แม่ปากร้ายยุค 80 - ตอนที่ 1073 จั๋วหรานมาถึงแล้ว
ตอนที่ 1073 จั๋วหรานมาถึงแล้ว
ตอนที่ 1073 จั๋วหรานมาถึงแล้ว
หลินม่ายมางานศพพร้อมกับนักข่าวห้าถึงหกคนจากหนังสือพิมพ์รายใหญ่ เธอมาเพื่อบอกความตั้งใจให้แก่ป้าหลี่และหลี่หย่าจวินซึ่งเป็นลูกสาวของหลี่อี้หนาน
แม่และลูกสาวตกใจมากจนอ้าปากค้างเกือบถึงพื้น
ป้าหลี่พูดด้วยความไม่เชื่อ “มันจะเป็นการฆาตกรรมได้ยังไง ฉันอยู่กับลุงหลี่ตลอดเวลา และไม่เคยเห็นใครทำร้ายเขาเลย”
เวลานี้หลี่ตงซินก็อยู่ด้วย เขาพูดด้วยสีหน้างุนงง “ผมบอกคุณแล้วว่าลุงของผมเสียชีวิตเนื่องจากอาการป่วยกำเริบกะทันหัน แล้วทำไมคุณถึงสงสัยว่าลุงของผมถูกฆาตกรรม พูดอะไรเพ้อเจ้อไร้สาระ!”
“จริงเหรอ?” หลินม่ายมองเขาพลางหัวเราะเบา ๆ รอยยิ้มแฝงไปด้วยความนัยบางอย่าง “คุณกลัวการชันสูตรพลิกศพขนาดนั้นเลยเหรอคะ?”
หลี่ตงซินเกาหัวและพูดว่า “ใครกลัวการชันสูตรพลิกศพกัน ติดตรงมันต้องมีการผ่าลำไส้และกระเพาะอาหารต่างหาก การชันสูตรพลิกศพที่ไม่จำเป็นไม่ต่างจากการไม่เคารพผู้ตายเลยนะ”
เขาหันไปหาป้าหลี่เพื่อขอความช่วยเหลือ “คุณป้า ผมพูดถูกใช่ไหม?”
ป้าหลี่พยักหน้าอย่างลังเล “ใช่จ้ะ”
ชาวจีนมีความเชื่อเรื่องโชคลางอย่างมากเกี่ยวกับการตรวจชันสูตรพลิกศพผู้เสียชีวิต
หลินม่ายหัวเราะอีกครั้ง “นักข่าวคนหนึ่งไปพบแพทย์นิติเวชที่มีชื่อเสียงให้ฉันระหว่างทาง แพทย์นิติเวชชื่อดังบอกเราว่าหากมีผู้เสียชีวิตจากพิษ ส่วนประกอบของสารพิษสามารถตรวจพบได้จากเลือดและปัสสาวะของผู้ตาย ไม่จำเป็นต้องผ่าชันสูตรร่างกายหรอกค่ะ”
การแสดงออกของหลี่ตงซินแข็งค้างไปชั่วขณะ
หลี่หย่าจวินมองหลินม่าย จากนั้นเหลือบมองหลี่ตงซิน ก่อนหันไปพูดกับแม่ว่า “เราทำตามคำแนะนำของม่ายจื่อและปล่อยให้ตำรวจทำการชันสูตรศพกันเถอะค่ะ จะเป็นอย่างไรหากพ่อถูกฆ่าจริง ๆ เราไม่อาจปล่อยให้คุณพ่อจากไปอย่างไม่ยุติธรรมได้นะคะ หากเขาเสียชีวิตด้วยอาการป่วยกะทันหัน และการชันสูตรพลิกศพไม่ทำให้ร่างกายพ่อเสียหาย คุณพ่อจะไม่ตำหนิเรา และเราเองจะได้สบายใจด้วย”
ป้าหลี่รู้สึกว่าสิ่งที่ลูกสาวพูดมานั้นสมเหตุสมผล หล่อนจึงพยักหน้าเห็นด้วย
แววตื่นตระหนกฉายผ่านดวงตาของหลี่ตงซิน
หลินม่ายแสร้งทำเป็นถามหลี่หย่าจวินว่า “ก่อนที่ฉันจะมา เธอกับพี่ตงซินคุยอะไรกันอยู่เหรอ? ทำไมถึงพูดคุยกันอย่างกระตือรือร้นขนาดนั้นล่ะ?”
ป้าหลี่กล่าว “ตงซินบอกว่าเขาได้ไปปรึกษากับหมอดูมา วันนี้เวลา 0.00 น. เป็นฤกษ์ดีที่จะเผาศพ เขาต้องการให้เผาศพลุงของเขาในคืนนี้ แต่ฉันไม่เห็นด้วย หย่าจวินกับป้าเลยตกลงกันว่าจะรอจนกว่าจั๋วจั๋วจะมาก่อน จึงจะจัดงานศพ เราต้องรักษาคำพูดของเรา”
หลังจากได้ยินสิ่งนี้ หลินม่ายเหลือบมองหลี่ตงซินหลายครั้งพลางครุ่นคิด
หลี่ตงซินรู้สึกหวาดกลัวเมื่อเห็นสายตาของอีกฝ่าย
จากนั้น หลินม่ายพานักข่าวไปยังบ้านพักของแม่บ้านที่เสียชีวิต และโน้มน้าวขอให้ญาติของหล่อนอนุญาตทำการชันสูตรพลิกศพ
หลี่ตงซินมองแผ่นหลังของหลินม่าย ขณะกัดฟันแน่นด้วยความเกลียดชัง
ครอบครัวของแม่บ้านเองก็เริ่มสงสัยสาเหตุการเสียชีวิตของหล่อนขึ้นมา
แม้ว่าแม่บ้านจะภักดีต่อหลี่อี้หนาน แต่หล่อนก็ไม่ได้ภักดีมากพอที่จะฆ่าตัวตายเพื่อแสดงเจตจำนง
ก่อนที่หลี่อี้หนานจะเสียชีวิต แม่บ้านกังวลใจเสมอ
สามีของหล่อนไถ่ถาม แต่หล่อนก็ปฏิเสธที่จะบอก
ทันทีที่หลี่อี้หนานเสียชีวิต แม่บ้านก็กระโดดตึกฆ่าตัวตาย
สามีและลูก ๆ ต่างคิดว่ามันผิดปกติ ไม่ว่าพวกเขาจะรู้สึกสงสัยอย่างไร แต่ทางสถานีตำรวจก็ตัดสินแล้วว่ามันเป็นการฆ่าตัวตาย
ครอบครัวของพวกเขาไม่มีอำนาจและไม่มีทางยื่นอุทธรณ์ได้ ดังนั้นจึงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากยอมแพ้
ไม่ต้องพูดถึงแค่เจาะเลือดจากศพ พวกเขาเต็มใจแม้ต้องผ่าร่างของหล่อน ตราบใดที่พวกเขาสามารถหาผู้กระทำผิดที่แท้จริงและแก้แค้นได้
หลังจากดูแลทั้งสองครอบครัวแล้ว หลินม่ายก็พานักข่าวไปที่โรงพัก
นักข่าวถามอย่างรวดเร็วว่า เหตุใดจึงไม่ทำการชันสูตรพลิกศพหลี่อี้หนานและแม่บ้านของเขาก่อนตัดสินสาเหตุการเสียชีวิต?
เจ้าหน้าที่ตำรวจที่ดูแลแผนกต้อนรับได้อธิบายให้ผู้สื่อข่าวที่มาสัมภาษณ์ว่า จากประสบการณ์ที่พวกเขามี พบว่าส่วนใหญ่เป็นการฆ่าตัวตาย จึงไม่จำเป็นต้องชันสูตรพลิกศพ
ผู้สื่อข่าวถามกลับไปว่า หากการตัดสินจากประสบการณ์นั้นผิดพลาดล่ะ?
ตำรวจสาบานว่าไม่ทางผิดพลาดแน่นอน
ผู้สื่อข่าวหลายคนถามว่า จะรับประกันได้อย่างไร
ตำรวจที่รับเรื่องกลับลังเลและกล่าวโทษครอบครัวผู้เสียชีวิต โดยบอกว่าครอบครัวผู้เสียชีวิตปฏิเสธที่จะทำการชันสูตรพลิกศพ แล้วจะให้พวกเขาทำอย่างไร
นักข่าวคนหนึ่งเผยแววเยาะเย้ยบนใบหน้า พูดตรงประเด็นเกี่ยวกับคำพูดของครอบครัวแม่บ้าน ไม่ใช่ว่าพวกเขาไม่ต้องการชันสูตรพลิกศพ แต่ตำรวจไม่ต้องการทำการชันสูตรพลิกศพให้ต่างหาก
เนื่องจากคำโกหกถูกเปิดโปง ตำรวจจึงต้องตกลงที่จะทำการชันสูตรพลิกศพ
ท้ายที่สุดแล้วมีนักข่าวอยู่มากมาย เป็นไปไม่ได้ที่พวกเขาจะปฏิเสธ
ไม่ว่าหน่วยงานของรัฐประเทศไหนล้วนกลัวสื่อ
นี่เป็นเหตุผลว่าทำไมหลินม่ายถึงจัดงานแถลงข่าวกลางดึก
เธอเพียงต้องการใช้อำนาจของสื่อ เพื่อให้ตำรวจตามหาฆาตกรที่ฆ่าหลี่อี้หนานและแม่บ้านของเขา
เพื่อป้องกันไม่ให้ฆาตกรได้รับข่าวและสมรู้ร่วมคิดกับตำรวจเพื่อปลอมแปลงการชันสูตรพลิกศพ หลินม่ายจึงแอบยุยงนักข่าวไม่ให้ออกไป แต่ให้รออยู่ที่โรงพัก บางทีพวกเขาอาจจะจับฆาตกรได้
เมื่อนักข่าวได้ยินดังนั้น พวกเขาก็กระตือรือร้นและรอให้ฆาตกรปรากฏตัว
ในฐานะนักข่าว ใครล่ะจะไม่อยากได้ข่าวใหญ่แบบนี้!
เมื่อมีนักข่าวเหล่านี้คอยจับตาดู หลินม่ายจึงกลับบ้านไปนอนหลับด้วยความสบายใจ
แต่เมื่อล้มตัวนอนลงบนเตียง เธอก็พลิกตัวไปมา ขณะกังวลว่าตำรวจจะทำอะไร
หลังจากครุ่นคิดอยู่นาน เธอตัดสินใจทำตามคำแนะนำของเฉินเฟิงและยื่นคำชันสูตรพลิกศพระหว่างรัฐ
คืนนั้น ทุกการเคลื่อนไหวของหลินม่ายอยู่ภายในสายตาของหลี่ตงซิน เขาต้องการติดต่อสถานีตำรวจ แต่ก็กลัวว่าโทรศัพท์ของสถานีตำรวจจะถูกตรวจสอบ ดังนั้นเขาจึงไม่กล้าทำอะไรบุ่มบ่าม
ไปสถานีตำรวจด้วยตนเองเหรอ? นั่นเหมือนกับการเดินลงไปในกับดักเลยไม่ใช่หรือไง?
เขายืนมองสถานีตำรวจจากระยะไกลพลางครุ่นคิดอยู่นาน สุดท้ายก็ตัดสินใจเดินจากไปเงียบงัน
กระทั่งประมาณตีสาม ในที่สุดหลินม่ายก็ผล็อยหลับไป แต่เป็นการนอนหลับที่กระสับกระส่าย
ไม่รู้ว่าเธอนอนหลับไปนานแค่ไหน จู่ ๆ ก็รู้สึกว่ามีริมฝีปากมาสัมผัสที่แก้มของเธอ
แม้ว่าเธอจะยังไม่ตื่นเต็มที่ แต่มือก็เหวี่ยงออกไปโดยสัญชาตญาณ
ไม่ว่าเธอจะเผลอทำร้ายใครก็ตาม เป้าหมายหลักคือการทำให้คนที่ทำเรื่องจาบจ้วงกับเธอกลัวและถอยออกไป
หลินม่ายได้ยินเสียงกระทบกัน ซึ่งแสดงชัดว่าเธอตีโดนใครบางคน
ในเวลานี้ หลินม่ายลืมตาขึ้นและลุกขึ้นนั่ง เตรียมโจมตีคนที่มาคุกคามตัวเธออีกครั้ง
แต่กลับพบว่าเป็นฟางจั๋วหรานที่ยืนอยู่ข้างเตียง เขายกมือขึ้นปิดหน้าข้างหนึ่งและมองเธอด้วยความขุ่นเคือง
นะ… นี่เธอตาฝาดหรือเปล่า?
หลินม่ายรู้สึกประหลาดใจในตอนแรก “จั๋วหราน คุณมาถึงแล้ว!”
จากนั้นเธอก็โผเข้ากอดเขา ก่อนจะกระแอมในลำคอด้วยความเขินอาย “เมื่อกี้… ฉันนึกว่าเป็นคนไม่ดี… เอ่อ… ฉันไม่ได้ตั้งใจตีคุณนะ เป็นเพราะทันทีที่มาถึงอเมริกา ฉันต้องเจอคดีฆาตกรรม ซึ่งทำให้ฉันหวาดระแวงมาก”
ไม่ต้องพูดถึงว่าหลินม่ายไม่ตั้งใจ ต่อให้เธอตั้งใจ ฟางจั๋วหรานก็ไม่ได้จริงจังกับมัน
แม้เขาจะไม่ชอบการนินทา แต่เขาได้ยินจากเพื่อนร่วมงานผู้ชายว่า แฟนสาวและภรรยาของพวกเขามักไม่ค่อยมีเหตุผล
เปรียบเทียบกันแล้ว หลินม่ายเป็นผู้หญิงที่สง่างามและเพียบพร้อมมาก ไม่เคยสร้างปัญหาแบบไร้เหตุผลเลย การได้อยู่กับเธอทำให้เขาสุขใจเสมอ
บางครั้งเขาก็ครุ่นคิดว่าจะหาเรื่องทะเลาะกับหลินม่ายสักหน่อย เพื่อให้ความสัมพันธ์ไม่จืดชืดเกินไปดีไหม?
ฟางจั๋วหรานพูดคำเบา “ผมเดินทางมาหาทันทีที่ลาออกจากงานเลยนะ”
เขาสัมผัสผมที่ยุ่งเหยิงของหลินม่ายและพูดด้วยความลำบากใจ “อย่ากลัวเลยนะ อย่ากลัวไปเลย เราจะจัดการมันได้แน่นอน”
หลินม่ายบอกเขาว่า แม่บ้านของหลี่อี้หนานเสียชีวิตแล้วเช่นกัน เธอเพิ่งมาถึงอเมริกาเพียงสองวัน ก็เกิดการฆาตกรรมขึ้นถึงสองครั้ง
หลินม่ายยังบอกฟางจั๋วหรานเกี่ยวกับการแถลงข่าวที่เธอจัดขึ้นเมื่อคืนนี้
ฟางจั๋วหรานยิ่งรู้สึกกังวลมากขึ้น
ภรรยาของเขามาที่สหรัฐอเมริกาล่วงหน้า ก่อนจะหายจากอาการเจ็ตแล็ก เธอต้องตามล่าฆาตกรเพื่อบริษัทของเขา ซึ่งเป็นสิ่งที่ยากลำบากมาก
ตอนนี้ยังเช้าอยู่ เขาจึงขอให้หลินม่ายนอนต่ออีกสักหน่อย และถามเธอว่าเธออยากกินอะไร เขาจะไปปรุงอาหารเช้าให้เธอ
เขาพูดด้วยความภาคภูมิใจ “ผมทำอาหารตะวันตกได้ค่อนข้างดี คุณอยากทานเสต็กไหม?”
เมื่อหลินม่ายได้ยินคำว่าเสต็ก เธอนึกถึงภาพเนื้อสเต็กสุกปานกลางที่เนื้อยังแดงก่ำ และนึกถึงสภาพศพอันน่าสลดใจของแม่บ้านหลี่อี้หนานทันที
หลังจากที่ฟางจั๋วหรานจากไป หลินม่ายก็นอนไม่หลับอีก เธอลุกขึ้นและเดินไปยังห้องครัวด้วยเท้าเปล่า เพื่อดูฟางจั๋วหรานทำบะหมี่มะเขือเทศให้เธอ
เมื่อเธอมาที่ห้องครัว เธอเห็นฟางจั๋วหรานกำลังทำบะหมี่มะเขือเทศและซุปเนื้อวัวที่เธอชอบ
เท้าเปล่าและร่างกายที่เบาหวิวของหลินม่ายทำให้เธอเข้ามาในห้องครัวโดยไม่ส่งเสียงใด ๆ แต่ฟางจั๋วหรานกลับยังคงมีความรู้สึกไวและรู้ว่ามีคนเข้ามาในครัว
ทันทีที่เขาหันหลังกลับ ก็รู้สึกว่ามีคนเกาะอยู่บนหลังเขาแล้ว ซึ่งเป็นหลินม่ายที่กระโดดเกาะหลังเขาด้วยความซุกซน
ฟางจั๋วหรานกลัวว่าเธอจะหล่นลงไป เขาจึงใช้มือซ้ายประคองก้นของเธอและปรุงอาหารด้วยมือขวา
หลินม่ายเกาะห้อยอยู่บนหลังของเขาราวลูกลิง แม้แต่ตอนที่เขาเดินไปหยิบเครื่องปรุงรส เธอยังไม่ยอมลงจากหลังเขา กระทั่งซุปเนื้อและบะหมี่มะเขือเทศเสร็จ เธอจึงยอมลงในที่สุด
ฟางจั๋วหรานยกบะหมี่มะเขือเทศและซุปเนื้อให้เธอ โดยบอกให้เธอกินมันก่อนเพื่อแสดงความให้เกียรติ ตอนนั้นเองที่เขาสังเกตเห็นว่าเธอเดินเท้าเปล่า จึงถามไปว่า “ทำไมคุณไม่สวมรองเท้าแตะล่ะ?”
หลินม่ายตักซุปเนื้อขึ้นเป่าและนำเข้าปาก มันมีรสชาติดีมาก จนเธออดไม่ได้ที่จะแสดงสีหน้ามีความสุข
“อากาศไม่หนาว เดินเท้าเปล่าบ้างคงไม่เป็นไร” เธอพูดอย่างไม่ใส่ใจ
ฟางจั๋วหรานพยักหน้าอย่างช่วยไม่ได้ “อย่าคิดว่าเพียงเพราะคุณไม่หนาว คุณก็เดินเท้าเปล่าบนกระเบื้องได้ ความเย็นยังคงซึมเข้าสู่ร่างกายของคุณและทำให้เกิดอาการปวดประจำเดือนได้”
ขณะที่พูด เขาถอดรองเท้าแตะของตัวเองออกและออกคำสั่ง “ใส่มันเถอะ!”
หลินม่ายสวมรองเท้าอย่างเชื่อฟัง อุณหภูมิร่างกายของฟางจั๋วหรานยังคงอยู่ในรองเท้าแตะ
เธอบอกว่า “คุณให้รองเท้าแตะฉัน งั้นเท้าของคุณก็เปลือยเปล่าน่ะสิ คุณนั่นแหละที่จะหนาวเกินไป”
ฟางจั๋วหรานตอบ “ผมเป็นผู้ชาย ทนหนาวได้ดีกว่า”
ขณะที่พวกเขาทั้งสองกำลังคุยกันอยู่ เสียงของปู่ฟาง ย่าฟาง เสี่ยวเหวิน และเสี่ยวมู่ตงก็ดังมาจากประตู พวกเขาเพิ่งกลับมาจากออกกำลังกายในสวนหลังบ้าน
ทันทีที่เสี่ยวมู่ตงเดินเข้ามาในห้องนั่งเล่น เขาก็ได้กลิ่นหอมของบะหมี่มะเขือเทศและซุปเนื้อ จึงรีบวิ่งเข้าไปในห้องครัว
เมื่อเห็นฟางจั๋วหราน เด็กน้อยก็ประหลาดใจมากจนตะโกนขึ้น “ป่าป๊า!” จากนั้นรีบคลานขึ้นไปบนตัวอีกฝ่าย
เพียงไม่นาน เขาก็ปีนขึ้นมาอยู่บนตัวฟางจั่วหราน ก่อนชี้ไปยังบะหมี่มะเขือเทศและซุปเนื้อที่หลินม่ายกำลังกินอยู่ “ป่าป๊า ผมอยากกินเหมือนกัน”
ฟางจั๋วหรานหอมแก้มเจ้าตัวเล็ก “มีส่วนของทุกคนเลยนะ”
ที่บ้านไม่มีบะหมี่ ดังนั้นฟางจั๋วหรานจึงปรุงมักกะโรนีในน้ำร้อน โดยเสิร์ฟบนโต๊ะพร้อมกับมะเขือเทศและซุปเนื้อวัว
ทุกคนสามารถกินมักกะโรนีได้มากเท่าที่ต้องการ โดยเขาเตรียมไว้ในกะละมังใบใหญ่ เมื่อนำมาราดด้วยมะเขือเทศและซุปเนื้อ มันก็ให้รสชาติที่ดีมาก
ครอบครัวกำลังรับประทานอาหารอย่างมีความสุข จู่ ๆ ลุงฝูก็วิ่งเข้ามาด้วยความตื่นตระหนก “นายน้อย คุณหนู แย่แล้วครับ หัวหน้าแผนกกัวตายแล้ว!”
………………………………………………………………………………………………………………………….
สารจากผู้แปล
เธอดูมีพิรุธนะหลี่ตงซิน จะหาหลักฐานเอาผิดยังไงดีน้อ
ไหหม่า(海馬)