แม่ปากร้ายยุค 80 - ตอนที่ 1068 คุณยายกำลังจะจากไป
ตอนที่ 1068 คุณยายกำลังจะจากไป
ตอนที่ 1068 คุณยายกำลังจะจากไป
การที่พี่สะใภ้และพ่อแม่ของโจวฉายอวิ๋นมาก่อปัญหาในตอนท้ายของงานแถลงข่าวไม่เพียงไม่ได้ส่งผลกระทบร้ายแรงกับงานแถลงข่าว แต่ยังพิสูจน์ให้นักข่าวเห็นว่าทุกสิ่งที่ผู้อำนวยการโรงงานผักดอง “ซื่อเหม่ย” พูดในสื่อล้วนเป็นเรื่องโกหก ซึ่งถือเป็นการช่วยแก้ไขวิกฤติในโรงงานอาหารติ่งเซียง
ไม่กี่วันต่อมา หลินม่ายพาคุณปู่ฟางและคนอื่น ๆ ออกไปเที่ยวข้างนอก
สาเหตุหลักคือก่อนหน้านี้เธอยุ่งกับงานมากเกินไป แต่ตอนนี้ไม่มีสิ่งใดในบริษัทที่เธอต้องกวดขันมากนัก
ในทางกลับกันครอบครัวมีโอกาสเดินทางไม่มากนัก แม้จะเป็นการออกไปเที่ยวเล่นหนึ่งถึงสามวันก็ตาม
ครั้งนี้หลินม่ายตัดสินใจพาครอบครัวออกไปเที่ยวเล่นให้นานหน่อย โดยเดินทางไปยังฮ่องกง มาเก๊า สิงคโปร์ และประเทศเกาะ
โดยเฉพาะประเทศเกาะที่ควรต้องไป เนื้อปลาปักเป้าที่นั่นอร่อยมาก เธอต้องให้ปู่ฟางกับย่าฟางลองกินสักครั้งในชีวิต
จุดหมายแรกที่ไปเยือนคือฮ่องกงและมาเก๊า ผู้เฒ่าสองคนต่างดีใจมากที่ได้เห็นว่าฮ่องกงและมาเก๊าสวยงามและเจริญรุ่งเรืองเพียงใด
ฮ่องกงและมาเก๊าจะกลับคืนสู่มาตุภูมิภายในเวลาไม่ถึงสิบปี
คุณปู่ฟางและคุณย่าฟางมองฮ่องกงและมาเก๊าราวกับว่าพวกเขากำลังมองลูกสาวที่ห่างเหินกันไปนาน โดยรู้สึกตื่นเต้นทุกที่ที่ไป
หลินม่ายยังพาครอบครัวไปเยี่ยมชมวิลล่าบนภูเขาที่ฟางจั๋วหรานมอบให้เธอ
แต่เนื่องจากวิลล่าถูกปล่อยเช่าไปแล้ว จึงทำได้แค่เดินดูรอบ ๆ เท่านั้น
สิ่งที่ปู่ฟางและย่าฟางไม่ทราบคือ ราคาบ้านในฮ่องกงมีราคาแพงมาก
หลายครอบครัวมีที่อยู่อาศัยเพียงไม่กี่ตารางเมตร ทำอาหารในห้องน้ำ สภาพที่อยู่อาศัยย่ำแย่มาก แต่หลายคนก็อยากมาฮ่องกง
หลินม่ายบอกว่าฮ่องกงเป็นพื้นที่ที่พัฒนาแล้ว ไม่ว่าใครก็อยากมาทั้งนั้น
เธอกล่าวเสริมอีกว่า “ในอีกสิบถึงยี่สิบปี แผ่นดินใหญ่ของเราจะพัฒนาจนเจริญรุ่งเรืองเช่นนี้เหมือนกัน”
“จริงหรือครับคุณอา!” เสี่ยวเหวินถามด้วยดวงตาที่สดใส ขณะที่เขามองไปยังถนนที่พลุกพล่านตรงหน้า
หลินม่ายลูบหัวของเขา “ตราบใดที่เราทำงานหนักทุกชั่วอายุคน แน่นอนว่าเราจะทำได้ รุ่นปู่ทวดได้ปกป้องบ้านเมืองด้วยชีวิต ถึงเวลาแล้วที่ลูกหลานอย่างเราจะต้องมีส่วนสร้างความเจริญรุ่งเรืองให้กับมาตุภูมิ”
เสี่ยวเหวินพยักหน้ารับอย่างหนักแน่น
เสี่ยวมู่ตงกระโดดโลดเต้น “ผมเองก็อยากมีส่วนร่วมเหมือนกัน!”
คุณปู่ฟางและคุณย่าฟางหัวเราะออกมาทันทีที่ได้ยินสิ่งนี้
ภายใต้การนำของหลินม่าย ผู้เฒ่าทั้งสองใช้เวลาหลายวันในฮ่องกง ถ่ายรูปและกินอาหารทะเลมากมาย
พวกเขากลัวว่าอาจจะไม่มีโอกาสกลับมาฮ่องกงอีกในชีวิตนี้ จึงอยากสนุกกับทุกอย่างให้มาก เพื่อที่จะได้ไม่เสียใจในภายหลัง
หลินม่ายรู้สึกเศร้าใจที่ได้ยินสิ่งนี้
เมื่อเดินทางไปมาเก๊า หลินม่ายพาครอบครัวไปเที่ยวกาสิโน
ความพิเศษของมาเก๊าคือกาสิโน
กาสิโนเต็มไปด้วยผู้คน และเสียง “เปิดเครื่อง” และ “ปิดเครื่อง” ก็ดังไปทั่วทุกที่ ดังมากจนสมองของผู้คนแทบหลุดออกมา
ทั้งครอบครัวทนไม่ไหวอีกต่อไป และเดินออกจากกาสิโนพร้อมกันหลังจากซื้อของไม่ถึงสิบนาทีด้วยซ้ำ
ขณะที่เดินออกจากกาสิโน ชายคนหนึ่งวิ่งเข้ามาชนคุณปู่ฟาง
เสี่ยวเหวินตอบสนองอย่างรวดเร็วและประคองคุณปู่ฟางไว้
จุดหมายถัดไปคือสิงคโปร์
เมื่อเดินทางมาถึงสิงคโปร์ คุณปู่และคุณย่าฟางถึงกับตาโตด้วยความอิจฉาเมื่อเห็นว่าสิงคโปร์พัฒนาไปมากขนาดไหนแล้ว
ปลายทางสุดท้ายคือประเทศเกาะ หลินม่ายพาครอบครัวไปเยี่ยมชมสถานที่ท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียงและเพลิดเพลินกับอาหารอร่อย
ไม่ว่าพวกเขาจะกินของอร่อยแบบไหน คุณปู่ฟางและคุณย่าฟางก็จู้จี้จุกจิกมาก พวกเขามักจะพูดว่า “ในประเทศของเราก็มีสิ่งนี้เหมือนกันและดีกว่านี้ด้วยซ้ำ”
เวลากินซูชิ คุณปู่ฟางก็จะบอกทุกคำว่าคาว ส่วนคุณย่าฟางพยักหน้าเห็นด้วยอย่างดุเดือด โดยบอกว่ามันไม่อร่อยเลย
หลังจากมาเยือนเกาะแห่งนี้ได้ไม่กี่วัน สามีภรรยาสูงอายุก็บ่นตลอดเวลา
หลินม่ายบอกพวกเขาว่า ประเทศเกาะยังมีของกินอร่อยอยู่
เย็นวันหนึ่ง หลินม่ายพาพวกเขา เสี่ยวเหวิน และเสี่ยวมู่ตงไปกินปลาปักเป้าที่ร้านของน้องชายจากภูมิภาคตงเป่ยคนนั้น
ไม่กี่ปีมานี้ แม้แต่ประเทศเกาะก็เปลี่ยนแปลงไปมาก
หลินม่ายคิดว่าตัวเองคงหาร้านปลาปักเป้าที่เคยมาไม่เจอแน่ ๆ
โดยไม่คาดคิด ร้านขนาดเล็กแห่งนี้ยังคงอยู่!
แต่ไม่รู้ว่าเจ้าของร้านยังเป็นคนเดิมอยู่ไหม?
หลินม่ายและครอบครัวเดินเข้าไปในร้านที่สะอาดและจัดร้านอย่างเป็นระเบียบ หญิงสาวร่างสูงสวมชุดกิโมโนเข้ามาทักทายเธอด้วยรอยยิ้มและพูดเป็นภาษาญี่ปุ่นว่า “ยินดีต้อนรับค่ะ!”
หลินม่ายดูผิดหวังและพึมพำเป็นภาษาจีน “เถ้าแก่ร้านเปลี่ยนคนเสียแล้ว~”
ผู้หญิงคนนั้นฉลาดมาก ขณะจัดที่นั่งให้พวกเขา หล่อนพูดเป็นภาษาจีนว่า “คุณกำลังพูดถึงสามีของฉันหรือเปล่าคะ?”
หล่อนเปลี่ยนน้ำเสียงที่อ่อนโยนและตะโกนเข้าไปที่หลังร้านเสียงดังว่า “ที่รัก ออกมาหน่อยสิ ลูกค้าเก่าของคุณมาหาค่ะ!”
ภาษาถิ่นทางภูมิภาคตงเป่ยนั้นชัดเจนและนุ่มนวล ทำให้ผู้ฟังรู้สึกเหมือนอยู่บ้านตัวเอง
ชายหนุ่มชาวตงเป่ยวิ่งออกจากในครัวและจำหลินม่ายได้ทันที เขาประหลาดใจมากจนยืนกรานที่จะเลี้ยงพวกเขาด้วยราเมน
หลังจากนั้นไม่นาน ราเมนสี่ชามใหญ่และห้าชามเล็กก็ถูกเสิร์ฟบนโต๊ะ
หลินม่ายสั่งเนื้อปลาปักเป้าเหมือนกับครั้งที่แล้ว
พอเข้าไปด้านใน เธอพบว่าพ่อครัวเป็นชายหนุ่มจากจีนตะวันออกเฉียงเหนือนั่นเอง
เธอถาม “พ่อครัวคนเก่าไปไหนแล้วคะ?”
ชายหนุ่มตอบกลับ “ผมได้เรียนรู้วิธีแล่ปลาปักเป้าด้วยตัวเองแล้ว จึงให้เขาออก”
เขาอธิบายเพิ่มเติมว่า “ในประเทศเกาะ การจ้างพ่อครัวจะต้องให้เงินเดือนที่สูงมาก”
ชายหนุ่มจากตงเป่ยเห็นว่าหลินม่ายสนใจที่จะเรียนรู้วิธีแล่ปลาปักเป้า ขณะที่แล่ปลา เขาก็อธิบายให้หลินม่ายฟังอย่างละเอียด ซึ่งถือเป็นกำไรสำหรับเธอมาก
พอนำเนื้อปลาปักเป้ามาเสิร์ฟที่โต๊ะ คุณปู่ฟางและคุณย่าฟางต่างก็เอ่ยปากชมไม่หยุด
นี่เป็นครั้งแรกที่พวกเขาได้รับประทานอาหารที่น่าพอใจในประเทศเกาะแห่งนี้
ทั้งครอบครัวเพลิดเพลินกับงานเลี้ยงปลาปักเป้าแสนอร่อยที่ร้านอาหารของชายหนุ่มชาวตะวันออกเฉียงเหนือ เมื่อออกจากร้าน แสงไฟในเมืองก็เริ่มส่องสว่างไปทั่วแล้ว
ทิวทัศน์ยามค่ำคืนของโตเกียวยังคงสวยงามมาก มีทั้งผู้ชายหล่อและผู้หญิงสวยอยู่ทุกที่ และสามารถเห็นโสเภณีอยู่บ้าง
หลินม่ายบังเอิญเห็นโยมิ อาซากุสะแต่งหน้าหนาและสวมชุดกิโมโนสีสดใส ขณะกำลังชักชวนลูกค้าบนถนน
สุนทรียศาสตร์ของผู้ชายในประเทศญี่ปุ่นนั้นแตกต่างจากที่ประเทศจีน
ผู้ชายจีนชอบผู้หญิงผิวขาว หน้าตาสวย และสูงโปร่ง
ส่วนผู้ชายในประเทศเกาะชอบผู้หญิงตัวเล็ก สูงไม่เกิน 155 เซนติเมตร
สาวจีนมักจะชอบบอกว่าอยากสูงขึ้นอีกสักหน่อย
ส่วนสาวชาวเกาะมักอยากให้ความสูงของตัวเองน้อยกว่านี้
แม้ว่าโยมิ อาซากุสะจะมีหน้าตาสะสวย แต่ด้วยส่วนสูง 170 เซนติเมตร หล่อนจึงไม่เป็นที่ชื่นชอบของผู้ชายในประเทศนี้สักเท่าใด
แม้หล่อนจะกระตือรือร้นมากและพยายามจีบปากจีบคอหว่านล้อมผู้ชายคนหนึ่ง แต่เมื่อชายชาวเกาะเห็นความสูงของหล่อน เขาก็สะบัดมือหล่อนออกและเดินหนีไป
ในที่สุดชายชาวจีนคนหนึ่งก็สนใจหล่อนและเดินเข้ามาหา
แต่เมื่อโยมิ อาซากุสะได้ยินว่าอีกฝ่ายกำลังพูดภาษาจีน หล่อนพลันกล่าวด้วยท่าทางเย่อหยิ่งว่าจะไม่ทำธุรกิจร่วมกับคนจีน
ชายชาวจีนโกรธมากจนเรียกเธอว่านังสารเลว
โยมิ อาซากุสะด่าทอเขากลับ
คนทั้งสองเริ่มต่อสู้กันขณะพ่นคำหยาบคายมากมาย พวกเขาเริ่มลงไม้ลงมือและกลิ้งไปตามพื้น กระทั่งมาถึงเท้าคุณปู่ฟางและคุณย่าฟาง
คุณปู่ฟางก้มลงมองและจ้องมองอยู่นาน ก่อนถามหลินม่ายว่า “เด็กคนนี้คืออวี่กั๋วหงสินะ”
หลินม่ายพยักหน้ารับ “ใช่ค่ะ”
เมื่อโยมิ อาซากุสะได้ยินบทสนทนาระหว่างปู่และหลานสะใภ้ หล่อนก็เงยหน้ามองด้วยความอับอาย และรีบลุกขึ้นหนีจากไป
สิ่งที่หล่อนละอายใจไม่ใช่การค้าประเวณีในประเทศเกาะ แต่เป็นการถูกครอบครัวของหลินม่ายเห็น
หล่อนรู้สึกละอายใจที่พวกเขามาเห็นหล่อนในสภาพที่น่าสังเวชในประเทศเกาะแห่งนี้
คุณปู่ฟางมองดูแผ่นหลังของโยมิ อาซากุสะแล้วถอนหายใจครั้งแล้วครั้งเล่า เด็กคนนี้เลยเถิดจนกู่ไม่กลับ แล้วยังทำลายชื่อเสียงอันดีของคุณปู่หล่อนจนย่อยยับ!
หลังกลับจากการเดินทาง เสิ่นเสี่ยวผิงก็บอกหลินม่ายว่า โจวฉายอวิ๋นฟ้องร้องพี่ชายในนามโรงงานอาหารติ่งเซียง
แม้ว่าคดีจะยังไม่ได้รับการตัดสิน แต่ก็สามารถคาดเดาผลได้อยู่แล้ว พี่ชายของโจวฉายอวิ๋นจะต้องแพ้คดีอย่างแน่นอน
ไม่เพียงต้องตีพิมพ์ในหนังสือพิมพ์เพื่อขอโทษโรงงานอาหารติ่งเซียง แต่พวกเขายังต้องชดเชยความสูญเสียที่เกิดขึ้นกับโรงงานอาหารติ่งเซียงด้วยการแพร่กระจายข่าวลือ
หลินม่ายตกตะลึงเล็กน้อย เธอไม่คิดว่าโจวฉายอวิ๋นจะโต้กลับอย่างดุเดือด อาจเป็นเพราะครอบครัวของหล่อนทำร้ายหล่อนมากเกินไป
เมื่อนึกถึงสมัยที่โจวฉายอวิ๋นหย่าร้าง แม้ว่าครอบครัวของหล่อนจะไม่ชอบ แต่พวกเขาก็ยังยอมรับมัน
ทว่านับตั้งแต่โจวฉายอวิ๋นแสดงความไม่เต็มใจที่จะมอบทรัพย์สินทั้งหมดให้กับหลานชาย ความสัมพันธ์ระหว่างหล่อนและครอบครัวก็ถึงคราวร้าวฉาน
ครอบครัวพ่อแม่ตระหนักว่าพวกเขาไม่มีความหวังในทรัพย์สินของหล่อน กระทั่งหล่อนแต่งงานใหม่และมีลูก ความขัดแย้งก็เลวร้ายลงกว่าเดิม
บางครั้งความรักในครอบครัวก็ไม่มั่นคงเมื่อเผชิญกับบททดสอบจิตใจอย่างเรื่องเงินๆ ทองๆ
ล่วงมาถึงต้นเดือนสิงหาคม และยังมีเวลาอีกพอสมควรก่อนถึงวันไปศึกษาต่อต่างประเทศ
ครอบครัววางแผนที่จะอยู่ที่เมืองเจียงเฉิงจนถึงวันที่ 20 ก่อนเดินทางกลับเมืองหลวง
การเดินทางจากเมืองหลวงไปสหรัฐอเมริกาสะดวกกว่าเดินทางจากเมืองเจียงเฉิงมาก
แต่ก่อนที่หลินม่ายจะมีเวลาว่างสองวัน ไป๋เหยียนก็โทรหาเธอ โดยบอกว่าคุณยายหลัวไม่สบายและต้องการพบเธอ
เดิมทีหลินม่ายวางแผนที่จะกลับเมืองหลวงเพียงลำพัง แต่คุณย่าฟางยืนกรานที่จะกลับไปด้วยกัน
เมืองเจียงเฉิงในเดือนสิงหาคมร้อนเกินไป หลังจากอาศัยอยู่ในเมืองหลวงมาหลายปี พวกเขาก็ไม่สามารถปรับตัวเข้ากับฤดูร้อนในเมืองเจียงเฉิงได้
ครอบครัวจึงเดินทางกลับมาที่เมืองหลวง เดิมทีหลินม่ายวางแผนจะทิ้งอาหวงและหวางไฉไว้ที่วิลล่า
แต่หนูน้อยและคุณปู่ฟางต่างก็คัดค้าน พวกเขาต้องการพาสุนัขหมาป่าตัวใหญ่สองตัวไปด้วย แม้กระทั่งที่สหรัฐอเมริกา พวกเขาถือว่าสุนัขหมาป่าทั้งสองตัวเป็นสมาชิกของครอบครัวแล้ว
เสียงส่วนน้อยเชื่อฟังเสียงส่วนมาก เมื่อครอบครัวเดินทางกลับเมืองหลวง หลินม่ายก็นำสุนัขหมาป่าทั้งสองตัวกลับมาด้วย
ยุคนี้ไม่มีการขนส่งสัตว์เลี้ยง หลินม่ายจึงยังต้องขอให้หัวหน้าขนส่งรถไฟปล่อยให้สุนัขป่าตัวใหญ่สองตัวขึ้นรถบรรทุกถ่านหินก่อนจะถึงเมืองหลวง
ทันทีที่กลับถึงเมืองหลวง หลินม่ายก็ซื้อของขวัญและไปโรงพยาบาลเพื่อเยี่ยมคุณยายหลัว
หลังจากที่ไม่ได้พบนางเพียงไม่กี่เดือน คุณยายหลัวก็ซูบผอมลงมากและอยู่ในอาการโคม่า ดูเหมือนว่าจะป่วยมาระยะหนึ่งแล้ว
หลินม่ายเดาว่าคุณยายหลัวอยากให้เธอมาพบในตอนนี้เพราะรู้ดีว่าตนเหลือเวลาไม่มาก และคงไม่อยากรบกวนเธอ เมื่อคิดได้แบบนี้ หลินม่ายก็รู้สึกเศร้าเล็กน้อย
เตียงในโรงพยาบาลของคุณยายหลัวรายล้อมไปด้วยลูกหลาน ทุกคนต่างมีสีหน้าเคร่งขรึม โดยเฉพาะแม่ไป๋หลั่งน้ำตาเงียบงันและดูเศร้าเป็นพิเศษ
หลินม่ายกระซิบถามไป๋เหยียนด้านข้างว่าคุณยายหลัวเป็นโรคอะไร
ไป๋เหยียนกระซิบ “เนื้องอกในสมองกลายเป็นเนื้อร้าย หมอบอกว่าท่านคงมีเวลาเหลือไม่มากแล้ว” ขณะที่พูด ไป๋เหยียนก็ร้องไห้ออกมา
หลินม่ายชะงักงันไปครู่หนึ่ง “ทำไมไม่ทำการผ่าตัดล่ะ? ถ้าทำการผ่าตัด คุณยายหลัวคงจะไม่เป็นไรมากไม่ใช่เหรอ?”
ไป๋เหยียนกล่าวว่า “เรามาที่โรงพยาบาลโหย่วเหอโดยเฉพาะ เพราะเราต้องการให้คุณยายได้รับการผ่าตัด และเราอยากให้จั๋วหรานเป็นคนผ่าตัดท่าน แต่จั๋วหรานเห็นภาพเอกซเรย์ของคุณยายและบอกว่าการผ่าตัดเสี่ยงเกินไป คุณยายอาจไม่รอด เขาไม่อยากให้คุณยายทนทุกข์ทรมานก่อนจากไป เขาจึงขอให้เราล้มเลิกการผ่าตัดและให้คุณยายหลับให้สบาย”
หลินม่ายพูดไม่ออกเมื่อได้ยินสิ่งนี้
ในเวลานี้ คุณยายหลัวก็ตื่นขึ้นมาและถามเสียงเบา “ม่ายจื่อกลับมาแล้วหรือ?”
“หนูกลับมาแล้วค่ะ” ทุกคนเปิดทางออกเพื่อให้หลินม่ายเดินเข้าไปหายายหลัว
หลินม่ายเดินเข้าไปหาและจับมือเล็ก ๆ ของคุณยายหลัวพลางกล่าวเสียงสะอื้น “คุณยาย หนูม่ายจื่อเอง หนูอยู่นี่ค่ะ”
แม้ว่าเธอจะไม่ได้มีความสัมพันธ์ลึกซึ้งกับคุณยายหลัว แต่เธอก็ยังรู้สึกไม่สบายใจที่เห็นอีกฝ่ายป่วยหนักขนาดนี้
คุณยายหลัวยื่นมืออีกข้างออกไปลูบใบหน้าของหลินม่ายและกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ม่ายจื่อ หลานรู้ไหมว่าอะไรที่กวนใจยายที่สุดในชีวิตนี้?”
หลินม่ายถามคำเบา “อะไรหรือคะ?”
“แม่ของหลานเสียหลานไป และทำให้หลานต้องทนทุกข์ทรมานมาก ทุกครั้งที่ยายคิดถึงความทุกข์ของหลาน ยายรู้สึกอึดอัดเหมือนมีมีดแทงใจ”
คุณยายหลัวร้องไห้ขณะที่กล่าวคำเหล่านั้น
หลินม่ายรีบปลอบใจ “คุณยาย มันเป็นเรื่องในอดีตไปแล้ว อย่าเศร้าเสียใจไปเลยค่ะ”
ฟางจั๋วหรานเข้ามาตรวจอาการของคุณยายหลัว เมื่อเห็นสิ่งที่เกิดขึ้น เขาเดินไปจับมืออีกข้างของคุณยายและพูดว่า “คุณยายครับ ผมจะรักษาความเจ็บปวดทั้งหมดของม่ายจื่อ และทำให้เธอมีความสุขเอง”
คุณยายหลัวพยักหน้ารับ “เด็กดี เธอเป็นเด็กดีจริง ๆ”
นางประสานมือของหลินม่ายและฟางจั๋วหรานเข้าด้วยกันครู่หนึ่ง จากนั้นค่อย ๆ หลับตาลง
ฟางจั๋วหรานรีบตรวจอาการของคุณยายหลัวทันที เขาพบว่าการเต้นของหัวใจและชีพจรของนางหายไปแล้วทั้งคู่
เขากำลังจะบอกว่าคุณยายเสียชีวิตแล้ว แต่ทันใดนั้นคุณยายหลัวก็ตื่นขึ้นมาอีกครั้ง
นางอ่อนแอเกินกว่าจะพูดสิ่งใดออกมา ดวงตาคู่หนึ่งมองไปทางแม่ไป๋และหลินม่าย ราวกับกำลังโหยหาบางสิ่งบางอย่าง
………………………………………………………………………………………………………………………….
สารจากผู้แปล
อย่าบู้บี้ซูชิ ถ้าทำดีๆ จิ้มวาซาบิโชยุแล้วมันไม่คาว เจอปลาไม่สดหรือปลาที่กลิ่นแรงๆ ล่ะสิมันถึงคาว
ม่ายจื่อ เธอจะเก่งอะไรก็เก่งได้ แต่เรื่องแล่ปลาปักเป้านี่ผู้แปลขอเถอะ อย่าหาทำเลย พ่อครัวแล่ปักเป้าโลคอลยังต้องฝึกแล่เป็นสิบๆ ปีกว่าจะสอบใบอนุญาตการแล่ปักเป้าผ่านเด้อ
คุณยายหลัวยังมีห่วงอะไรหรือเปล่าคะ ท่าทางเหมือนยื้อตัวเองไว้ทั้งที่อาการโคม่าแล้ว
ไหหม่า(海馬)