แม่ปากร้ายยุค 80 - ตอนที่ 1071 หัวหน้าฝ่ายการเงินถึงแก่กรรม
ตอนที่ 1071 หัวหน้าฝ่ายการเงินถึงแก่กรรม
ตอนที่ 1071 หัวหน้าฝ่ายการเงินถึงแก่กรรม
ลุงฝูพาชายคนนั้นไปที่มุมหนึ่งแล้วกระซิบสองถึงสามคำ เขาขมวดคิ้วมุ่นและปล่อยชายคนนั้นไป
เมื่อหันกลับมาเผชิญหน้ากับครอบครัวของหลินม่าย เขาก็เห็นสายตาของทุกคนมองมาที่เขาอย่างสงสัย จึงพูดด้วยรอยยิ้มว่า “มันไม่ใช่เรื่องใหญ่โตอะไรครับ คุณนายหลี่บอกว่าเมื่อวานได้ปรึกษาหมอดู และบอกว่าเวลาที่คุณชายหลี่จากไปนั้นเป็นฤกษ์ไม่ดี คุณชายหลี่จะถูกฝังในวันมะรืนนี้ และหล่อนต้องการขอให้พระภิกษุอาวุโสทำพิธีทางศาสนาเพื่อแก้ไขปัญหานี้”
คุณปู่ฟางถามด้วยสีหน้าจริงจัง “คุณชายหลี่คนไหน? ใช่หลี่อี้หนานหรือเปล่า?”
ลุงฝูพยักหน้า “เขานั่นแหละครับ”
คุณปู่ฟางไม่พูดอะไรอีกและก้มหน้ากินต่อไป
หลินม่ายเหลือบมองลุงฝูและสงสัยว่าเขาโกหก แต่เธอไม่ได้พูดอะไรออกไปเช่นกัน
หลังอาหารเช้า ขณะที่หลินม่ายกำลังจะออกไป ลุงฝูก็ได้จัดรถ คนขับ และบอดี้การ์ดไว้แล้ว
คนขับและบอดี้การ์ดล้วนเป็นคนชรา นั่นก็คือแจ็คและทอม
เมื่อหลินม่ายเห็นว่าเป็นรถมายบัค เธอจึงพูดว่า “เคยบอกไปแล้วไม่ใช่เหรอคะว่าควรพยายามหลีกเลี่ยงใช้รถที่หรูหราเกินไป แค่รถเมอร์เซเดส-เบนซ์ก็พอแล้วค่ะ รถคนนี้สะดุดตามากเกินไป”
ลุงฝูอธิบาย “รถคันนี้ติดตั้งกระจกกันกระสุนคุณภาพสูง อีกอย่างสถานะของคุณก็คู่ควรกับรถหรูเช่นนี้”
เมื่อเห็นหลินม่ายมองเขาอย่างสงสัย เขาจึงขยับเข้ามาใกล้อีกสองก้าวด้วยสีหน้าจริงจังและลดเสียงลง “คุณนายหลี่เพิ่งส่งคนมาบอกว่าแม่บ้านของตระกูลหลี่เสียชีวิตเมื่อคืนนี้”
รับฟังดังนั้น สีหน้าของหลินม่ายพลันตึงเครียด “ถูกฆ่าเหรอคะ?”
“ตำรวจยังอยู่ระหว่างสอบสวน ก่อนที่ผลจะออกมา เรายังคงต้องระมัดระวังและใช้รถคันนี้ชั่วคราวน่ะครับ”
หลินม่ายพยักหน้าและถามว่า “ศพอยู่ที่ไหนคะ? ฉันอยากลองไปดู”
“อยู่ที่สถานีตำรวจครับ” ลุงฝูตอบ “ผมได้ยินมาว่าหัวของหล่อนแหลกเละ คุณหนูไม่ควรไปดูจะดีกว่า ไม่เช่นนั้นอาจทำให้คุณฝันร้ายในตอนกลางคืน”
หลินม่ายกล่าว “ฉันไม่กลัวค่ะ ฉันใจกล้าพอสมควร”
เมื่อเห็นว่าห้ามปรามอีกฝ่ายไม่ได้ ลุงฝูจึงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากบอกทอมคนขับรถให้พาไปที่สถานีตำรวจ
ไม่นานคนกลุ่มหนึ่งก็มาถึงสถานีตำรวจ
แจ็คและหลินม่ายเข้าไปในสถานีตำรวจด้วยกัน
ตำรวจได้พาไปพบศพแม่บ้านของตระกูลหลี่
หลินม่ายประเมินความใจกล้าของตัวเองสูงเกินไป โดยคิดว่าในฐานะที่เกิดใหม่ เธอจะไม่กลัวศพใด ๆ อีก
แต่เมื่อเห็นศพที่มีสมองไหลออกมาด้านนอก เธอแทบอาเจียนในทันที
หลังจากออกมาจากห้องดับจิต หลินม่ายถามเจ้าหน้าที่ตำรวจที่พาเธอเข้าไปด้วยความสงสัย “ผู้เสียชีวิตตกลงจากที่สูงมากเหรอคะ ทำไมสมองถึงออกมากองแบบนั้น”
“ไม่สูงครับ หล่อนตกลงมาจากชั้นสามของบ้านพักนายจ้าง เพียงแต่ว่าผู้ตายจงใจเอาศีรษะลง และมีพื้นหินอ่อนอยู่ด้านล่าง สภาพศพของหล่อนจึงกลายเป็นแบบนั้น”
หลินม่ายถาม “คุณหมายความว่า ผู้ตายได้ทำการฆ่าตัวตายเองเหรอคะ?”
ตำรวจพยักหน้า “ใช่ครับ”
“แน่ใจเหรอว่าไม่ใช่การฆาตกรรม?”
ตำรวจตอบด้วยความมั่นใจ “แน่ใจครับ”
หลินม่ายถามอย่างสงสัย “อะไรคือสาเหตุของการฆ่าตัวตายคะ?”
ตำรวจตอบกลับ “ตามคำบอกเล่าของภรรยาม่ายของนายหลี่และคนรับใช้คนอื่น ๆ แม่บ้านมีความภักดีต่อนายหลี่มาก นับตั้งแต่นายหลี่จากไป หล่อนจึงโศกเศร้าเสียใจ เบื้องต้นสันนิษฐานว่าผู้ตายไม่สามารถทนต่อความเจ็บปวดเนื่องจากนายหลี่เสียชีวิต จึงได้กระโดดจากชั้นสามเพื่อฆ่าตัวตาย”
คำอธิบายนี้ฟังดูสมเหตุสมผล แต่หลินม่ายสงสัยว่าแม่บ้านของคุณลุงหลี่เสียชีวิตกะทันหันเกินไป
เธอเหลือบมองร่างกายทั้งหมดของแม่บ้านแล้วมองไปทางอื่น “คุณไม่ต้องชันสูตรพลิกศพเหรอคะ?”
เห็นได้ชัดว่าตำรวจมีความอดทนน้อย “มันเป็นเพียงคดีฆ่าตัวตายธรรมดา ไม่จำเป็นต้องชันสูตรพลิกศพ นอกจากนี้ครอบครัวของผู้ตายยังไม่ยอมให้ชันสูตรพลิกศพอีกด้วย”
เมื่อหลินม่ายออกจากสถานีตำรวจ เธอเกือบจะชนเข้ากับชายคนหนึ่งที่มีท่าทางรีบเร่งด้านหน้าประตูสถานีตำรวจ
ในชั่วพริบตา ภาพหนึ่งก็แวบขึ้นมาในใจของหลินม่ายราวกับสายฟ้า
หลินม่ายกำลังพยายามคว้าภาพในใจเหล่านั้น เธอเห็นว่าแจ็คมีปฏิกิริยาตอบสนองที่รวดเร็วมาก
ก่อนที่ชายคนนั้นจะปะทะกับหลินม่าย แจ็คก็เตะเขากระเด็นออกไปแล้ว
จู่ ๆ หลินม่ายก็ลืมภาพที่แวบเข้ามาในใจ เธอหันไปมองแจ็คด้วยความตกตะลึง “คุณเตะคนอื่นแบบนั้นได้ยังไง?”
“ใครบอกให้เขาเข้ามาใกล้ขนาดนี้ล่ะ ผมต้องใช้ความระมัดระวังและไม่ปล่อยให้อีกฝ่ายโจมตีก่อน เพราะหากเกิดเรื่องผิดพลาดขึ้นมาจะทำยังไง?” แจ็คพูดอย่างมีเหตุผล
หลินม่ายลูบหน้าผาก “ถ้าเตะคนผิดจะต้องชดใช้นะคะ”
แจ็คไม่สนใจ “บริษัทของเรามีเงินมากมาย ความปลอดภัยของคุณหนูเป็นสิ่งสำคัญที่สุด”
หลินม่ายยอมแพ้ให้อีกฝ่ายทันที
ชายที่ถูกเตะลุกขึ้นจากพื้น หลินม่ายพลันจำตัวตนของอีกฝ่ายได้
นั่นหลี่ตงซินผู้เป็นหลานชายของคุณลุงหลี่ไม่ใช่เหรอ?
เธอเคยเห็นเขาตอนที่กลับมาพบลุงหลี่เป็นครั้งสุดท้าย
หลินม่ายรู้สึกอับอายและพูดว่า “ฉันขอโทษด้วยจริง ๆ บอดี้การ์ดของฉันตัดสินผิดและทำร้ายคุณ ไปโรงพยาบาลเพื่อตรวจร่างกายเถอะนะคะ หากต้องการค่าชดเชยเท่าไหร่ คุณโทรมาบอกเราได้ทันที”
หลี่ตงซินจำหลินม่ายได้เช่นกัน เขากล่าวด้วยรอยยิ้มบาง “ผมไม่เป็นไร ไม่จำเป็นต้องชดเชยครับ”
หลินม่ายแอบขมวดคิ้วอยู่ในใจ
แน่นอนว่าเธอมาที่สถานีตำรวจเพื่อทำธุระ แต่ทำไมเขาถึงสอบสวนเธอแบบนี้?
หลินม่ายตอบด้วยรอยยิ้ม “ได้ยินมาว่าแม่บ้านของคุณกระโดดลงมาจากตึก ฉันเลยลองมาดูค่ะ ทำไมคุณถึงมาที่สถานีตำรวจล่ะ?”
เนื่องจากหลี่ตงซินถามเกี่ยวกับจุดประสงค์ของเธอในการมาที่สถานีตำรวจ เธอจึงควรถามเกี่ยวกับเขาด้วย
หลี่ตงซินพูดด้วยรอยยิ้ม “ผมก็เหมือนกันครับ”
หลินม่ายพยักหน้ารับ และเดินผ่านเขาไป
ทันใดนั้น ฉากอันคุ้นเคยก็ปรากฏขึ้นในใจของหลินม่าย ซึ่งมันแวบเข้ามาในราวกับสายฟ้า
คราวนี้หลินม่ายสามารถคว้าภาพฉากนั้นไว้ได้
ในกาสิโนที่มาเก๊ามีชายคนหนึ่งเกือบจะชนคุณปู่ฟาง ชายคนนั้นคือหลี่ตงซิน!
หลินม่ายหันศีรษะไปมองด้านหลังของหลี่ตงซินพลางครุ่นคิดในใจ
เมื่อมาถึงบริษัท เธอแจ้งให้ผู้บริหารทุกคนทราบ แล้วจึงเข้ามาที่ห้องประชุมใหญ่เพื่อรอการประชุม
หลินม่ายนั่งลงบนเก้าอี้ของผู้บริหารสูงสุดและมองดูทุกคนในห้อง พวกเขาทั้งหมดล้วนเป็นคนจีนผมดำตาดำผิวเหลือง น่าแปลกที่ไม่มีชาวผิวขาวเลยสักคน
เธอสับสนเล็กน้อย แต่ก็ไม่ได้ถามอะไร
หลังการประชุม หลินม่ายและหัวหน้าฝ่ายการเงินพิจารณาบัญชีร่วมกัน
ทั้งสองคนอยู่ด้วยกันตั้งแต่สิบโมงเช้าจนถึงช่วงบ่าย
หลินม่ายเวียนหัวจากการตรวจสอบ แต่ก็ยังมีสมุดบัญชีหลายเล่มที่เธอยังไม่ได้ตรวจสอบ
เธอหมุนคอที่เจ็บปวดเล็กน้อยและพูดกับหัวหน้าฝ่ายการเงินว่า “เลิกงานแล้วกลับบ้านเถอะค่ะ แล้วค่อยมาตรวจสอบอีกครั้งวันพรุ่งนี้”
หัวหน้าฝ่ายการเงินเป็นชายชาวจีนวัยกลางคนที่เกิดมาพร้อมกับความขยันหมั่นเพียรในแบบฉบับของคนจีน เขาทำงานอย่างจริงจังและมีความรับผิดชอบ
เขาพูดโดยไม่เงยหน้าขึ้น “ผมจะลองตรวจสอบดูอีกสองชั่วโมงแล้วค่อยกลับครับ”
หลินม่ายได้ยินแบบนั้น จึงขอตัวกลับก่อน
หัวหน้าฝ่ายการเงินหมกมุ่นอยู่กับการตรวจสอบบัญชี และตรวจสอบอยู่นาน
ในที่สุดเขาก็ค้นพบปัญหา
มีความแตกต่างในบัญชีหนึ่งและมีการขาดดุลอย่างน้อยสามสิบล้านดอลลาร์
เขาตกใจมากจนเหงื่อไหลเย็น
แม้ว่าบัญชีหลักทุกบัญชีของบริษัทจะได้รับการตรวจสอบโดยเจ้าหน้าที่บัญชีเป็นประจำ แต่บัญชีนี้ถูกซ่อนไว้และสมบูรณ์แบบมากจนไม่มีใครค้นพบ
ผู้อำนวยการฝ่ายการเงินใส่สมุดบัญชีที่มีปัญหาลงในกระเป๋าเอกสารและเตรียมโทรหาหลินม่ายเพื่อบอกเธอเกี่ยวกับเรื่องนี้
แต่เขาพบว่าสำนักงานเงียบสงบและไม่มีใครอยู่เลย ซึ่งทำให้เขารู้สึกขนลุกอย่างน่าประหลาด
เขาเงยหน้าดูนาฬิกาเรือนใหญ่บนผนังและเห็นว่าเป็นเวลาสี่ทุ่มแล้ว
มันดึกมากแล้ว ไม่น่าแปลกใจเลยที่ไม่มีใครอยู่ในสำนักงาน
ในที่สุดจิตใจอันกระสับกระส่ายของเขาก็ผ่อนคลายลง เขาหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาและกดหมายเลขโทรศัพท์ของหลินม่าย
สิ่งที่ทำให้เขาประหลาดใจคือไม่มีเสียงสัญญาณในโทรศัพท์ ซึ่งถือว่ามันแปลกประหลาดมากเกินไป
เขากำหูโทรศัพท์แล้วมองไปทางซ้ายและขวาด้วยความงงงวย
ขณะนี้เสียงรองเท้าหนังก็ดังตึกๆๆ มาจากนอกสำนักงาน เสียงนั้นใกล้เข้ามาเรื่อย ๆ ซึ่งทำให้ผู้คนตื่นตระหนกในสภาพแวดล้อมที่เงียบสงบเช่นนี้
หัวหน้าฝ่ายการเงินหันกลับไปและเห็นว่าเขาเป็นคนในบริษัท พอเห็นว่าเป็นคนรู้จัก เขาจึงอดไม่ได้ที่จะถอนหายใจด้วยความโล่งอก
ชายคนนั้นถือสายโทรศัพท์ที่ถูกตัดอยู่ในมือและแสยะยิ้มอย่างน่ากลัว “คุณกำลังมองหาสิ่งนี้อยู่หรือเปล่า?”
หัวหน้าฝ่ายการเงินโพล่งออกด้วยความโกรธ “คุณรู้ไหมว่าใครตัดสายโทรศัพท์นี้?”
ชายคนนั้นบิดริมฝีปากและพูดด้วยรอยยิ้มชั่วร้าย “คุณคิดว่าอย่างไรล่ะ?”
จากนั้นหัวหน้าฝ่ายการเงินก็ตอบสนอง ดวงตาของเขาเบิกกว้าง เขาถามด้วยความตกใจและสับสน “เป็นคุณนั่นเอง! ทำไมคุณถึงทำแบบนี้?”
ผู้มาเยือนยังคงยิ้ม “แล้วคุณคิดว่าอย่างไรล่ะ?”
เขาโยนสายโทรศัพท์ในมือทิ้งแล้วเดินไปหาหัวหน้าฝ่ายการเงินทีละก้าว
หัวหน้าฝ่ายการเงินจ้องมองที่มือขวาของอีกฝ่ายซึ่งซ่อนอยู่ด้านหลัง รู้สึกถึงลางสังหรณ์ที่ไม่ดีเกิดขึ้นในใจ
เขาคว้ากระเป๋าเอกสารลุกขึ้นยืนทันทีและวิ่งหนีออกไป
ชายคนนั้นยกมือขวาที่ซ่อนอยู่ด้านหลังออกมา ซึ่งมันเป็นมีดพกสะท้อนแสงเย็นเยือก ก่อนจะแทงไปทางหัวหน้าฝ่ายการเงินอย่างแรง
โชคดีที่หัวหน้าฝ่ายการเงินเป็นผู้ชาย เขามีทักษะและร่างกายแข็งแกร่งอยู่บ้าง จึงเหวี่ยงเท้าเตะชายที่ถือมีดพก
ชายที่ถือมีดพกเบี่ยงหลบไปด้านข้าง หัวหน้าฝ่ายการเงินใช้โอกาสนี้วิ่งหนีออกไปทันที
เขารีบวิ่งไปที่ลิฟต์ หลังกดปุ่มแล้วจึงวิ่งเข้าไป
อย่างไรก็ตามเมื่อลิฟต์ทำงานไปได้ครึ่งทาง ไฟด้านในก็ดับลงทันที
จู่ ๆ หัวหน้าฝ่ายการเงินก็รู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติ จึงกดสวิตช์อย่างสิ้นหวัง ทว่ามันกลับไร้การตอบสนอง
ด้วยความตื่นตระหนก เขาจึงหยิบโทรศัพท์มือถือออกมาจากกระเป๋าเอกสารและต้องการโทรขอความช่วยเหลือ
แต่พอกดโทรศัพท์ไป มันกลับไม่มีการตอบสนอง เนื่องจากไม่มีสัญญาณในลิฟต์ที่ปิดสนิทแห่งนี้เลย!
ทันใดนั้นไฟในลิฟต์ก็กลับมาติดอีกครั้ง
หัวหน้าฝ่ายการเงินดีใจมากและเอื้อมมือไปกดสวิตช์
แต่ไม่คาดคิดว่าลิฟต์จะร่วงลงอย่างกะทันหัน ก่อนที่นิ้วของเขาจะแตะสวิตช์ ลิฟต์พลันหยุดระหว่างชั้นที่เก้ากับชั้นที่สิบ โดยอยู่ในตำแหน่งที่ไม่สามารถขึ้นหรือลงได้ จากนั้นประตูลิฟต์ก็เปิดออกอย่างช้า ๆ
ด้านนอกลิฟต์เป็นปล่องลิฟต์ที่ลึกหลายสิบเมตร
หัวหน้าฝ่ายการเงินกลัวเกินกว่าจะขยับตัว เพราะกลัวว่าลิฟต์จะร่วงอีกครั้ง
หากลิฟต์เกิดร่วงกะทันหัน เขาจะทำอย่างไร
มุมเอียงไม่มีนัยสำคัญ แต่ผู้อำนวยการฝ่ายการเงินที่มีรูปร่างเตี้ยสวมรองเท้าหนังที่มีแผ่นรองเพิ่มส่วนสูง
แม้ตัวลิฟต์จะทำมุมเอียงเล็กน้อย แต่เนื่องจากการกระจายน้ำหนักที่ด้านหน้า ตัวเขาจึงเริ่มขยับเลื่อนออกไปด้านนอกอย่างช้า ๆ
น่าเสียดายที่ลิฟต์ยกกล่องประเภทนี้ไม่มีราวจับและเขาไม่สามารถหาจุดที่จะใช้ยึดได้
ในช่วงเวลาแห่งความสิ้นหวัง หัวหน้าฝ่ายการเงินกางแขนออกแล้วค้ำยันกับผนังลิฟต์ เพื่อป้องกันไม่ให้ตัวเองเลื่อนออกไป
เขาตะโกนขอความช่วยเหลือจนสุดเสียง แต่ทั้งอาคารยังคงเงียบงันอย่างน่าขนลุก และเสียงร้องของเขาก็ดังกึกก้องอยู่ภายในลิฟต์
เมื่อเวลาผ่านไป หัวหน้าฝ่ายการเงินเริ่มมีเหงื่อไหลโทรมกาย
ความแข็งแกร่งทางกายภาพลดลงจนไม่สามารถค้ำยันกายได้อีกต่อไป และค่อย ๆ หลุดออกจากลิฟต์ทีละน้อย
กว่าครึ่งชั่วโมงต่อมา เสียงกรีดร้องอันน่าสยดสยองก็ดังก้องมาจากภายในลิฟต์ ขณะที่หัวหน้าฝ่ายการเงินดิ่งลงไปในปล่องลิฟต์อันมืดมิด…
…………………………………………………………………………………………………………………………
สารจากผู้แปล
เปลี่ยนโหมดแทบไม่ทันเลย อยู่ๆ ก็กลายเป็นเรื่องแนวระทึกขวัญฆาตกรรมสืบสวนสอบสวนเสียอย่างนั้น
โดนไล่ฆ่าปิดปากทีละคนแบบนี้มันต้องมีเบื้องหลังที่ใหญ่โตมากแน่ๆ
ไหหม่า(海馬)