แม่ปากร้ายยุค 80 - ตอนที่ 1052 ไป๋เหยียนอยู่ในอาการโคม่า
ตอนที่ 1052 ไป๋เหยียนอยู่ในอาการโคม่า
ตอนที่ 1052 ไป๋เหยียนอยู่ในอาการโคม่า
แม้ว่าหัวใจไป๋เหยียนจะกลับมาเต้นอีกครั้ง แต่หล่อนยังคงอยู่ในอาการโคม่า
หลินม่ายถามแพทย์ด้วยความกังวล “ทำไมพี่สาวของฉันถึงยังไม่ฟื้นล่ะคะ?”
หลังจากที่แพทย์ทำการตรวจไป๋เหยียนหลายครั้ง เขาตอบว่า “ผู้ป่วยอาจได้รับบาดเจ็บสาหัสจนทำให้เลือดออกในสมอง ดังนั้นหล่อนจึงอยู่ในอาการโคม่าเป็นเวลานาน เรายังยืนยันไม่ได้จนกว่าจะได้เอกซเรย์ แล้วจึงจะรู้ผลครับ”
หลินม่ายพูดกับเผิงอันน่า “คุณกลับไปทำงานเถอะค่ะ”
เผิงอันน่าถามด้วยความกังวล “คุณอยู่คนเดียวได้ใช่ไหม?”
หลินม่ายยิ้ม “ฉันไม่เป็นไรค่ะ”
เผิงอันน่าตบไหล่พลางปลอบโยนเธอ ก่อนขอตัวจากไป
หลินม่ายตามพยาบาล เพื่อมาเข็นเตียงไป๋เหยียนไปเอกซเรย์สมอง
แม้จะอยู่ในโรงพยาบาลขนาดใหญ่ที่มีชื่อเสียง แต่ในขณะเข้ารับการรักษาก็ไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะตรวจเลยได้ทันทีและต้องเข้าแถวรอเป็นเวลานาน
ทว่ากรณีของไป๋เหยียนนั้นเป็นกรณีพิเศษ แพทย์ต้องการทราบผลโดยเร็วที่สุด เพื่อที่จะวางแผนทำการช่วยเหลือเพื่อปลุกหล่อนขึ้นมา
ยิ่งอาการโคม่าคงอยู่นานเท่าไร หล่อนยิ่งมีโอกาสนอนนิ่งกลายเป็นผักง่ายขึ้นเท่านั้น
พยาบาลที่มากับหล่อนเปิดช่องสีเขียวให้ไป๋เหยียน เพื่อให้หล่อนได้ตรวจเป็นอันดับแรก
ผู้ป่วยและสมาชิกในครอบครัวที่รออยู่ข้างหลังต่างเต็มไปด้วยความขุ่นเคือง โดยกล่าวหาว่าโรงพยาบาลให้สิทธิ์พิเศษกับคนอื่น
แพทย์ที่ทำการตรวจอธิบายว่า “สถานการณ์ของผู้ป่วยค่อนข้างพิเศษ”
คำพูดของเขาทำให้เกิดความไม่พอใจอย่างมาก “ใครบ้างที่เข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลโหย่วเหอแล้วจะไม่ใช่ผู้ป่วยวิกฤต? เคสไหนบ้างที่ไม่พิเศษ? มาแซงคิวแบบนี้เราก็ต้องรอเพิ่มอีก 10 นาที เคยคิดไหมว่าคนป่วยในครอบครัวเราอาจทนไม่ได้!”
หลินม่ายและพยาบาลออกไปตรวจกับไป๋เหยียนท่ามกลางเสียงวิพากษ์วิจารณ์
เมื่อส่งไป๋เหยียนกลับห้องฉุกเฉิน หลินม่ายขอให้พยาบาลให้ความสนใจไป๋เหยียนมากขึ้นขณะที่รออยู่นอกห้อง
หลังจากรอสักระยะหนึ่ง ในที่สุดพยาบาลก็ออกจากห้องฉุกเฉิน
พยาบาลตอบเพียงว่า “ไม่ค่อยสู้ดีเลยค่ะ” แล้วรีบจากไป
หลินม่ายเดินไปมาระหว่างเตียงโรงพยาบาลและห้องฉุกเฉินเพื่อรออย่างอดทน
เมื่อกลับมายังห้องพักผู้ป่วยของไป๋เหยียน เธอนั่งลงด้านข้างเตียงพลางขมวดคิ้วมุ่น ขณะเดียวกันก็มีกล่องอาหารยื่นมาตรงหน้าเธอ
จากนั้นหลินม่ายก็เพิ่งนึกได้ว่าเธอยังไม่ได้กินข้าวกลางวัน
เธอเงยหน้าขึ้นมองและเห็นว่าเป็นฟางจั๋วหราน จึงหยิบกล่องอาหารกลางวันมาเปิดออก ก่อนเห็นเป็นอาหารง่าย ๆ พร้อมกับข้าวขาว
หลินม่ายกินอาหารไปสองคำแล้วถามว่า “คุณรู้ได้ยังไงคะว่าฉันอยู่ที่นี่?”
“เพื่อนร่วมงานผมบอกมา คุณสวยขนาดนี้ ใครบ้างจะจำคุณไม่ได้เมื่อมาที่โรงพยาบาล?”
หลินม่ายคิดกับตัวเอง ต่อให้เธอไม่ได้มีหน้าตาสวยงาม แต่เพราะพ่อของเธอเข้ารักษาตัวในโรงพยาบาลก่อนหน้า ทำให้เธอต้องมาที่นี่หลายครั้งต่อวัน ใครบ้างจะจำเธอไม่ได้?
หลินม่ายกินข้าวในกล่องไปได้เพียงครึ่งเดียว แพทย์ที่ดูแลไป๋เหยียนก็เข้ามาพร้อมกับฟิล์มเอกซเรย์สมอง
เมื่อเห็นฟางจั๋วหรานอยู่ด้วย แพทย์คนนั้นตกตะลึงครู่หนึ่งและรีบกล่าวทักทายด้วยความเคารพ จากนั้นจึงอธิบายสถานการณ์ของพี่สาวคนโตให้หลินม่ายฟัง
จากการตรวจสอบในปัจจุบัน สมองของไป๋เหยียนไม่มีรอยโรคที่ชัดเจน
หลินม่ายถามด้วยความสงสัย “แล้วทำไมพี่สาวของฉันถึงไม่ตื่นล่ะคะ?”
ฟางจั๋วหรานส่งสัญญาณให้เธอสงบสติอารมณ์และรอให้หมอพูดจบก่อน
แพทย์คาดเดาว่า “อาจเป็นไปได้ว่าพี่สาวคนโตของคุณไม่อยากตื่นมาเผชิญกับความเป็นจริง ซึ่งเป็นสาเหตุที่หล่อนยังคงอยู่ในอาการโคม่า เรื่องนี้จำเป็นต้องให้คนในครอบครัวใช้ความรักปลุกหล่อนขึ้นมา ยิ่งอยู่ในอาการโคม่านานเท่าไรก็ยิ่งส่งผลเสียต่อผู้ป่วยมากขึ้นเท่านั้น ผมหวังว่าคุณจะปลุกผู้ป่วยให้ตื่นโดยเร็วที่สุด”
สิ้นเสียง เขาขอตัวไปตรวจคนไข้รายอื่น
หลินม่ายกังวลมากและไม่รู้จะทำอย่างไรเพื่อปลุกไป๋เหยียน
ฟางจั๋วหรานกล่าว “ลูกคือหัวใจและจิตวิญญาณของแม่ คุณไปรับเถียนเถียนมาที่นี่ให้หล่อนปลุกพี่ไป๋เหยียน มันจะต้องได้ผลแน่ อีกอย่างพี่เขยกับพ่อของคุณก็ต้องมาช่วยสนับสนุนเช่นกัน เราต้องไม่ละทิ้งความหวังอันริบหรี่สิ”
เมื่อเห็นว่าอาหารของหลินม่ายเย็นชืดแล้ว ฟางจั๋วหรานจึงอยากซื้อให้เธอใหม่อีกกล่อง
แต่หลินม่ายโบกมือปฏิเสธ ตอนนี้เป็นเดือนมิถุนายนแล้ว กินข้าวเย็นบ้างก็ไม่เป็นไร
พยาบาลแผนกศัลยกรรมเข้ามาแจ้งฟางจั๋วหรานว่ามีเคสผ่าตัดเร่งด่วน และขอให้เข้าปฏิบัติการทันที ดังนั้นฟางจั๋วหรานจึงต้องตามพยาบาลคนนั้นออกไป
หลินม่ายลุกไปนั่งด้านนอกห้องฉุกเฉินสักพักหนึ่ง ในที่สุดเตียงของหยางจิ้นก็ถูกเข็นออกมา
เธอรีบก้าวไปข้างหน้าเพื่อถามถึงสถานการณ์ของหยางจิ้น
หัวหน้าศัลยแพทย์กล่าวอย่างเคร่งขรึม “แม้เราจะรักษาอาการของผู้ป่วยได้ชั่วคราว แต่สถานการณ์กลับยังไม่สู้ดีนัก ไตของเขาได้รับความเสียหายอย่างรุนแรง และขณะนี้เขากำลังประสบกับภาวะไตวายเฉียบพลัน”
เมื่อหลินม่ายได้ยินคำว่าไตวาย หัวของเธอก็แทบระเบิด “นั่นหมายความว่าผู้ป่วยจำเป็นต้องปลูกถ่ายไตหรือเปล่าคะ?”
เธอเชื่อว่าหยางจิ้นสามารถจ่ายเงินค่าปลูกถ่ายไตได้
แต่ปัญหาคือหลังจากการปลูกถ่ายไต ในอนาคตเขาจะเป็นคนไร้ประโยชน์และไม่สามารถทำงานหนักได้เลย แล้วตอนนี้พี่สาวคนโตก็ยังไม่ฟื้นจากอาการโคม่า
เป็นสถานการณ์ที่น่าหนักใจจริง ๆ
แพทย์ส่ายหัว “ไตวายเฉียบพลันแตกต่างจากโรคไตเรื้อรังซึ่งสามารถรักษาให้หายได้ หากอาการกลับเป็นปกติ ผู้ป่วยก็สามารถฟื้นตัวได้ ในทางกลับกัน หากไม่หายเป็นปกติ อาการผู้ป่วยจะทรุดลงโดยไม่ทันได้ปลูกถ่ายไต และจะเสียชีวิตในไม่ช้า เราได้ทำการฟอกไตครั้งแรกให้กับคนไข้แล้ว และเราจำเป็นต้องฟอกไตต่อไปอีกหนึ่งสัปดาห์ สัปดาห์นี้สำคัญที่สุด หากอาการดีขึ้น คนไข้ก็จะไม่มีปัญหาใด ๆ แต่หากอาการไม่ดีขึ้น ทุกคนในครอบครัวอาจต้องเผื่อใจไว้บ้างนะครับ”
แม้ว่าอาการของหยางจิ้นจะไม่สู้ดี แต่เขาไม่จำเป็นต้องอยู่ในห้องฉุกเฉิน
หลินม่ายขอห้องเตียงคู่ให้เขาและย้ายไป๋เหยียนเข้าไป
สามีภรรยาอยู่ในห้องพักเดียวกัน จะได้สะดวกต่อการดูแล
หลังจากเตรียมห้องให้พี่สาวและพี่เขยแล้ว หลินม่ายก็เห็นว่ามันเป็นเวลาสี่โมงเย็น และเถียนเถียนกำลังเลิกเรียน
เธอโทรหาป้าที่เป็นผู้จัดการหอพักของไป๋ลู่ โดยฝากบอกไป๋ลู่ให้มาโรงพยาบาล พี่สาวและพี่เขยของเธอต่างก็ประสบปัญหาและนอนพักรักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาล
เมื่อได้ยินสิ่งนี้ ป้าผู้ดูแลหอพักก็รีบไปหาไป๋ลู่ แต่กลับไม่มีใครอยู่ในห้องของไป๋ลู่
ป้าในหอพักตอบหลินม่ายด้วยความเสียใจ บอกว่าหล่อนไม่เห็นไป๋ลู่เลย
หลินม่ายตอบรับไม่กี่คำ จากนั้นจึงโทรหาพ่อไป๋
เดิมทีเธอต้องการให้ไป๋ลู่มาช่วยดูแลพี่สาวและพี่เขย ขณะที่เธอไปรับเถียนเถียนจากโรงเรียน
แต่เนื่องจากไม่สามารถติดต่อไป๋ลู่ได้ เธอจึงขอให้พ่อไป๋มาดูแลไป๋เหยียนและสามีชั่วคราว
แม้พ่อไป๋จะยังอ่อนแอมาก แต่คงไม่เป็นไรหากขอให้เข้ามาเฝ้าอยู่ข้างเตียงพี่สาวและพี่เขยเพียงครู่หนึ่ง
หากเกิดอะไรขึ้นกับคนไข้ เขาจะได้เรียกหาพยาบาลและแพทย์ได้ทันเวลา
พ่อไป๋ตกใจมากเมื่อได้รับโทรศัพท์จากหลินม่าย เขาถามว่าไป๋เหยียนและสามีเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลได้อย่างไร
หลินม่ายเล่าเรื่องราวทั้งหมดให้เขาฟังโดยสังเขป
พ่อไป๋รีบขับรถมาโรงพยาบาล หลังเห็นลูกสาวคนโตและลูกเขยนอนไม่ได้สติอยู่บนเตียง หัวใจเขาก็รู้สึกเจ็บปวดมาก
หลินม่ายบอกให้เขาคุยกับพี่สาวคนโตถ้าไม่มีอะไรทำ และพยายามปลุกเธอให้ตื่น เธอจะไปรับเถียนเถียนจากโรงเรียน เพื่อให้เด็กน้อยมาพูดคุยกับแม่และปลุกเธอให้ตื่น
เมื่อหลินม่ายมาถึงหน้าประตูโรงเรียน คุณครูกำลังส่งเด็กนักเรียนกลับบ้าน
พ่อแม่หลายคนรีบรับลูกกลับบ้าน
คุณครูมีความรับผิดชอบสูงและรู้จักพ่อแม่ของเด็กเป็นอย่างดี หล่อนพยักหน้าและปล่อยให้ผู้ปกครองรับลูกกลับไป
สำหรับผู้ปกครองที่ไม่รู้จัก หล่อนจะถามนักเรียนเป็นการยืนยันว่าไม่มีปัญหา ก่อนที่จะปล่อยให้ไปรับ
หลินม่ายลงจากรถและเดินไปหาเถียนเถียน ซึ่งกำลังรออยู่ในกลุ่มนักเรียนอย่างกระตือรือร้น
ทันใดนั้นผู้หญิงคนหนึ่งก็เข้ามาอุ้มเถียนเถียนตัดหน้าและกำลังเดินจากไป
ครูสาวรีบหยุดผู้หญิงคนนั้นไว้ทันที “คุณเป็นอะไรกับหยางเถียนเถียนคะ? ทำไมฉันไม่เคยเห็นคุณมาก่อนเลย?”
………………………………………………………………………………………………………………………….
สารจากผู้แปล
สถานการณ์ไม่สู้ดีทั้งคู่เลย เอาใจช่วยให้ฟื้นตัวไวๆ นะคะ
ใครมาแย่งตัวเถียนเถียนไป? ปัดโธ่ ครอบครัวม่ายจื่อกำลังวิกฤตอยู่ยังมาซ้ำเติมกันได้