แม่ปากร้ายยุค 80 - ตอนที่ 1067 สร้างความฮือฮาในงานแถลงข่าว
ตอนที่ 1067 สร้างความฮือฮาในงานแถลงข่าว
ตอนที่ 1067 สร้างความฮือฮาในงานแถลงข่าว
หลังจากอยู่ในเมืองซื่อเหม่ยได้ครึ่งเดือน หลินม่ายและครอบครัวก็กลับมายังเมืองเจียงเฉิง
อาหวงและหวางไฉที่เป็นศัตรูกันในช่วงแรกก็เริ่มสนิทสนมกันดี
พวกมันวิ่งออกจากบ้านเพื่อทักทายหลินม่ายและคนอื่น ๆ โดยกระดิกหางไปมาอย่างแรง
ในคืนที่กลับมายังเมืองเจียงเฉิง ฟางจั๋วหรานได้บอกกับหลินม่ายทางโทรศัพท์ว่ามันคงเป็นเรื่องยากที่เขาจะลาออก เพราะผู้อำนวยการไม่ยอมปล่อยเขาไป
หลินม่ายถาม “งั้นเราควรทำอย่างไรดี?”
หากฟางจั๋วหรานลาออกไม่ได้ขณะที่เธอไปอยู่สหรัฐอเมริกา ทั้งคู่ก็จะต้องแยกกันอยู่เป็นเวลา 3 ปี ซึ่งเธอไม่อาจทนได้นานขนาดนั้น
ฟางจั๋วหรานกล่าว “ผมจะลองหาทางออกดู แต่อาจไม่ได้ไปสหรัฐอเมริกาพร้อมกับคุณ ผมจะต้องตามไปทีหลัง”
ไม่สำคัญว่าเขาจะตามไปทีหลังหรือไม่ ตราบใดที่เขาไปได้ หลินม่ายก็โล่งใจ
ในฤดูร้อนที่เมืองเจียงเฉิง ช่วงเช้าตรู่เป็นเวลาที่อากาศเย็นที่สุดและเหมาะกับการนอนมากที่สุด
ตราบใดที่หลินม่ายนอนคนเดียว เธอจะไม่เปิดเครื่องปรับอากาศ และเพียงเพลิดเพลินกับสายลมยามค่ำคืนที่เย็นสบาย
เดิมทีเธอต้องการนอนจนกระทั่งตื่นขึ้นมาเอง แต่น่าเสียดายที่ถูกเสียงเรียกเข้าจากเสิ่นเสี่ยวผิงปลุกขึ้นมาก่อนเจ็ดโมงเช้า
เสิ่นเสี่ยวผิงบอกเธอทางโทรศัพท์ว่ามีโรงงานผักดอง “ซื่อเหม่ย” เพิ่งจดทะเบียนใหม่ได้ลงสื่อว่าผลิตภัณฑ์ผักดองต่าง ๆ ที่ผลิตโดยโรงงานของพวกเขานั้นเหมือนกับกระบวนการดองและสูตรลับของโรงงานอาหารติ่งเซียงทุกประการ
ผู้อำนวยการโรงงานผักดอง “ซื่อเหม่ย” ยังอ้างอีกว่าน้องสาวของเขาเป็นผู้อำนวยการฝ่ายผลิตของโรงงานอาหารติ่งเซียง โดยน้องสาวของเขาเล่าขั้นตอนและสูตรลับให้เขาฟัง
ราคาของผลิตภัณฑ์ผักดองโรงงานผักดอง “ซื่อเหม่ย” นั้นน้อยกว่าสองในสามของราคาขายของโรงงานอาหารติ่งเซียง และยังอ้างว่ากระบวนการและสูตรลับนั้นเหมือนกันทุกประการกับโรงงานอาหารติ่งเซียง
เสิ่นเสี่ยวผิงกังวลมากว่าโรงงานผักดอง “ซื่อเหม่ย” จะมียอดขายนำหน้าโรงงานอาหารติ่งเซียง หล่อนยิ่งกังวลมากว่าเรื่องนี้จะทำให้ผู้บริโภคคว่ำบาตรโรงงานอาหารติ่งเซียง ด้วยรู้สึกว่าโรงงานอาหารติ่งเซียงกำลังทำกำไรมหาศาล และปฏิบัติต่อผู้บริโภคเหมือนเก็บเกี่ยวกระเทียมหอม
เมื่อหลินใหม่ได้ยินว่าชื่อโรงงานผักดอง “ซื่อเหม่ย” เธอก็สงสัยในตอนแรกว่ามีคนจากเมืองซื่อเหม่ยกำลังต่อต้านเธอ
เสิ่นเสี่ยวผิงบอกเธอว่าโรงงานผักดองซื่อเหม่ยมีน้องสาวที่เป็นผู้อำนวยการฝ่ายผลิตของโรงงานอาหารติ่งเซียง ดังนั้นเธอจึงรู้ได้ทันทีว่าผู้อำนวยการโรงงานผักดองซื่อเหม่ยคือพี่ชายของโจวฉายอวิ๋น
หลินม่ายบอกเสิ่นเสี่ยวผิงว่าไม่ต้องกังวล เธอจะไปโรงงานอาหารติ่งเซียงในตอนเก้าโมงเช้า ตอนนี้เธอต้องการงีบสักเล็กน้อย
เช้าที่แสนสบายขนาดนี้ คงเสียดายที่ไม่ได้กลับไปนอนต่อ
แต่ก่อนที่เธอจะหลับต่อ เสี่ยวตงตงก็เข้ามาปลุกเธอและบอกให้ไปกินอาหารเช้าด้วยกัน
คุณย่าฟางทำบะหมี่เย็นโดยใช้หน่อไม้รสเปรี้ยวอ่อน ซึ่งน่ารับประทานมาก จากนั้นหลินม่ายจึงกินชามใหญ่
เมื่อถึงเวลาเก้าโมงเช้า หลินม่ายก็มาถึงโรงงานอาหารติ่งเซียง
เสิ่นเสี่ยวผิงและโจวฉายอวิ๋นรอเธออยู่นานแล้ว
แม้โจวฉายอวิ๋นจะให้กำเนิดลูกชายระยะหนึ่งแล้ว แต่น้ำหนักที่เพิ่มระหว่างตั้งครรภ์ก็ไม่ลดลง
หล่อนดูค่อนข้างอวบและน่ารัก ทั้งยังดูเต็มเปี่ยมไปด้วยความสุข
ทันทีที่เห็นหลินม่าย หล่อนก็พูดขึ้นด้วยความกังวลว่า “คุณหลิน ฉันไม่ได้ทรยศคุณนะคะ คำพูดของพี่ชายมีแต่คำโกหก ฉันได้แจ้งตำรวจไปแล้ว”
หลินม่ายโบกมือ “ฉันเชื่อคุณค่ะ ไม่ต้องอธิบายอะไร เรามาหารือกันดีกว่าว่าจะจัดการกับวิกฤตินี้อย่างไรดี”
ทั้งสองมาที่ห้องทำงานของโจวฉายอวิ๋น หลินม่ายถามโจวฉายอวิ๋นว่าควรจัดการเรื่องนี้อย่างไร
โจวฉายอวิ๋นวางแผนที่จะจัดงานแถลงข่าวในช่วงบ่ายเพื่อชี้แจงเรื่องนี้
งานแถลงข่าวแบ่งออกเป็นสองส่วน ส่วนแรกจะระบุว่าหล่อนได้แจ้งตำรวจแล้ว ซึ่งเพียงพอที่จะพิสูจน์ว่าคำพูดของพี่ชายหล่อนไร้สาระทั้งหมด
ส่วนที่สองคือการเชิญผู้สื่อข่าวในท้องถิ่นให้ลองชิมผักดองจากโรงงานอาหารติ่งเซียงและโรงงานผักดองซื่อเหม่ย เพื่อดูว่าของโรงงานไหนอร่อยกว่า
คำพูดนับพันคำไม่น่าเชื่อถือเท่ากับการปล่อยให้นักข่าวชิมเอง
หลินม่ายบอกว่ามันฟังดูเข้าที แต่ก็ยังให้คำแนะนำบางอย่าง
ตัวอย่างเช่น ตอนที่แสดงวัตถุดิบของผักดองของโรงงานสามารถแสดงฟาร์มผักของโรงงานเองได้อีกด้วย
มันจะไม่ได้เป็นแค่การโฆษณาผักดองของโรงงานอาหารติ่งเซียงเท่านั้น แต่ยังเป็นการโฆษณาฟาร์มผักของเธอด้วย ซึ่งเป็นการยิงปืนนัดเดียวได้นกสองตัว
โจวฉายอวิ๋นจดบันทึกทันที
ในช่วงบ่ายสองโมง งานแถลงข่าวจัดขึ้นตรงเวลา ณ โรงงานอาหารติ่งเซียง
หลินม่ายเข้ามาดูบริเวณที่จัดงานแถลงข่าวเวลา 13.55 น. ซึ่งมันเต็มไปด้วยนักข่าวและช่างภาพแล้ว
ทุกคนกำลังพูดคุยและดื่มเครื่องดื่มที่พนักงานต้อนรับมอบให้ ขณะรอการแถลงข่าวเริ่มต้น
เมื่อเห็นหลินม่าย ทุกคนต่างส่งเสียงฮือฮาและเข้ามารวมตัวรอบ ๆ เธอเพื่อขอสัมภาษณ์
ทันใดนั้นนักข่าวจากข่าวเช้าเมืองเจียงเฉิงเข้ามา ซึ่งเป็นนักข่าวที่ขุดค้นเรื่องราวภายในได้ดีที่สุด และยังเป็นคนแรกที่เปิดประเด็นโดยตรง
“สวัสดีครับคุณหลิน ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมาผลิตภัณฑ์น้ำพริกและผักดองที่ผลิตโดยโรงงานอาหารติ่งเซียงของคุณมีราคาแพงกว่าบริษัทที่มีผลิตภัณฑ์เดียวกันมาก อย่างไรก็ตามเมื่อพิจารณาจากกระบวนการขั้นตอนการผลิตและสูตรลับที่นำเสนอโดยผู้อำนวยการโรงงานผักดองซื่อเหม่ย พบว่าผลิตภัณฑ์น้ำพริกและผักดองที่ผลิตโดยโรงงานอาหารติ่งเซียงนั้นไม่มีมีความพิเศษมากนัก คุณภาพและประโยชน์ของผักดองที่คุณโฆษณานั้นเกินจริง พวกคุณกำลังทำการโฆษณาชวนเชื่อที่เป็นเท็จและการโก่งราคาหรือครับ?”
โจวฉายอวิ๋นที่เตรียมพร้อมสำหรับการจัดงานแถลงข่าว เมื่อเห็นนักข่าวกำลังสร้างปัญหาให้หลินม่าย ก็พลันนึกตำหนิตัวเอง
หลังเดินขึ้นไปยังแท่นที่เตรียมไว้และพูดผ่านไมโครโฟนกับนักข่าวทุกคนที่เข้าร่วมงานว่า “คุณนักข่าวทั้งหลาย กรุณานั่งลงด้วยค่ะ งานแถลงข่าวจะเริ่มเร็ว ๆ นี้”
นักข่าวคนหนึ่งยกมือขึ้นแล้วพูดว่า “คุณหลินได้รับเชิญให้เป็นเจ้าภาพงานแถลงข่าวนี้หรือไม่?”
แทนที่จะดูโจวฉายอวิ๋นเป็นเจ้าภาพงานแถลงข่าว พวกเขาอยากเห็นหลินม่ายเป็นเจ้าภาพมากกว่า
พวกเขาล้วนอยากเห็นหลินม่ายสูญเสียความสุขุมและทำพลาดเมื่อถูกจี้จุดเวลาสัมภาษณ์
นักข่าวหลายคนมองว่าการจะทำให้ผู้ให้สัมภาษณ์อับอายเป็นความสามารถพิเศษของตน และพวกเขาจะยิ่งตื่นเต้นมากขึ้นหากผู้ให้สัมภาษณ์เป็นบุคคลที่มีชื่อเสียง
และหลินม่ายบังเอิญเป็นราชาในหมู่คนดัง
โจวฉายอวิ๋นปฏิเสธอย่างเด็ดขาด “ไม่ใช่ค่ะ!”
นักข่าวทุกวันนี้ไม่ต่างไปจากเมื่อก่อน พวกเขาถามคำถามยาก ๆ เพื่อทำให้ผู้สัมภาษณ์อับอาย หล่อนไม่อยากให้หลินม่ายถูกนักข่าวเหล่านี้ทำให้ลำบากใจ
หลินม่ายพูดคำเบา “ไม่เป็นไร”
หลังจากพูดอย่างนั้น เธอก็เดินขึ้นไปบนแท่นอย่างสง่างามและเข้ามาแทนที่โจวฉายอวิ๋นพร้อมพูดกับนักข่าวทุกคนว่า “อยากถามเรื่องอะไรคะ? ถามมาได้เลยค่ะ”
นักข่าวจากข่าวเช้าเมืองเจียงเฉิงพูดเสียงดัง “คุณหลินยังไม่ได้ตอบคำถามที่ผมเพิ่งถามไปเลยนะครับ”
หลินม่ายยิ้มเล็กน้อยและตอบไปว่า “กระบวนการผลิต เทคนิค และสูตรลับที่โรงงานผักดองซื่อเหม่ยประกาศเป็นเรื่องจริงหรือไม่? คุณเชื่อคำโฆษณาเหล่านั้น และสัมภาษณ์ด้วยเจตนาร้าย ทำไมฉันต้องตอบคุณด้วยคะ?”
นักข่าวชะงักไป ก่อนจะโต้กลับ “ในเมื่อคุณบอกว่าสิ่งที่ผู้อำนวยการโรงงานผักดองซื่อเหม่ยไม่เป็นความจริง เช่นนั้นโปรดเตรียมหลักฐานมาแสดงด้วย”
หลินม่ายพูดประชด “ฉันพนันกับทุกคนเพื่อบอกว่าคุณกินขี้ แต่คุณปฏิเสธบอกว่าคุณไม่กินขี้ เช่นนั้นกรุณาแสดงหลักฐานให้ฉันดูด้วยค่ะ”
นักข่าวหลายคนก็หัวเราะกันใหญ่ ขณะที่นักข่าวคนนั้นหน้าแดงก่ำ
หลินม่ายถามเขากลับ “คุณช่วยแสดงหลักฐานเพื่อพิสูจน์ว่าทุกสิ่งที่ผู้อำนวยการโรงงานผักดองซื่อเหม่ยพูดความจริงได้ไหมคะ?”
นักข่าวคนนั้นถึงกับพูดไม่ออก
หลินม่ายพูด “แม้ว่าฉันจะไม่สามารถแสดงหลักฐานเพื่อพิสูจน์ว่าผู้อำนวยการโรงงานผักดองซื่อเหม่ยกำลังโกหก แต่ฉันสามารถโทรหาตำรวจและให้ตำรวจสอบสวนความจริงได้ ฉันยังสามารถฟ้องร้องเขาในศาลได้เพราะเขาทำให้ยอดขายของโรงงานอาหารติ่งเซียงลดลงอย่างมาก เนื่องจากเรื่องไร้สาระที่เขาป่าวประกาศ ฉันกล้าฟ้องเขา แต่เขาจะกล้าฟ้องฉันไหมล่ะคะ!”
นักข่าวคนนั้นถอยกลับในทันที
ในอดีตเมื่อเขาก้าวร้าวมาก ผู้ให้สัมภาษณ์จะสับสนและทำอะไรไม่ถูก ทว่าคราวนี้หลินม่ายกลับทำให้เขาพูดไม่ออกแทน
เขาอยากให้มีรอยแตกบนพื้น เพื่อที่จะเข้าไปหลบซ่อนอยู่ในนั้น เนื่องจากรู้สึกอับอายจนเกินไป
ต่อมา นักข่าวคนอื่น ๆ ก็ถามคำถามที่ยุ่งยากมากมาย แต่หลินม่ายกลับแก้ไขได้ทั้งหมด
เธอยังให้เจ้าหน้าที่ถ่ายทอดภาพวิดีโอฟาร์มผักของเธอและโรงงานอาหารติ่งเซียงอีกด้วย
ไม่ว่าจะเป็นฟาร์มหรือในโรงงาน คนงานต่างก็ได้รับการคุ้มครองสุขภาพที่ดี ซึ่งทำให้ผู้คนรู้สึกมั่นใจตั้งแต่แรกเห็น
หลินม่ายกล่าว “เราสามารถรับประการคุณภาพของวัตถุดิบและกระบวนการผลิตในโรงงานอาหารติ่งเซียง นอกจากนี้ในเรื่องของรสชาติ เราใช้กะปิซึ่งเป็นสูตรลับ ดังนั้นผักดองของเราจึงมีราคาแพงกว่าของที่คล้ายกัน และน้ำพริกก็เช่นเดียวกัน แต่ไม่มีการโก่งราคาอย่างแน่นอน มันอยู่ในช่วงราคาที่ผู้บริโภคสามารถเข้าถึงได้ง่าย ในบรรดานักข่าวที่นี่ ใครบ้างที่ไม่สามารถซื้อชุดผักดองและน้ำพริกจากโรงงานอาหารติ่งเซียง?”
ผู้คนในงานแถลงข่าวต่างนิ่งเงียบ
น้ำพริกจากโรงงานอาหารติ่งเซียงมีส่วนผสมของชิ้นเนื้อวัว แต่กลับวางขายในราคาขวดละหนึ่งหยวนเศษ มันเป็นราคาที่ทุกคนสามารถเอื้อมถึง ดังนั้นการใช้ราคาที่เงินเฟ้อเป็นจุดโจมตีจึงฟังไม่ขึ้น
หลินม่ายประกาศสิ้นสุดงานแถลงข่าว ขณะที่นักข่าวกำลังแยกย้ายกันออกไป ผู้หญิงคนหนึ่งก็วิ่งเข้ามา
เธอตะโกนชื่อของโจวฉายอวิ๋นเสียงดัง “โจวฉายอวิ๋น ออกมาเดี๋ยวนี้นะ!
ทำไมถึงต้องทำเรื่องเล็กให้เป็นเรื่องใหญ่ แม้แต่พี่ชายตัวเองก็ยังฟ้องร้องได้ลงคอ!”
หลินม่ายจำผู้หญิงคนนี้ได้ว่าหล่อนเป็นพี่สะใภ้ของโจวฉายอวิ๋น
วันนี้ช่วงเที่ยง คู่สามีภรรยา พ่อและแม่สามีเดินทางมารับประทานอาหารกลางวันที่โรงงานผักดองซื่อเหม่ย
ทันใดนั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจสองนายก็เข้ามาบอกว่าโจวฉายอวิ๋นฟ้องร้องพี่ชายตัวเอง
เหตุผลคือพี่ชายของหล่อนแพร่ข่าวลือที่เป็นเท็จ
พี่ชายของหล่อนรู้สึกอายและยอมรับข้อกล่าวหาดังกล่าว เขาถูกตำรวจควบคุมตัวและถูกปรับเงินเป็นค่าชดเชย
พี่สะใภ้จึงขับรถจากเมืองซื่อเหม่ยมายังเมืองเจียงเฉิงทันที เพื่อต้องการสั่งสอนบทเรียนให้กับโจวฉายอวิ๋น
โจวฉายอวิ๋นไม่ใช่เด็กสาวที่ขี้อายและยอมคนเหมือนเมื่อก่อนอีกต่อไป
หล่อนตอบกลับเสียงดัง “ฉันอยู่นี่!” จากนั้นเดินเชิดหน้าไปหาพี่สะใภ้ “พี่ชายของฉันแพร่ข่าวลือที่เป็นเท็จเกี่ยวกับฉัน แล้วทำไมฉันจะฟ้องเขาไม่ได้?”
พี่สะใภ้โจวโกรธมากยิ่งขึ้นเมื่อเห็นว่าโจวฉายอวิ๋นไม่เพียงปฏิเสธที่จะยอมรับความผิดพลาด แต่ยังกล้าเผชิญหน้ากับหล่อนด้วย
หล่อนเอื้อมมือออกไปตบหน้าโจวฉายอวิ๋นสองครั้ง “ปากไม่สิ้นกลิ่นน้ำนม!”
โจวฉายอวิ๋นถูกตบจนเซถลา โชคดีที่หลินม่ายเข้ามาด้านหลังและช่วยประคองหล่อนไว้ หล่อนจึงไม่ได้ล้มลงไปที่พื้น
หลินม่ายสั่งพนักงานที่อยู่ด้านข้าง “เรียกเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยทันที และนำตัวผู้หญิงคนนี้ไปที่สถานีตำรวจ บอกกับตำรวจว่าหล่อนมารบกวนสถานที่จัดงานและทุบตีพนักงานของฉัน!”
พี่สะใภ้โจวไม่กลัวโจวฉายอวิ๋น เพราะโจวฉายอวิ๋นเป็นสมาชิกในครอบครัว และเด็กคนนี้ไม่มีวันทำร้ายหล่อนจนถึงตาย
แต่หลินม่ายไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับหล่อน ดังนั้นอีกฝ่ายจึงไม่จำเป็นต้องมีความปรานีใด ๆ
หล่อนรีบขอโทษทันที “ไม่นะ ม่ายจื่อ อย่าส่งฉันไปสถานีตำรวจเลย ฉะ… ฉันจะไปเดี๋ยวนี้แหละ…”
สิ้นเสียงก็หันหลังกลับและกำลังจะออกไป แต่เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยสองนายเข้ามาขวางทางหล่อนก่อน และขอให้ตามพวกเขาไปยังสถานีตำรวจโดยดี
พี่สะใภ้โจวหน้าซีดด้วยความตกใจ
หล่อนไม่ได้มาที่นี่คนเดียว แต่ยังมีพ่อและแม่สามีอีกด้วย
ตอนที่พี่สะใภ้โจวตบโจวฉายอวิ๋น พ่อโจวและแม่โจวยังคงนิ่งเงียบ และคิดว่าโจวฉายอวิ๋นสมควรได้รับบทเรียนจากพี่สะใภ้
เป็นลูกสาวประสาอะไรถึงกล้าฟ้องร้องพี่ชายตัวเอง
แต่เมื่อเห็นว่าหลินม่ายต้องการส่งลูกสะใภ้ไปสถานีตำรวจ พวกเขาพลันตื่นตระหนก
คุณพ่อโจวขอร้องหลินม่าย “ลูกสะใภ้ของผมไม่ได้ตั้งใจจะขัดขวางการประชุม หล่อนแค่อยากสั่งสอนโจวฉายอวิ๋นที่เป็นน้องสาวใจร้าย ม่ายจื่อ ได้โปรดปล่อยหล่อนไปเถอะ”
แม่โจวผลักโจวฉายอวิ๋น “ฉายอวิ๋น ขอร้องม่ายจื่อให้ปล่อยพี่สะใภ้ของเธอไปสิ!”
โจวฉายอวิ๋นมองแม่ของตัวเองด้วยสีหน้าเย็นชา หันไปสั่งเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยทั้งสองว่า “ส่งพี่สะใภ้ของฉันไปที่สถานีตำรวจเดี๋ยวนี้เลยค่ะ!”
เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยทั้งสองเพิกเฉยต่อการดิ้นรนของพี่สะใภ้โจว ขณะที่ลากหล่อนออกไป
คุณแม่โจวจ้องมองโจวฉายอวิ๋นอย่างไม่เชื่อสายตา “กะ… ทำไมแกถึงใจร้ายขนาดนี้? นั่นพี่สะใภ้ของแกนะ!”
โจวฉายอวิ๋นหลั่งน้ำตา “พ่อกับแม่ต่างก็เป็นห่วงเป็นใยพี่สะใภ้ ไม่เห็นจะมีใครห่วงฉันบ้างเลย? พี่ชายเที่ยวไปป่าวประกาศว่าฉันเป็นคนเปิดเผยขั้นตอนการทำผักดองและสูตรลับของโรงงานอาหารติ่งเซียง โชคดีที่คุณหลินเชื่อใจฉัน ไม่อย่างนั้นหล่อนคงฟ้องร้องฉันข้อหาเปิดเผยความลับทางการค้า ฉันไม่เพียงต้องสูญเสียทุกอย่าง แต่ยังต้องติดคุกอีกด้วย!”
แม่โจวพึมพำ “ไม่มีทาง ม่ายจื่อกับแกมีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน หล่อนจะกล้าให้แกจ่ายค่าชดเชยและส่งแกเข้าคุกได้ยังไง?”
หลินม่ายด้านข้างพยักหน้า “ฉันจะทำค่ะ! ใครหน้าไหนกล้าทำลายธุรกิจของฉัน ฉันจะไม่ปรานีเด็ดขาด!”
โจวฉายอวิ๋นหัวเราะและร้องไห้ในเวลาเดียวกัน “ม่ายจื่อช่วยฉันมาโดยตลอด ฉันแทบไม่สามารถตอบแทนสิ่งใดได้เลย แต่พวกคุณกลับวางแผนต่อต้านฉัน โดยถือว่าฉันมีความสัมพันธ์ที่ดีกับหล่อน แล้วหล่อนจะไม่ถือสาและไม่ขอให้ฉันรับผิดชอบใด ๆ วันนี้ฉันจะขอพูดให้ชัดเจน ต่อให้คุณหลินไม่ฟ้องร้องพี่ชาย แต่ฉันก็จะฟ้องร้องเขาในนามของโรงงานอาหารติ่งเซียง!”
หล่อนหยุดพูดเล็กน้อย ก่อนพูดต่อว่า “คงจะเป็นพี่สะใภ้ที่ขอให้พี่ชายพูดแบบนั้นลงหนังสือพิมพ์ใช่ไหม ดังนั้นอย่ามากล่าวโทษหาว่าฉันใจร้าย ถ้าจะโทษใครสักคน ก็ไปโทษสะใภ้ตัวดีของพ่อกับแม่เถอะที่หล่อนหลอกลวงและฉ้อโกงพี่ชายมากเกินไป”
แม่โจวปาดน้ำตาและพูดว่า “พี่สะใภ้ของแกไม่ได้มีเจตนาร้าย หล่อนแค่อยากให้ธุรกิจโรงงานของพี่ชายแกดีขึ้น จึงพูดไปแบบนั้น”
หลินม่ายทนฟังไม่ได้อีกต่อไป พูดออกมาว่า “ลูกสะใภ้ของคุณไม่ได้มีเจตนาร้ายหรือคะ? หล่อนโน้มน้าวให้พี่ใหญ่โจวพูดแบบนั้น ซึ่งเป็นการทำลายโรงงานอาหารติ่งเซียงของฉัน ฉันไม่เชื่อว่าคุณและคุณลุงโจวจะคิดเรื่องนี้ไม่ได้!”
แน่นอนว่าพ่อโจวและแม่โจวคิดเรื่องนี้ได้ ทั้งยังพยายามโน้มน้าวลูกสะใภ้ก่อนหน้านี้ด้วย
แต่ลูกสะใภ้อ้างว่า โรงงานอาหารติ่งเซียงของหลินม่ายจะไม่ล้มละลาย แต่ยอดขายเพียงลดลงเล็กน้อยเท่านั้น
ถึงแม้มันจะพังทลาย แต่ก็ไม่ส่งผลกระทบต่อหลินม่ายมากนัก เพราะเธอร่ำรวยและมีบริษัทมากมายภายใต้ชื่อของเธอ
ประกอบกับแผนภาพที่ลูกสะใภ้วาดให้พวกเขาดู ตราบใดที่ลูกชายซึ่งเป็นผู้อำนวยการโรงงานกล่าวในหนังสือพิมพ์ว่ากระบวนการผลิตและสูตรลับของพวกเขาเหมือนกับของโรงงานหลินม่ายทุกประการ ธุรกิจของลูกชายก็จะเฟื่องฟูอย่างแน่นอน
คู่รักชรารู้สึกโลภมากและยอมตกลงในท้ายที่สุด
แต่พวกเขาคาดไม่ถึง ไม่เพียงแค่หลินม่าย แม้แต่ลูกสาวแท้ ๆ ของตัวเองก็ไม่ยอมอ่อนข้อให้พี่ชายของหล่อน!
………………………………………………………………………………………………………………………….
สารจากผู้แปล
ธุรกิจก็ส่วนธุรกิจ ความสัมพันธ์ส่วนตัวก็ส่วนความสัมพันธ์ เอามาปนกันไม่ได้หรอก ข่าวพี่น้องญาติสนิทมิตรสหายฆ่ากันตายเพราะปมขัดแย้งทางธุรกิจก็มีให้เห็นอยู่
ไหหม่า(海馬)