายไปยังโรงพยาบาลโหย่วเหอ เข้ามักเข้าร่วมในการแลกเปลี่ยนทางวิชาการทั่วโลก และรู้วิธีใช้เครื่องมือขั้นสูงมากมาย
แม้ว่าเขาจะอธิบายไปแล้ว แต่ไม่มีโรงพยาบาลไหนที่ให้โอกาสเขาลองใช้เครื่องมือขั้นสูงเหล่านั้น
ในตอนเช้าของวันที่ 1 กันยายน ฟางจั๋วหรานส่งลูกชายทั้งสองคนไปโรงเรียนและออกไปหางานทำ
เขาอายุสามสิบแล้ว เป็นผู้ใหญ่และมีความมั่นคง เขาไม่สามารถยอมแพ้ต่อการถูกปฏิเสธไม่กี่ครั้ง
ขณะที่ฟางจั๋วหรานกำลังยุ่งอยู่กับการหางาน หลินม่ายไม่ได้มีเวลาว่างเช่นกัน เธอตื่นนอนหลังเจ็ดโมงเช้าและกินแพนเค้กที่ฟางจั๋วหรานทำในตอนเช้า ดื่มนมถั่วเหลือง แล้วเดินทางไปยังบริษัทด้วยรถมายบัค
เนื่องจากหัวหน้าแผนกกัวเสียชีวิต หลินม่ายจึงขอให้หัวหน้าแผนกฝ่ายการเงินที่ได้รับการแต่งตั้งขึ้นใหม่ตรวจสอบบัญชีต่อไป
ทว่าการตรวจสอบนี้มีขอบเขตจำกัด จึงตรวจสอบเฉพาะหนังสือที่โรสไม่ได้ลงนามเท่านั้น
ดังนั้นหลังจากตรวจสอบบัญชีได้เพียงไม่กี่วัน หัวหน้าแผนกฝ่ายการเงินคนใหม่ก็พบว่าหลี่ตงซินยักยอกเงินมากกว่า 30 ล้านดอลลาร์สหรัฐจากกองทุนสาธารณะ
หลินม่ายส่งหลักฐานว่าหลี่ตงซินยักยอกเงินสาธารณะไปที่สถานีตำรวจ
ไม่เพียงเพิ่มหลักฐานใหม่ในการฆาตกรรมหลี่อี้หนานและผู้เสียชีวิตอีกหลายคน แต่ยังเพิ่มข้อหายักยอกเงินบริษัทเพื่อลากตัวหลี่ตงซินเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมอีกด้วย
แม้ว่าหลี่ตงซินจะหนีไปแล้ว แต่เขายังต้องถูกตั้งข้อหาก่ออาชญากรรม ก่อนที่ตำรวจจะจับกุมตัวและนำเขาเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมได้
30 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หลี่ตงซินใช้เวลาเพียงครึ่งปีในการยักยอกเงินจำนวนมากขนาดนี้ แต่ผู้บริหารระดับสูงกลับไม่รู้เรื่องราวอะไร นี่มันค่อนข้างไม่สมเหตุสมผลเลย
วันนี้หลินม่ายไปที่บริษัทเพื่อให้ทุกคนรับผิดชอบ ใครก็ตามที่ไม่ยอมดำเนินการใด ๆ จะถูกเธอลงโทษ
การประชุมรับผิดชอบดำเนินไปนานกว่าสองชั่วโมง ผู้ที่สมควรถูกไล่ออกก็ถูกเธอไล่ออก และผู้ที่สมควรถูกลดตำแหน่งก็ถูกเธอลดตำแหน่ง จากนั้นหลินม่ายจึงเดินทางกลับบ้าน
…
ฟางจั๋วหรานเดินทางไปยังโรงพยาบาลเอกชนตามข้อมูลการรับสมัครในหนังสือพิมพ์
ขณะที่ฟางจั๋วหรานกำลังจะจากไป ผู้หญิงเอเชียหน้าตาดีในเสื้อกาวน์สีขาวก็เดินเข้ามา
หล่อนเข้ามาเพื่อพูดคุยกับผู้อำนวยการ เมื่อเห็นฟางจั๋วหราน ดวงตาของหล่อนก็เป็นประกาย และถามผู้อำนวยการด้วยภาษาอังกฤษคล่องปรื๋อ “สุภาพบุรุษคนนี้มาที่นี่เพื่อสมัครงานหรือคะ?”
ผู้อำนวยการพยักหน้ารับ “ใช่ครับ แต่เขามาจากประเทศที่ล้าหลังอย่างจีน ผมจึงไม่ต้องการจ้างเขา”
แพทย์หญิงหันกลับมาและถามฟางจั๋วหรานว่าเขาเป็นแพทย์แผนกไหนในประเทศจีน
ฟางจั๋วหรานตอบ “ศัลยแพทย์ครับ”
“คุณเคยสอบ USMLE (1)ไหมคะ ถ้าคุณไม่เคยสอบ เราจะว่าจ้างคุณไม่ได้”
“ผมมาสหรัฐอเมริกาเพื่อแลกเปลี่ยนทางวิชาการเมื่อสี่ปีที่แล้ว ผมเคยสอบฟรีและผ่านการทดสอบ”
ขณะที่ฟางจั๋วหรานพูด เขาหยิบใบอนุญาต USMLE ออกมาจากกระเป๋าเงินและแสดงให้แพทย์หญิงดู
แพทย์หญิงพิจารณาดูอย่างระมัดระวังแล้วส่งคืนให้เขา จากนั้นเธอก็บอกกับผู้อำนวยการว่า “กรุณาว่าจ้างคุณฟางไว้ด้วยค่ะ แผนกฉุกเฉินของเรามีคนน้อยเกินไป ฉันมาที่นี่ก็เพื่อจะบอกคุณเกี่ยวกับเรื่องนี้เช่นกัน”
ผู้อำนวยการยักไหล่และยอมเห็นด้วย “แม้ว่าพ่อของคุณจะถือหุ้นจำนวนมากในโรงพยาบาลแห่งนี้ แต่ผมก็ต้องบอกว่า หากคุณฟางไม่ผ่านคุณสมบัติสำหรับงานนี้ ผมยังคงต้องขอให้เขาออกไป”
แพทย์หญิงพยักหน้า “ตกลงค่ะ” จากนั้นจึงขอให้ฟางจั๋วหรานตามเธอไป
หลังจากออกจากห้องทำงานของผู้อำนวยการ เธอแนะนำตัวเองว่า “ฉันชื่อโคอิซึมิ คานาโกะ เป็นแพทย์ในแผนกฉุกเฉิน ต่อจากนี้เราจะกลายเป็นเพื่อนร่วมงานกัน”
ขณะที่พูด หล่อนก็ยื่นมือออกไปตรงหน้าฟางจั๋วหรานอย่างเป็นกันเอง ฟางจั๋วหรานจึงจับมือของหล่อนอย่างไม่เห็นแก่ตัวเช่นกัน
โคอิซึมิ คานาโกะพาฟางจั๋วหรานทำความคุ้นเคยกับสภาพแวดล้อมการทำงาน จากนั้นจึงขอให้เขากลับบ้านก่อน และมาทำงานอย่างเป็นทางการในวันพรุ่งนี้
เมื่อฟางจั๋วหรานกลับบ้าน หลินม่ายกำลังทำอาหารกลางวันในครัว ทันทีที่เห็นเขา เธออยากถามเขาว่าได้งานแล้วหรือยัง
แต่เธอเพิ่งถามเขาไปเมื่อวาน การถามเขาอีกครั้งอาจเป็นการกดดันเขาเกินไป เธอจึงไม่ถามเขา
แต่ฟางจั๋วหรานกลับริเริ่มบอกเธอก่อนว่า วันนี้เขาจะมีเวลาว่างอีกหนึ่งวัน
หลินม่ายจึงกล้าถามเขา “ไม่ใช่คุณว่างอยู่แล้วหรือคะ? คุณเป็นคนออกค่าใช้จ่ายทั้งหมดในครอบครัวไม่ใช่หรือ?”
“มันมาจากป้าของผมที่เสียชีวิตไปแล้ว และไม่เกี่ยวข้องกับผมเลย” ฟางจั๋วหรานแก้ไขความเข้าใจผิด
หลินม่ายพูดว่า “แม้ว่าคุณจะไม่มีเงินและไม่มีงานทำจนต้องอยู่บ้านเฉย ๆ แต่ฉันก็ไม่รังเกียจค่ะ ฉันจะดูแลคุณเอง!”
เธอกล่าวเสริมอีกว่า “ฉันมีความสามารถพอจะเลี้ยงดูคุณได้ทั้งชีวิต”
คำบอกรักที่สวยงามที่สุดในโลกคืออะไร มันคือ “ฉันจะดูแลคุณ” นั่นเอง
ทันใดนั้นดวงตาของฟางจั๋วหรานก็ถูกปกคลุมด้วยหมอกจาง
เขาโอบกอดหลินม่ายจากด้านหลังพลางกระซิบข้างหู “คุณใจดีจังเลย~”
ทั้งสองคนกำลังพลอดรักกันอย่างหวานซึ้ง สาวใช้คนหนึ่งเข้ามายืนที่ประตูและพูดว่า “คุณหนูคะ ผู้อาวุโสหลายคนในบริษัทต้องการพบคุณค่ะ”
ฟางจั๋วหรานหยิบไม้พายจากมือของหลินม่ายและพูดว่า “ผมจะทำอาหารแทนเอง คุณออกไปพบแขกเถอะ”
หลินม่ายปล่อยไม้พายในมือ จากนั้นถอดผ้ากันเปื้อนออกและสวมให้เขา แล้วจึงเดินออกจากห้องครัว
สาวใช้เข้ามาถามด้วยความเขินอาย “นายน้อย มีอะไรให้ดิฉันช่วยไหมคะ?”
ฟางจั๋วหรานเห็นดวงตาของสาวใช้ที่กลายเป็นสีชมพู เขาพูดอย่างเย็นชาว่า “ไม่มี”
แต่สาวใช้ปฏิเสธที่จะออกไป “นายน้อย สายรัดผ้ากันเปื้อนของคุณไม่ได้ผูกอย่างถูกต้อง เดี๋ยวดิฉันผูกให้เองค่ะ” หลังจากนั้นหล่อนเดินเข้ามาผูกสายรัดด้านหลังของฟางจั๋วหราน
ดวงตาฟางจั๋วหรานแปรเปลี่ยนเป็นเย็นชา “ออกไป!”
สาวใช้ตัวสั่นด้วยความหวาดกลัว หล่อนหันหลังกลับและวิ่งออกไป เมื่อมาถึงประตูห้องครัว หล่อนอดไม่ได้ที่จะหันกลับไปมองแผ่นหลังกว้างของฟางจั๋วหราน นายน้อยหนุ่มคนนี้หล่อเหลามาก
หลินม่ายเพิ่งทักทายเหล่าผู้อาวุโสเสร็จ เธอเห็นสาวใช้วิ่งออกจากห้องครัวอย่างเร่งรีบ
หลินม่ายหยุดหล่อนไว้ หลังจากทักทายผู้อาวุโสเหล่านั้น หลินม่ายจึงขอให้เธอไปชงชาให้สักสองถึงสามถ้วย
สาวใช้ชงชาแล้วยกไปเสิร์ฟ จากนั้นหลินม่ายจึงขอให้เธอออกไป
เธอยิ้มและเชิญผู้อาวุโสหลายคนดื่มชา แล้วจึงถามว่าพวกเขาต้องการอะไรจากเธอ
ผู้อาวุโสหลายคนแนะนำตัวว่า พวกเขาทั้งหมดคือญาติผู้ใหญ่ของผู้บริหารเจ็ดถึงแปดคนที่ถูกหลินม่ายไล่ออกเมื่อเช้านี้
พวกเขามาเพื่อขอร้องแทนลูกหลานที่ถูกไล่ออก พวกเขาหวังว่าหลินม่ายจะให้อภัยและปล่อยให้พวกเขาทำงานในบริษัทต่อไป โดยเห็นแก่การอุทิศตนเพื่อบริษัทของพวกเขา
ผู้เฒ่าคนหนึ่งหลั่งน้ำตาและพูดว่า “คุณผู้หญิง ผู้บริหารที่คุณไล่ออกล้วนเกิดและตายไปพร้อมกับนายจ้างคนเก่า หลังจากที่พวกเขาเป็นวีรบุรุษที่เปิดอาณาจักรธุรกิจในสหรัฐอเมริกา คุณควรเรียกพวกเขาว่าลุงหรือพี่ชายด้วยซ้ำ คุณไล่พวกเขาออกอย่างง่ายดาย แล้วป้าของคุณจะคิดอย่างไร? วีรบุรุษเหล่านั้นจะคิดอย่างไร? นี่ไม่ต่างจากการได้รับผลประโยชน์แล้วถีบหัวส่งเลยไม่ใช่เหรอ?”
ผู้เฒ่าคนอื่น ๆ เริ่มกล่าวหาหลินม่ายเช่นกัน
ท้ายที่สุดแล้ว พวกเขาเป็นทหารผ่านศึกที่สร้างโชคลาภแก่เจ้านาย พวกเขาปฏิเสธที่จะยอมรับและโกรธเคืองอย่างมาก ดังนั้นหลินม่ายในฐานะผู้บริหารสูงสุดจึงไม่กล้าถอยกลับ
หลินม่ายถามด้วยรอยยิ้ม “คุณไม่ได้พาครอบครัวของคุณมาสหรัฐอเมริกากับป้าของฉันเพราะสงครามกลางเมืองหรอกหรือคะ? ถ้าไม่ใช่เพราะคุณป้าของฉันทำงานหนัก คุณและญาติ ๆ ของคุณจะอยู่รอดในอเมริกาได้ไหม?”
“…” ผู้เฒ่าทุกคนต่างพูดไม่ออกกับคำถามนี้
เวลานั้นคุณป้าและสามีกำลังจะเดินทางไปสหรัฐอเมริกา พวกเขาไม่มีความตั้งใจที่จะพาใครมาด้วย
ในสหรัฐอเมริกา ไม่ใช่ว่าพวกเขาไม่สามารถหาคนจีนในท้องถิ่นมาทำงานให้บริษัทได้
แต่ในขณะนั้นสงครามได้ปะทุขึ้นทุกหนทุกแห่งในประเทศจีน เพื่อความอยู่รอด พวกเขาเสนอตัวเดินทางไปสหรัฐอเมริกากับเจ้านายของตน
เมื่อพวกเขามาถึงสหรัฐอเมริกา พวกเขาภักดีต่อนายจ้าง เพราะนายจ้างไม่เคยทอดทิ้งพวกเขา
เพื่อที่จะพาพวกเขาและครอบครัวมาสหรัฐอเมริกา เจ้านายจึงใช้ทองคำแท่งทั้งกล่อง
หากไม่มีเจ้านาย พวกเขาอาจยังคงอยู่ในประเทศจีนที่มีปืนใหญ่ยิงอยู่ทุกหนทุกแห่ง และอาจไม่มีชีวิตรอดจนถึงตอนนี้
นับตั้งแต่เจ้านายและสามีของนางเสียชีวิต พวกเขาบริหารบริษัทแทนเจ้านายมาเกือบเจ็ดปี เมื่อเวลาผ่านไป พวกเขาจึงถือว่าตัวเองเป็นวีรบุรุษ
เว้นแต่หลินม่ายจะกล่าวถึง พวกเขาคงลืมความมีน้ำใจของเจ้านายไปแล้ว
หลินม่ายถาม “พวกคุณอยากให้ลูกหลานทำงานในบริษัทต่อใช่ไหมคะ?”
ผู้เฒ่าเหล่านั้นไม่กล้าหยิ่งผยองเหมือนก่อนหน้าอีกต่อไป “คงจะดีที่สุดหากคุณหนูให้โอกาสพวกเขา ผู้เฒ่าอย่างเราคงจะรู้สึกขอบคุณมาก~”
หลินม่ายถามว่า “เอาล่ะ ให้พวกเขาเริ่มจากพนักงานก่อนแล้วกัน”
ผู้เฒ่าหลายคนตกใจ พวกเขาไม่คิดว่า… มันจะเป็นแบบนี้…
ผู้เฒ่าคนหนึ่งพูดด้วยความโกรธ “คุณหนู นี่มันดูถูกกันเกินไปแล้ว!” จากนั้นเขาลุกขึ้นยืนและหันหลังเดินจากไป
คนอื่น ๆ ทำตามเขา
หลินม่ายส่งพวกเขาออกไปด้วยความเคารพ โดยคิดกับตัวเองว่าอย่างไรก็ตามเธอได้ทำตามคำขอของพวกเขาแล้ว หากพวกเขาปฏิเสธ นั่นก็เรื่องของพวกเขา และไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับเธอ
ลุงฝูส่งผู้อาวุโสหลายคนออกไปและเดินกลับมา หลินม่ายขอให้เขาไล่ซูซานออกไป
ซูซานเป็นสาวใช้ที่ต้องการผูกเชือกผ้ากันเปื้อนของฟางจั๋วหรานเมื่อครู่
ลุงฝูตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่ง และถามว่าทำไมถึงต้องไล่เธอออก เพราะผู้หญิงคนนั้นมักทำงานอย่างขะมักเขม้น
หลินม่ายพูดคำเบา “ฉันไม่ชอบหล่อน”
ลุงฝูถอนหายใจ ในเมื่อคุณหนูไม่ชอบ เขาก็ทำอะไรไม่ได้
ซูซานนั่งอยู่ในห้องนั่งเล่นของคนรับใช้ โดยกำลังคิดว่าจะเกลี้ยกล่อมนายน้อยและใกล้ชิดเขาได้อย่างไร
นายน้อยหน้าตาหล่อเหลามาก แม้จะไม่ได้สนใจเรื่องเงินของเขา แต่เพียงแค่บริษัทภายใต้ชื่อของเขาก็คุ้มค่ามากแล้ว
แต่ก่อนที่จะได้ฝันหวานถึงอนาคตอันห่างไกล ลุงฝูก็ขอให้หล่อนเก็บข้าวของเพื่อออกจากบ้านนี้และมอบค่าจ้างเดือนนี้ให้หล่อน
ซูซานถามด้วยความตกใจ “ทำไมถึงไล่ฉันออกล่ะคะ?”
ลุงฝูแบมือออก “ใครบอกเธอให้สร้างความขุ่นเคืองกับคุณหนูล่ะ”
ซูซานกัดริมฝีปากแล้วพูดว่า “ฉันจะไปคุยกับคุณหนูเพื่อเรียกร้องความยุติธรรม!”
หล่อนจะไม่ยอมถูกไล่ออกโดยไร้เหตุผลเช่นนี้
ลุงฝูอยากหยุดหล่อนไว้ แต่สุดท้ายก็ไม่ได้ทำ
ซูซานวิ่งไปหาหลินม่ายและถามหาเหตุผลที่ไล่หล่อนออก
หลินม่ายกำลังอ่านหนังสือพิมพ์ ได้ยินเช่นนั้นเธอจึงวางหนังสือพิมพ์ลงและถามว่า “คุณคิดว่าอย่างไรล่ะ? อย่าคิดว่าฉันไม่รู้ไม่เห็นสิ่งใดเลย ฉะนั้น อย่ามาเสแสร้งกล่าวหาว่าฉันไม่ยุติธรรม ตอนนี้ฉันไล่คุณออกอย่างสุภาพ และขอให้คุณจากไปอย่างสง่างาม อย่าขอให้ฉันต้องหาเหตุผลนับพันมาไล่คุณออกเลย แล้วคุณจะหนักใจ”
ใบหน้าของซูซานค่อย ๆ ซีดลง หล่อนเก็บข้าวของและจากไปโดยไม่พูดอะไรสักคำ
หลังจากนั้นไม่นาน คุณปู่ฟาง คุณย่าฟาง และพี่เลี้ยงทั้งสองที่ไปปลูกผักในสวนหลังบ้านกลับมาทานอาหารกลางวัน
ฟางจั๋วหรานทำอาหารสี่จานและซุปหนึ่งถ้วย ทุกคนล้างมือและนั่งลงรับประทานอาหาร
ระหว่างมื้ออาหาร หลินม่ายบอกทุกคนว่าเธอได้ไล่ซูซานออกแล้ว
คุณปู่ฟางและคุณย่าฟางเพียงพยักหน้ารับโดยไม่ถามอะไร
ม่ายจื่อไม่เคยไล่ใครออกง่าย ๆ ซูซานคงทำอะไรบางอย่างที่ร้ายแรงจนเธอไม่ต้องการทน
คู่สามีภรรยาสูงอายุมองไปฟางจั๋วหรานเป็นตาเดียว
ฟางจั๋วหรานมองกลับด้วยดวงตาใสซื่อ เขาไม่ได้ทำอะไรผิด เขายังคงรักษาความซื่อสัตย์ต่อภรรยา เช่นนั้นอย่ามองเขาด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความสงสัยแบบนั้นได้ไหม?
…………………………………. ………………………………………………………………………………..
USMLE หรือ The United States Medical Licensing Examination ที่หลายคนเรียกสั้นๆ ว่า “ยูสไมล์” คือการสอบเพื่อให้ได้ใบประกอบโรคศิลป์ที่จะทำงานในประเทศสหรัฐอเมริกา
สารจากผู้แปล
พี่หมอก็ใช่ย่อยนะ ทันทีที่มาที่นี่ก็มีคนหมายตาเลย
ไหหม่า(海馬)