แม่ปากร้ายยุค 80 - ตอนที่ 1063 เวลาหว่านแหรวบตัวกำลังมาถึง
ตอนที่ 1063 เวลาหว่านแหรวบตัวกำลังมาถึง
ตอนที่ 1063 เวลาหว่านแหรวบตัวกำลังมาถึง
เวลาไม่กี่วันผ่านไปอย่างรวดเร็ว และเสี่ยวเหวินก็อยู่ในช่วงปิดเทอมฤดูร้อน
ครั้งนี้เขาทำได้ดีในการสอบปลายภาค โดยได้อันดับหนึ่งในชั้นเรียน
วันนั้นโต้วโต้วมาเยี่ยมที่บ้านอีกครั้ง หล่อนเห็นหลินม่ายถามเสี่ยวเหวินด้วยรอยยิ้มว่าเขาต้องการรางวัลอะไร
เสี่ยวเหวินคิดอยู่นาน และบอกแค่ว่าอยากได้บาสเกตบอล
หลินม่ายยินดีให้เงินเขายี่สิบหยวนและขอให้เขาซื้อลูกบาสเกตบอลคุณภาพดี
เด็กคนนี้ประหยัดมากจนรองเท้าผ้าใบเริ่มมีรูขาดให้เห็น
ที่จริงเขานำรองเท้าไปให้ช่างซ่อมรองเท้าซ่อม และไม่รังเกียจที่จะสวมรองเท้าผ้าใบที่มีรอยปะไปโรงเรียน
หลินม่ายให้คำแนะนำแก่เขา เพราะกลัวว่าเขาจะซื้อลูกบาสเกตบอลราคาถูกและมันจะรั่วหลังจากเล่นไปสองครั้ง
เสี่ยวเหวินพยักหน้าเห็นด้วยและกล่าวว่า “ลูกบาสเกตบอลคุณภาพดีราคาเพียงสิบเอ็ดถึงสิบสองหยวนเท่านั้น ยี่สิบหยวนเป็นเงินมากเกินไปครับ”
หลังจากพูดเช่นนี้ เขาก็หยิบธนบัตรใบใหญ่ออกมาและขอให้หลินใหม่แลกเป็นธนบัตรห้าหยวน
หลินม่ายโบกมือปฏิเสธ “เธอใช้เงินที่เหลือไปซื้อรองเท้าผ้าใบคุณภาพดีสักคู่ เธอต้องมีรองเท้าผ้าใบดี ๆ ไว้ใช้เล่นบาสเกตบอลนะ”
เมื่อเห็นฉากอันอบอุ่นใจนี้ โต้วโต้วนึกถึงตอนที่หลินม่ายพาเธอไปซื้อเปียโนไฟฟ้าในตอนที่หล่อนโกหกเกี่ยวกับความก้าวหน้าของตัวเอง
อ่านน้อยลง
นับตั้งแต่ออกจากครอบครัวตระกูลฟาง หรงจี้เหมยได้ขายเปียโนไฟฟ้าทิ้ง แล้วนับประสาอะไรกับการให้เรียนพิเศษดนตรี
ในเวลานี้ เสี่ยวมู่ตงเดินไปหาโต้วโต้วพร้อมกับแตงโมแช่เย็นชิ้นใหญ่ “พี่สาว นี่”
โต้วโต้วรับแตงโมแช่เย็นมาและถามว่า “ของน้าหลินอยู่ไหน แล้วของพี่เสี่ยวเหวินล่ะอยู่ไหน?”
เด็กน้อยตอบกลับ “เรากินหมดแล้ว ชิ้นนี้เก็บไว้ให้พี่สาวของผม”
โต้วโต้วถามอย่างสงสัย “เธอรู้ได้ยังไงว่าฉันจะมาหาวันนี้?”
น้าถังที่เดินตามเสี่ยวตงตงตอบแทนว่า “เขาไม่รู้หรอกว่าวันนี้คุณจะมา ทุกครั้งที่เรากินอาหารอร่อยที่บ้าน เจ้าตัวเล็กจะแบ่งส่วนหนึ่งไว้ให้คุณเสมอ”
โต้วโต้วเกิดความรู้สึกมากมายภายในใจหลังได้ยินสิ่งนี้
หลินม่ายฉุกคิดได้และถามไปว่า “แล้วเธอได้ตัดสินใจแล้วหรือยังว่าจะอยู่ในเมืองระยะยาวหรือระยะสั้น?”
โต้วโต้วตอบคำเบา “อยู่ระยะยาวค่ะ”
หลินม่ายพาหล่อนออกไปเช่าห้องทันที โดยเช่าห้องเดี่ยวขนาดเล็กพร้อมเฟอร์นิเจอร์เรียบง่ายในราคาสูง ก่อนจะจากไป
โต้วโต้วไม่คิดว่าหลินม่ายจะดำเนินการอย่างรวดเร็วและจากไปทันทีหลังจากเช่าห้อง ดูเหมือนว่าหลินม่ายจะไม่มีความรู้สึกใด ๆ กับหล่อนเลย
หล่อนยืนอยู่ในห้องด้วยความสิ้นหวัง รู้สึกเศร้ามากจนจมดิ่งอยู่ในความคิดตัวเองเป็นเวลานาน
…
ระหว่างรับประทานอาหารเย็น หลินม่ายเห็นทั้งครอบครัวของเธออยู่พร้อมหน้า จึงกล่าวว่าในเดือนกันยายนเธอจะไปศึกษาต่อต่างประเทศกับเพื่อนร่วมชั้นในความอุปถัมภ์ 30 คน
เธอวางแผนที่จะศึกษาต่อต่างประเทศมากกว่าหนึ่งปี
ปีแรกจะไปเรียนต่อต่างประเทศและสอบปริญญาโทไปพร้อม ๆ กัน ถ้าสอบผ่าน เธอจะเรียนปริญญาโทให้จบแล้วค่อยกลับมา แม้ว่าอาจใช้เวลาถึงสามปีก็ตาม
คุณปู่ฟางและคุณย่าฟางแสดงการสนับสนุน เธอยังสามารถพาเสี่ยวเหวินและตงตงไปที่สหรัฐอเมริกาด้วยกัน
ฟางจั๋วหรานยังยกมือสนับสนุน โดยบอกว่าเขาจะไปทุกที่ที่ภรรยาของเขาไป
เมื่อหลินม่ายจัดการทุกอย่างเรียบร้อย เขาจะลาออกจากหน่วยงานและไปสมัครงานในโรงพยาบาลของสหรัฐอเมริกา
ครั้งนี้พวกเขาจะอาศัยอยู่ในสหรัฐอเมริกาหลายปี เพื่อความปลอดภัย จึงอยากพาเสี่ยวถัง เสี่ยวจิน และพี่เลี้ยงทั้งสองคนไปด้วย
หลินม่ายให้เวลาคุณย่าฟางถามทั้งสี่คนว่าอยากไปสหรัฐอเมริกาด้วยกันไหม
ในสหรัฐอเมริกา ค่าจ้างจะชำระเป็นดอลลาร์สหรัฐตามระดับค่าจ้างในท้องถิ่น
หลังจากพูดคุยเรื่องครอบครัวที่จะไปต่างประเทศแล้ว หลินม่ายเสนอให้เสี่ยวเหวินที่ได้หยุดช่วงฤดูร้อนให้กลับไปที่เมืองเจียงเฉิงภายในสองถึงสามวัน
คุณย่าฟางหยุดชะงักขณะคีบผักด้วยตะเกียบ “หลานไม่ได้บอกเหรอว่าเราจะล่องูออกจากรู? ถ้าเรากลับไปเมืองเจียงเฉิง เราจะดำเนินการตามแผนได้ยังไง?”
ฟางจั๋วหรานพูดด้วยรอยยิ้ม “คุณย่ากลัวว่างูจะไม่ตามเราไปเหรอครับ?”
คุณย่าครุ่นคิดตามคำพูดของหลานชาย
วันรุ่งขึ้น คุณย่าฟางถามเสี่ยวถังและคนอื่น ๆ ว่าพวกเขาต้องการไปสหรัฐอเมริกากับครอบครัวหรือไม่
คนทั้งสี่แสดงความยินดี เมื่อเห็นข้อเสนอดังกล่าวรวมอาหาร ที่พัก และค่าจ้างตามมาตรฐานเงินเดือนท้องถิ่นในสหรัฐอเมริกา
พวกเขาทำงานในสหรัฐอเมริกาสองถึงสามปีและจะร่ำรวยเมื่อกลับบ้าน
สมัยนี้การทำงานในสหรัฐอเมริกาเป็นเรื่องยากมาก ใครจะอยากพลาดโอกาส ไม่ต้องพูดถึงนายจ้างที่ใจกว้างขนาดนี้!
ในไม่ช้ามันก็เป็นวันแรกที่กลับไปยังเมืองเจียงเฉิง
หลินม่ายสำเร็จการศึกษาจากมหาวิทยาลัยแล้ว ไม่จำเป็นต้องอยู่ในเมืองหลวงอีกต่อไป
การกลับเมืองเจียงเฉิงครั้งนี้ไม่ใช่เพื่อพักผ่อนระยะสั้น แต่ด้วยความตั้งใจที่จะย้ายกลับ ท้ายที่สุดครอบครัวก็คุ้นเคยกับสภาพอากาศในเมืองเจียงเฉิงมากขึ้นแล้ว
มีหลายสิ่งหลายอย่างที่ต้องแพ็คและนำกลับไป
หลินม่ายและพี่เลี้ยงทั้งสองกำลังยุ่งมาก จู่ ๆ พ่อไป๋ก็โทรมาบอกว่าเขาอยากรวมตัวรับประทานอาหารเย็นด้วยกัน
โดยถามเธอว่าจะว่างเมื่อใด เขาจะได้กำหนดเวลาเมื่อเธอว่าง
ตอนนี้หลินม่ายมีอิสระมากขึ้นแล้ว กิจการของบริษัทก็ตกเป็นหน้าที่ของเจิ้งซวี่ตงและคนอื่น ๆ
ตลอดหลายปีที่ผ่านมา พวกเขาเติบโตไปพร้อมกับบริษัท และทุกคนก็มีประสิทธิภาพการทำงานที่ยอดเยี่ยมมาก
หลินม่ายไม่จำเป็นต้องสอนงานพวกเขาถึงวิธีการทีละขั้นตอน แต่ละคนสามารถดูแลจัดการด้วยตัวคนเดียว และแทบไม่มีสักครั้งที่หลินม่ายจะต้องเป็นผู้นำ
การฝึกงานสิ้นสุดลงนานแล้ว เธอมีประกาศนียบัตรอยู่ในมือ และไม่จำเป็นต้องไปโรงงานหรือโรงเรียน
หลินม่ายบอกว่าเธอว่างตลอดเวลา
พ่อไป๋จึงตกลงจัดงานเลี้ยงอาหารค่ำที่ร้านอาหารซานตงภายในสองวัน
พ่อไป๋ยังกำชับโดยเฉพาะว่าให้หลินม่ายมาคนเดียว ให้เธอปล่อยให้ฟางจั๋วหรานและเสี่ยวตงตงไว้ที่บ้าน
แม้ว่าหลินม่ายจะคิดว่าคำขอของคุณพ่อไป๋แปลกไปเล็กน้อย แต่เธอก็ตอบตกลง
เนื่องจากต้องไปร่วมงานเลี้ยง กำหนดการกลับไปเมืองเจียงเฉิงจึงต้องเลื่อนออกไป
สองวันต่อมา หลินม่ายไปยังโรงแรมที่พ่อไป๋กำหนดเพื่อรับประทานอาหารค่ำ
เมื่อไปถึงที่นั่น เธอพบว่าพี่สาวคนโตไป๋เหยียนและพี่คนรองไป๋ลู่มาถึงโรงแรมแล้ว
ไป๋เหยียนมาคนเดียวเหมือนกับเธอ
แต่ผู้ริเริ่มชักชวนทุกคนกลับไม่อยู่ที่นี่
หลินม่ายถามด้วยความสงสัย “ไม่ใช่ว่าพ่อหรอกเหรอที่อยากรวมตัวกินอาหารเย็นด้วยกัน? ทำไมถึงยังไม่มาอีก?”
ไป๋เหยียนบอกให้เธอนั่งลงอย่างใจเย็น “พ่อบอกว่าเขาจะตามมาทีหลัง”
สิบนาทีต่อมา พ่อไป๋เดินทางมาถึงโรงแรม ซึ่งเขาไม่ได้มาคนเดียว แต่มาพร้อมกับเผิงอันน่า
เผิงอันน่ามีท่าทางเขินอายเล็กน้อยเมื่อเผชิญหน้ากับพี่น้องทั้งสาม ใบหน้าของหล่อนแดงระเรื่อและไม่กล้าเงยหน้าสบตากับใคร
พ่อไป๋มีท่าทางกังวลเล็กน้อยเช่นกัน
ทันใดนั้นหลินม่ายก็จำได้ว่าเผิงอันน่ากำลังไล่ตามพ่อไป๋ เธอแอบคิดในใจว่าทั้งสองคงกำลังออกเดทกันและต้องการประกาศความสัมพันธ์ของพวกเขาในครอบครัว
หลังจากที่พ่อไป๋พาเผิงอันน่ามานั่งที่โต๊ะ เขาก็ประกาศความสัมพันธ์ของเขากับเผิงอันน่า โดยบอกว่าทั้งสองวางแผนจะแต่งงานกันในวันชาติปีนี้
หลินม่ายต้องการบอกพวกเขาว่า เธอคงอยู่ที่ต่างประเทศแล้วในช่วงวันชาติ และไม่สามารถมางานแต่งงานพวกเขาได้
แต่ไป๋ลู่พูดขึ้นด้วยความโกรธ “ฉันไม่เห็นด้วยกับการแต่งงานของพวกคุณ!” จากนั้นก็วิ่งหนีไป
ไป๋เหยียนโกรธมากเช่นกัน “ฉันไม่เห็นด้วยเหมือนกัน!” แล้วหล่อนก็วิ่งตามไป๋ลู่ออกไป
พ่อไป๋และเผิงอันน่าหันมามองหลินม่ายเป็นตาเดียว
หลินม่ายแสดงจุดยืนของตัวเองอย่างรวดเร็ว “นี่เป็นเรื่องระหว่างคุณสองคน ฉันจะไม่สนับสนุนหรือคัดค้าน” สิ้นเสียง เธอก็ลุกขึ้นและเดินจากไป
พี่สาวของเธอหนีกันหมด และเหลือเธอเพียงคนเดียว เธอจึงเขินอายเกินกว่าจะอยู่ทานอาหารเย็นต่อ
จากนั้นเธอก็เข้าใจว่าทำไมพ่อไป๋จึงไม่อยากให้เธอพาฟางจั๋วหรานมาด้วย
ในฐานะพ่อตา เขารู้สึกเขินอายที่จะประกาศต่อหน้าลูกเขยว่าเขากำลังจะแต่งงานใหม่กับหญิงสาวรุ่นราวคราวลูกคนหนึ่ง
เขาวางแผนที่จะบอกกับลูกสาวทุกคนก่อน เพื่อให้พวกหล่อนไปบอกลูกเขยในภายหลัง เขาจะได้ไม่เขินอายมากเกินไป
หลังจากเดินออกจากร้านอาหารและมองไปที่ตัวหนังสือขนาดใหญ่ “ร้านอาหารอวิ๋นหลายหลู่” บนป้าย หลินม่ายเพิ่งจำได้ว่าเผิงอันน่ามาจากซานตง
หลินม่ายกลับไปขอให้น้าถูทำบะหมี่ทำมือให้เธอกิน
เติมซอสพริกรสเผ็ดคุณภาพเยี่ยมแล้วเติมกะหล่ำปลีหิมะดองเพื่อเพิ่มรสชาติ ผัดให้เข้ากันจะได้รสชาติดีมาก
เดิมทีหลินม่ายตั้งใจจะซ่อนตัวในครัวและกินบะหมี่ให้เสร็จ เผื่อปู่ฟางกับย่าฟางเห็นเธอหิวกลับมา แล้วจะถามคำถามซึ่งยากที่จะตอบ
แต่เป็นฟางจั๋วหรานที่บุกเข้ามาระหว่างที่เธอกำลังเพลิดเพลินกับอาหาร
เขาถามอย่างสงสัย “ทำไมคุณถึงซ่อนตัวอยู่ในครัวและกินบะหมี่ล่ะ? ไม่ใช่ว่ารวมตัวกินอาหารค่ำกับครอบครัวเหรอ?”
หลินม่ายไม่มีทางเลือกอื่น นอกจากเล่าเรื่องทั้งหมดให้ฟางจั๋วหรานฟัง และขอให้เขาห้ามบอกคู่สามีภรรยาสูงอายุในตอนนี้ เพราะเกรงว่าพ่อไป๋จะเขินอายเมื่อต้องเผชิญหน้ากับผู้เฒ่าทั้งสอง
ฟางจั๋วหรานมองไปที่บะหมี่ที่เธอกินอยู่และเดินออกไป เมื่อเขากลับเข้ามา เขาได้หั่นหมูสามชั้นรสเผ็ดที่ซื้อมาจากร้านหลูไช่
โดยไม่รอให้หลินม่ายพูดอะไร เขาเทหมูสามชั้นทั้งหมดลงในชามของเธอ
หลินม่ายเพิ่งจะกินบะหมี่เสร็จ แต่กลับมีหมูสามชั้นเต็มชามปรากฏขึ้นตรงหน้าเธอ
เธอเงยหน้าขึ้นแล้วถามฟางจั๋วหรานว่า “คุณออกไปซื้อมันมาหรือคะ?”
ถ้าในครัวมีหลูไช่ เธอคงจะเติมมันไปนานแล้ว แต่น่าเสียดายที่ไม่มี
ฟางจั๋วหรานพยักหน้ารับ “คุณผอมเกินไปแล้ว แต่ยังกินแค่ผัก แล้วจะมีแรงได้ยังไง?”
เธอคงผอมลงมากจนทำให้สามีคิดว่าเธอผอมเกินไป
หลินม่ายมีความสุขในใจ ในฐานะผู้หญิง ใครบ้างที่จะไม่ชอบถูกสามีตามใจ ประธานหลินผู้เป็นหญิงแกร่งก็ไม่ได้รับการยกเว้นจากธรรมเนียมนี้เช่นกัน
“แต่มันเยอะเกินไป ฉันกินไม่หมดหรอก” หลินม่ายกังวลเล็กน้อย
“คุณกินได้เท่าที่กินไหว ถ้ากินไม่หมด เดี๋ยวผมจัดการเอง” ฟางจั๋วหรานพูดขณะจ้องมองเธอ
ก่อนเข้านอน ไป๋เหยียนโทรมาถามหลินม่ายด้วยความลังเลว่าเธอสามารถเกลี้ยกล่อมพ่อไป๋ไม่ให้มีความสัมพันธ์กับเผิงอันน่าได้ไหม และไม่ต้องพูดถึงการแต่งงานเลย
ทั้งหล่อนและไป๋ลู่ไม่อาจยอมรับได้
หลินม่ายบอกว่า สิ่งเดียวที่เธอทำได้คือไม่เข้าไปแทรกแซงพวกเขา เพราะเธอทำอะไรไม่ได้อีกแล้ว
พ่อไป๋และแม่ไป๋มีสถานะในใจที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง เธอไม่ได้ช่วยสนับสนุนพ่อไป๋และเผิงอันน่าให้แต่งงานกัน นั่นถือเป็นการแสดงความมีน้ำใจอย่างถึงที่สุดต่อแม่ไป๋แล้ว
มันเป็นไปไม่ได้ที่เธอจะเข้ามายุ่งเกี่ยวกับชีวิตของพ่อไป๋เพื่อเห็นแก่แม่ไป๋
แม่ไป๋นั่งอยู่ด้านข้างไป๋เหยียน เมื่อได้ยินสิ่งที่หลินม่ายพูดจากอีกฝั่งของโทรศัพท์ หล่อนก็ก้มหน้าลงด้วยความโศกเศร้า
หล่อนยังคงรักพ่อไป๋และอยากกลับไปคืนดีกับเขาอีกครั้ง หล่อนสารภาพความรู้สึกกับพ่อไป๋หลายครั้ง แต่พ่อไป๋ปฏิเสธที่จะกลับมาคบกันอีก
หล่อนต้องการให้หลินม่ายหยุดพ่อไป๋ไม่ให้แต่งงานกับเผิงอันน่า แต่หลินม่ายปฏิเสธเช่นกัน
หากพ่อไป๋แต่งงานใหม่ หล่อนคงไม่เหลือความหวังอีก แล้วหล่อนจะทำอย่างไรต่อไป?
ไม่กี่วันต่อมา ขณะที่ครอบครัวของหลินม่ายยกเว้นฟางจั๋วหรานกำลังย้ายกลับไปยังเมืองเจียงเฉิง โต้วโต้วก็วิ่งเข้ามาด้วยท่าทางเหนื่อยหอบในตอนเช้า
เมื่อมาถึง หล่อนก็พูดกับหลินม่ายด้วยสีหน้าเคร่งขรึม “คุณน้าหลิน หนูขอคุยกับคุณตามลำพังสักสองถึงสามคำได้ไหมคะ?”
หลินม่ายรู้ว่าเวลาหว่านแหรวบตัวกำลังจะมาถึงแล้ว
เธอพยักหน้ารับ “ได้สิ”
………………………………………………………………………………………………………………………..
สารจากผู้แปล
ลูกๆ ก็ช็อคไปสิคะที่อนาคตจะมีแม่เลี้ยงวัยเดียวกับตัวเอง
ม่ายจื่อวางแผนการไว้อย่างไรบ้างนะ คราวนี้ขอให้รวบตัวครอบครัวยัยถั่วให้ได้จนดิ้นไม่หลุดไปเลย
ไหหม่า(海馬)