แม่ปากร้ายยุค 80 - ตอนที่ 1053 รับเถียนเถียนจากโรงเรียน
ตอนที่ 1053 รับเถียนเถียนจากโรงเรียน
ตอนที่ 1053 รับเถียนเถียนจากโรงเรียน
ผู้หญิงคนนั้นตอบกลับอย่างใจดี “ฉันชื่อหวงกุ้ยอิ๋งเป็นอาสะใภ้ของหยางเถียนเถียนค่ะ วันนี้พี่สะใภ้ของฉันมีงานเร่งด่วน เธอจึงขอให้ฉันพาเถียนเถียนกลับบ้าน”
ครูสาวถามเถียนเถียนเพื่อยืนยัน “คุณน้าคนนี้พูดความจริงหรือเปล่าคะ?”
เถียนเถียนพยักหน้าด้วยความลังเล “ค่ะ…”
ก่อนที่หล่อนจะพูดจบ หวงกุ้ยอิ๋งก็ดึงเธอเข้ามาและปิดปากเถียนเถียนไว้แน่นด้วยมือข้างหนึ่ง เพื่อป้องกันไม่ให้หล่อนส่งเสียงใด ๆ อีก
หวงกุ้ยอิ๋งพูดด้วยรอยยิ้มกับครูสาว “ฉันพาหยางเถียนเถียนกลับบ้านได้แล้วใช่ไหมคะ”
บังเอิญมีผู้ปกครองอีกสองถึงสามคนมาพาลูก ๆ กลับ ครูสาวจึงยุ่งอยู่กับการซักถามพวกเขา
เมื่อเห็นว่าเถียนเถียนยืนยันตัวตนของหวงกุ้ยอิ๋งแล้ว หล่อนจึงพยักหน้าตอบรับ
ปากของเถียนเถียนถูกปิดสนิท ขณะหวงกุ้ยอิ๋งกอดหล่อนไว้ในอ้อมแขน ซึ่งทำให้เด็กน้อยขัดขืนไม่ได้ และต้องยอมให้อีกฝ่ายลากออกไป
หวงกุ้ยอิ๋งอุ้มเถียนเถียนเดินออกไปได้เพียงสองก้าว หล่อนพลันเห็นหลินม่ายเข้ามาขวางทางด้านหน้า จึงอดไม่ได้ที่จะตื่นตระหนก
หลินม่ายจ้องมองอีกฝ่ายและถามขึ้นเสียงดัง “พี่สาวของฉันมีงานเร่งด่วนจึงขอให้มารับเถียนเถียนงั้นเหรอ? พี่สาวของฉันบอกคุณด้วยหรือเปล่าว่า ทำไมหล่อนถึงมารับเถียนเถียนไม่ได้? แล้วหล่อนขอให้คุณมารับเถียนเถียนตอนไหน จงตอบฉันมาให้ชัด ๆ!”
หวงกุ้ยอิ๋งทำอะไรไม่ถูกอยู่ครู่ ก่อนจะจงใจแสร้งทำเป็นไม่รู้จักหลินม่ายพร้อมตะโกนด้วยความโกรธ “คุณเป็นใคร? ทำไมถึงมาถามเรื่องไร้สาระกับฉันแบบนี้?”
พูดจบ หล่อนก็อุ้มเถียนเถียนและพยายามฝ่าวงล้อมออกไป
หลินม่ายคว้าตัวเถียนเถียนออกจากอ้อมแขนของอีกฝ่าย ยื่นเท้าออกไปสกัดขา จากนั้นเหยียบบนหลังของหญิงสาวและพูดเสียงดัง “ฉันสงสัยว่าคุณกำลังลักพาตัวเถียนเถียนนะคะ”
คุณครู เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยที่ประตูโรงเรียน และผู้ปกครองที่มารับลูก ๆ ต่างก็มองดูหลินม่ายและหวงกุ้ยอิ๋งด้วยความตกใจ
หวงกุ้ยอิ๋งพยายามดิ้นรนอย่างหนักเพื่อให้หลุดพ้นจากหลินม่าย
แต่เท้าของหลินม่ายที่เหยียบบนแผ่นหลังนั้นเหมือนกับภูเขาทั้งลูกที่ทับลงมาจนไม่อาจดิ้นรนเคลื่อนไหว
หล่อนร้องไห้แทบเท้าของหลินม่าย “ฉันไม่ได้ทำนะ ทำไมถึงต้องมาใส่ร้ายคนอื่นด้วย ฉันเป็นอาสะใภ้ของหยางเถียนเถียน แล้วฉันจะลักพาตัวหล่อนได้ยังไง?”
“อาสะใภ้ก็กำลังทำอยู่ไม่ใช่หรือไงคะ?” หลินม่ายหยิบโทรศัพท์ออกมาจากกระเป๋า และโทรแจ้งสถานีตำรวจว่ามีผู้ค้ามนุษย์
หวงกุ้ยอิ๋งเป็นกังวล “ฉันไม่รับเถียนเถียนไปแล้ว ปล่อยฉันไปเถอะ”
หลินม่ายยังคงเพิกเฉย
หลังจากนั้นไม่นานเจ้าหน้าที่ตำรวจสองนายขับรถตำรวจสามล้อมายังหน้าประตูโรงเรียนของเถียนเถียน
เมื่อพวกเขาลงจากรถก็ถามขึ้นว่า “เมื่อครู่ใครเป็นคนโทรมาแจ้งความครับ? แล้วคนร้ายค้ามนุษย์อยู่ที่ไหน?”
หลินม่ายตอบกลับเสียงดัง “ฉันเป็นคนโทรไปแจ้งความเองค่ะ”
เธอชี้ไปที่เท้าของตัวเอง “คนค้ามนุษย์อยู่ตรงนี้ค่ะ” จากนั้นเธอจึงถอนเท้ากลับไป
หวงกุ้ยอิ๋งลุกขึ้นจากพื้นและเดินไปหาเจ้าหน้าที่ตำรวจทั้งสองนาย “คุณตำรวจคะ ฉันไม่ใช่ผู้ค้ามนุษย์นะคะ ฉันได้รับการไหว้วานจากพี่สะใภ้ให้มารับลูกของเธอ แต่นังคนบ้านี่มาสกัดขาฉันและยังกล่าวหาว่าฉันเป็นพวกค้ามนุษย์”
หลินม่ายยิ้มเยาะ “คุณและสามีกำลังมีเรื่องขัดแย้งกับพี่ชายและพี่สะใภ้จนถึงจุดที่มองหน้ากันไม่ติด ไม่ว่าพี่สาวของฉันจะยุ่งมากสักแค่ไหน หล่อนก็ไม่มีวันขอให้คุณมารับลูกสาว และไม่ใช่ว่าหล่อนจะไม่มีญาติคนอื่นเสียเมื่อไหร่”
หวงกุ้ยอิ๋งแกล้งทำเป็นไร้เดียงสา “พี่สะใภ้ขอให้ฉันมารับจริง ๆ นะคะ”
“งั้นตอบคำถามอีกสองข้อที่ฉันถามก่อนหน้านี้มาสิ พี่สาวของฉันขอความช่วยเหลือจากคุณเมื่อไหร่? แล้วพี่สาวไม่สามารถมารับเถียนเถียนด้วยเหตุผลอะไร? หากตอบถูกต้อง ฉันจะยอมก้มกราบขอโทษ และชดใช้เป็นเงิน 100,000 หยวนสำหรับค่าทำขวัญ”
ผู้คนที่อยู่โดยรอบถึงกับอ้าปากค้าง ค่าทำขวัญมากถึง 100,000 หยวน!
เธอเป็นใครกัน ถึงได้ร่ำรวยขนาดนี้?
ผู้ปกครองของนักเรียนหลายคนดูเหมือนจะจำหลินม่ายได้ และกล่าวออกมาอย่างไม่มั่นใจ “ผู้หญิงคนนี้ดูเหมือนว่าจะเป็นหลินม่าย ซึ่งเป็นประธานว่านทงกรุ๊ป ไม่แปลกเลยที่เธอจะร่ำรวยมาก!”
ทุกคนเดาะลิ้นและตะโกนใส่หวงกุ้ยอิ๋ง “ตอบมาเร็วสิ เงินแสนหยวนกำลังโบกมือให้คุณอยู่!”
ยิ่งทุกคนเรียกร้องมากเท่าใด เหงื่อเย็นยิ่งไหลอาบหน้าผากหวงกุ้ยอิ๋งมากขึ้นเท่านั้น
หล่อนไม่ได้โง่เขลา ที่หลินม่ายกล้าถามคำถามนี้ คงเพราะแน่ใจแล้วว่าหล่อนไม่สามารถตอบได้
“คุณตำรวจคะ…” หวงกุ้ยอิ๋งมองเจ้าหน้าที่ตำรวจทั้งสองนายเพื่อขอความช่วยเหลือ ราวกับพยายามบอกว่าหลินม่ายกำลังสร้างปัญหาให้หล่อนด้วยเจตนาร้าย
หลินม่ายมองอีกฝ่ายอย่างเหยียดหยาม “คุณต้องตอบคำถามสองข้อนี้ให้ได้ เพื่อพิสูจน์ว่าคุณไม่ใช่พวกค้ามนุษย์”
เจ้าหน้าที่ตำรวจพูดกับหวงกุ้ยอิ๋ง “ถ้าอย่างนั้นคุณก็แค่ตอบไป”
หวงกุ้ยอิ๋งหน้าซีดเผือดและตอบกลับไปว่า “พี่สะใภ้โทรบอกฉันเมื่อตอนบ่าย ส่วนเพราะเหตุผลอะไร หล่อนไม่ได้บอกฉัน และฉันก็ไม่ได้ถามหล่อนด้วย”
“บ่ายกี่โมงคะ?” หลินม่ายถาม
“เอ่อ… ราวบ่ายสามโมงล่ะมั้ง ฉันจำไม่ค่อยได้”
หลินม่ายหัวเราะเยาะ “พี่สาวคนโตของฉันหมดสติและเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลตั้งแต่เที่ยง คุณบอกว่าหล่อนโทรแจ้งให้คุณไปรับเถียนเถียนในช่วงบ่ายสามโมง เห็นได้ชัดว่าคุณโกหกหน้าด้าน ๆ”
ใบหน้าหวงกุ้ยอิ๋งซีดลงอีกครั้ง
หลินม่ายมองไปที่เจ้าหน้าที่ตำรวจทั้งสอง “คุณตำรวจคะ ฉันไม่ได้พูดไร้สาระ หล่อนเป็นพวกค้ามนุษย์และต้องการลักพาตัวเถียนเถียน”
ตำรวจได้นำตัวหวงกุ้ยอิ๋ง หลินม่าย และหยางเถียนเถียนไปยังสถานีตำรวจด้วยกัน
ทันทีที่หวงกุ้ยอิ๋งเข้าไปในห้องสอบสวน หล่อนก็แทบจะหมดสติทันที และสารภาพออกมาอย่างหมดเปลือก
ได้ความว่าพ่อสามีขอให้หยางจิ้นและภรรยาซื้อบ้านใหม่เพื่อปรับปรุงสภาพความเป็นอยู่ของครอบครัว พวกเขาเฝ้าร้องขอหลายครั้ง แต่คู่รักก็ปฏิเสธไม่ยอมทำตาม
พ่อสามีไม่พอใจมากและสั่งให้หล่อนมารับเถียนเถียนกลับบ้าน
ตราบใดที่มีเถียนเถียนอยู่ในมือ พวกเขาไม่กลัวว่าหยางจิ้นและภรรยาจะไม่ยอมตกลงซื้อบ้านหลังใหม่ให้
หวงกุ้ยอิ๋งคิดว่าหากทำแบบนี้ พวกเขาจะสามารถบังคับหยางจิ้นและภรรยาซื้อบ้านหลังใหม่ให้ทุกคนอยู่อาศัย หล่อนจึงตอบตกลง
หวงกุ้ยอิ๋งร้องไห้หนักจนน้ำตาเป็นสายเลือด พูดซ้ำ ๆ ว่าหล่อนเพียงทำตามคำสั่งของพ่อสามีและไม่ใช่พวกค้ามนุษย์ แต่ตำรวจไม่ยอมปล่อยตัวหล่อนไป และยังพาพ่อหยางมายังสถานีตำรวจเพื่อสอบปากคำ
การลักพาตัวมนุษย์ โดยเฉพาะเด็ก เป็นเรื่องร้ายแรงมาก
พวกเขาจำเป็นต้องสอบสวนให้ชัดเจน เพื่อไม่ปล่อยให้พวกค้ามนุษย์ลอยนวล
พ่อหยางปฏิเสธอย่างหนักแน่นที่จะยอมรับว่าเขาเป็นคนยุยงหวงกุ้ยอิ๋งให้มารับเถียนเถียน
พ่อสามีและลูกสะใภ้ทะเลาะกันอยู่ภายในสถานีตำรวจด้วยถ้อยคำด่าทอรุนแรง
เจ้าหน้าที่ตำรวจที่จัดการคดีต่างตกตะลึง
แต่มีสิ่งหนึ่งที่ได้รับการยืนยัน หวงกุ้ยอิ๋งไม่ใช่ผู้ค้ามนุษย์ แต่เป็นหลินม่ายที่เข้าใจผิด
ตำรวจได้วิพากษ์วิจารณ์แก่พ่อหยางและหวงกุ้ยอิ๋ง แล้วจึงปล่อยตัวพวกเขาไป
หลินม่ายพาเถียนเถียนขึ้นรถของเธอ ก่อนที่เถียนเถียนจะถามด้วยความสับสน “คุณน้า ทำไมวันนี้ถึงมารับหนูล่ะคะ? คุณพ่อไปไหน?”
หยางจิ้นมีเวลาว่างมากขึ้น และมักจะเป็นคนมารับไปส่งเธอที่โรงเรียนเสมอ
“คุณพ่อกำลังป่วยและเข้ารักษาในโรงพยาบาลค่ะ”
“แล้ว… ทำไมคุณแม่ไม่มารับล่ะคะ?”
“คุณแม่กำลังนอนหลับลึก หมอบอกว่าให้เถียนเถียนไปช่วยปลุกคุณแม่ ไม่อย่างนั้นแม่จะไม่ตื่นขึ้นมาอีก”
เถียนเถียนพยักหน้ารับโดยที่ยังไม่เข้าใจเรื่องทั้งหมด
หล่อนยังเด็กเกินกว่าที่จะตระหนักถึงความร้ายแรงของเรื่องนี้
เมื่อมาถึงโรงพยาบาล เถียนเถียนก็ได้เห็นพ่อแม่นอนอยู่บนเตียงในโรงพยาบาล หล่อนตกใจมากจนร้องไห้ออกมา
ไป๋ลู่มาถึงก่อนเถียนเถียนและร้องไห้ไปแล้ว เมื่อเห็นสิ่งนี้ หล่อนจึงเข้าไปอุ้มเถียนเถียนไว้ในอ้อมแขนและเกลี้ยกล่อมอยู่นาน ก่อนที่เด็กน้อยจะหยุดร้องไห้
เถียนเถียนเงยใบหน้าเล็กและถามว่า “น้ารอง ถ้าหนูคุยกับแม่ไปเรื่อย ๆ แม่จะตื่นขึ้นมาไหมคะ?”
ไป๋ลู่พยักหน้า “แม่ของหนูคงไม่ตื่นขึ้นมาเร็ว ๆ นี้ ดังนั้นเถียนเถียนต้องคุยกับคุณแม่ทุกครั้งที่มีเวลานะคะ เพื่อที่หล่อนจะได้ตื่นขึ้นมาโดยเร็ว”
เถียนเถียนกินข้าวเย็นที่ฟางจั๋วหรานซื้อมาจากโรงอาหาร จากนั้นหล่อนและไป๋ลู่ก็มายืนที่ข้างเตียงไป๋เหยียนเพื่อพูดคุยกับหญิงสาว
หลินม่ายโยนกล่องข้าวเปล่าลงถังขยะนอกห้องผู้ป่วย เธอเดินกลับเข้ามาและถามพ่อไป๋ว่ายังไหวอยู่ไหม ถ้าไม่ไหว เขาควรกลับไปนอนพักผ่อนก่อน
พ่อไป๋พยักหน้า “ไม่เป็นไร ลูกไม่ต้องห่วงพ่อนะ”
หลินม่ายนั่งลงเคียงข้างเขา “พี่เขยตื่นแล้วเหรอคะ?”
พ่อไป๋พยักหน้ารับ “เขาตื่นขึ้นมาครั้งหนึ่งกลางดึก แต่เพียงไม่กี่นาที เขาก็หลับไปอีกครั้ง”
………………………………………………………………………………………………………………………….
สารจากผู้แปล
หวิดโดนเข้าคุกแล้วไง คิดจะจับหลานเป็นตัวประกันเหรอ ไปดูลูกชายที่นอนโคม่าก่อนเถอะ
ตอนนี้ความหวังอยู่ที่เถียนเถียนแล้วนะคะ