แม่ปากร้ายยุค 80 - ตอนที่ 1051 หยางจิ้นฆ่าตัวตายกะทันหัน
ตอนที่ 1051 หยางจิ้นฆ่าตัวตายกะทันหัน
ตอนที่ 1051 หยางจิ้นฆ่าตัวตายกะทันหัน
ไช่หานปิงและผู้อำนวยการจูคิดเพียงว่าตราบใดที่ฉีฟางจากไป พวกเขาก็จะไม่มีปัญหาใด
ทว่าพวกเขาไม่คาดคิดว่าคนรักของผู้อำนวยการจูจะมาโจมตีอย่างกะทันหัน และถูกจับได้คาหนังคาเขาบนโซฟาในห้องทำงานของผู้อำนวยการจู
หล่อนยังตะโกนเสียงดังอีกว่ามีคนข่มขืนกัน ส่งผลให้ทุกคนทั้งชั้นเข้ามารวมตัวกันอย่างรวดเร็ว
ผู้อำนวยการจูและไช่หานปิงหวาดกลัวมากจนแข็งค้างทำอะไรไม่ถูก ทั้งสองคนต่างก็เปลือยเปล่าและกำลังอยู่ในท่วงท่าที่น่ารังเกียจ ทำให้ผู้คนที่เห็นถึงกับเบือนหน้าหนี
หลังจากนั้นประมาณสองหรือสามนาที ผู้อำนวยการจูและไช่หานปิงก็กลับมามีสติพร้อมรีบสวมใส่เสื้อผ้า
ก่อนหน้านี้ทั้งสองคนอ้างว่าความบริสุทธิ์ของตน แต่ตอนนี้พวกเขาถูกจับได้แบบคาหนังคาเขาโดยมีผู้คนจำนวนมากเห็นเหตุการณ์นี้โดยตรง ทำให้ไช่หานปิงและผู้อำนวยการจูไม่มีทางเลือกนอกจากต้องยอมรับความผิด
ทั้งสองคนถูกประณามอย่างรุนแรงตามที่ฉีฟางคาดหวังไว้ คนหนึ่งสูญเสียตำแหน่งอย่างเป็นทางการ ในขณะที่อีกคนถูกเพิกถอนโอกาสศึกษาต่อต่างประเทศด้วยทุนรัฐบาล
เมื่อข้อกล่าวหาต่อฉีฟางได้รับการพิสูจน์แล้วว่าเป็นเท็จ คดีหมิ่นประมาทจึงถูกเพิกถอน โรงงานได้จ้างเธออีกครั้ง และมหาวิทยาลัยชิงหวาก็ยกเลิกการลงโทษทางวินัยต่อหล่อน
ในทางกลับกัน ผู้อำนวยการจูและไช่หานปิงต้องชดเชยความเสียหายให้กัยหล่อน
ผู้อำนวยการจูถูกภรรยาจับได้ว่านอกใจ ทั้งคู่จึงหย่าร้างกันในที่สุด
ภรรยาของเขารักเงินมาก เมื่อได้ยินว่าเขาต้องชดเชยให้ฉีฟางเป็นเงินจำนวนหนึ่ง หล่อนจึงขอหย่าทันที
เขาวิ่งหน้าตั้งไปที่โรงงานและชี้นิ้วสาปแช่งฉีฟาง “หากไม่ใช่เพราะแกนังผู้หญิงเจ้าเล่ห์ที่มาบ้านของฉันและสนับสนุนให้ฉันจับคนมาล่วงประเวณี แกคิดหรือว่าจะได้กลับมาที่โรงงานอีก? ไม่เพียงแกไม่ขอบคุณฉันเท่านั้น แต่ยังมาเรียกร้องให้ชดเชยด้วยเงิน นี่แกยังเป็นคนอยู่หรือเปล่า?”
ทุกคนต่างตกตะลึง ไม่น่าแปลกใจเลยที่จู่ ๆ ภรรยาของผู้อำนวยการจูจะวิ่งมาที่โรงงานเพื่อจับเขา ปรากฏว่าฉีฟางอยู่เบื้องหลังมาโดยตลอด
ฉีฟางรู้ว่าภรรยาของผู้อำนวยการจูนั้นอิจฉาริษยาและอารมณ์ร้าย หล่อนไม่มีทางทนเห็นสามีนอกใจได้เป็นแน่
ดังนั้นฉีฟางจึงไปบอกหล่อนว่า สามีของเธอกำลังมีความสัมพันธ์กับเด็กสาว กระตุ้นให้หล่อนจับพวกเขาและทำลายคนทั้งสองให้ย่อยยับ เพื่อบรรเทาความเกลียดชังของตน
แต่หล่อนไม่รู้ว่าภรรยาของผู้อำนวยการจูจะเห็นแก่เงินมากพอ ๆ กับชีวิตของหล่อน หากหล่อนรู้ คงไม่เรียกร้องเงินค่าทำขวัญ
ทุกคนจึงได้รับรู้ตัวตนที่แท้จริงของฉีฟาง และพยายามตีตัวออกห่างจากหล่อน
หัวหน้าแผนกในโรงงานไม่ชอบหล่อนเช่นกัน เพราะกลัวว่าจะเผลอทำให้หล่อนขุ่นเคืองจนถูกหล่อนแทงข้างหลัง
ก่อนที่การฝึกงานจะสิ้นสุดลง ในที่สุดพวกเขาก็พบเหตุผลที่จะไล่หล่อนออก
ฉีฟางกินไม่ได้นอนไม่หลับอยู่สองวัน และต้องออกจากโรงงานอีกครั้งด้วยความสิ้นหวัง
เวลาล่วงเลยมาถึงเดือนมิถุนายน และมาถึงวันที่ต้องอภิปรายวิทยานิพนธ์
หลินม่ายเตรียมตัวมาอย่างดีและผ่านการอภิปรายวิทยานิพนธ์ง่ายดาย
เด็กสาวหลายคนในหอพักมาแสดงความยินดีและต้องการกินอาหารด้วยกันเพื่อฉลอง
พวกหล่อนมาจากภาควิชาที่แตกต่างกัน ไม่มีใครรู้ว่าจะมีงานเลี้ยงในวันรับปริญญาหรือเปล่า ดังนั้นมันจึงดีกว่าที่พวกเขาจะไปฉลองกันก่อน
เหมียวเหมียวแนะนำว่ามื้อสุดท้ายต้องเป็นอาหารมื้อใหญ่
หลินม่ายถามอย่างเป็นกันเองว่าอยากไปที่ไหน
กัวเซี่ยงหงพูดขึ้น “ไม่ใช่ว่ามีร้านอาหารสไตล์ฮ่องกงอยู่หน้ามหาวิทยาลัยเราเหรอ? ไปกินอาหารที่ร้านนั้นกันเถอะ”
สมัยนี้อะไรก็ตามที่เกี่ยวข้องกับฮ่องกงมักมีราคาแพง รวมถึงร้านอาหารด้วย
หลินม่ายพูดแย้ง “ร้านอาหารสไตล์ฮ่องกงมีราคาแพงมาก ไปหาร้านอื่นกันเถอะ”
เด็กสาวหลายคนลากเธอออกไป “อยู่กับเทพเจ้าแห่งความมั่งคั่งเสียอย่าง เธอจะกลัวอะไร?”
เมื่อถึงเวลาสั่งอาหาร พวกเธอสั่งไปทั้งหมด 10 จาน ซึ่งราคามากกว่า 300 หยวน หลินม่ายรู้สึกลำบากใจ แต่เพื่อนร่วมหอพักเรียกเธอว่าคนขี้เหนียว เธอจึงใช้ตะเกียบเคาะหัวพวกหล่อนทีละคน
ในเวลานี้โทรศัพท์มือถือในกระเป๋าก็ดังขึ้น เป็นเผิงอันน่าที่โทรมา
หล่อนบอกหลินม่ายทางโทรศัพท์ว่า หยางจิ้นพี่เขยของเธอพยายามฆ่าตัวตาย และกำลังรับการรักษาตัวในโรงพยาบาล
หลินม่ายรู้สึกเหมือนหัวจะระเบิด เธอถามว่าหยางจิ้นอยู่ที่โรงพยาบาลไหน จากนั้นเธอโยนเงิน 300 หยวนลงบนโต๊ะและขอให้เพื่อน ๆ จ่ายบิลหลังจากกินอาหารเสร็จ ขณะที่เธอต้องรีบออกไปทำธุระด่วน
เพื่อนร่วมหอพักหลายคนรีบยัดเงิน 300 หยวนกลับไปใส่ในมือหลินม่าย บอกให้เธอรีบไปโรงพยาบาลโดยเร็ว พวกหล่อนสามารถจ่ายค่าอาหารเหล่านี้ได้ และหลินม่ายไม่ต้องกังวล
หลินม่ายขับรถเร็วมากตลอดทางมาถึงโรงพยาบาล ครุ่นคิดในใจว่าเหตุใดหยางจิ้นถึงพยายามฆ่าตัวตายอย่างกะทันหันเช่นนี้
เขามีครอบครัวที่มีความสุข มีความสัมพันธ์ที่ดีกับภรรยา และไม่มีเหตุผลอะไรเลยที่จะฆ่าตัวตาย
มันไม่น่าจะเป็นเพราะอิทธิพลทางครอบครัวหยาง โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับหยางจิ้นที่เคยปล่อยให้ครอบครัวครอบงำตัวเอง
หลินม่ายรีบไปโรงพยาบาล ก่อนเห็นเผิงอันน่ารออยู่ตามลำพังนอกห้องผ่าตัด
เมื่อเห็นเผิงอันนา เธอจึงรีบถามว่าเกิดอะไรขึ้น
เผิงอันน่าบอกว่า เมื่อเช้านี้หัวหน้าได้มอบหมายงานให้เธออย่างกะทันหัน โดยระบุว่ามีคนกำลังพยายามฆ่าตัวตายที่องค์การบริหารส่วนตำบลบนถนนซุ่ยเหวิน
เมื่อเธอรีบเดินทางไป พบว่าหยางจิ้นดื่มดื่มยาฆ่าแมลงเพื่อฆ่าตัวตาย ขณะนอนชักเกร็งอยู่บนพื้น
นายกหวงจากองค์การบริหารส่วนตำบลไม่รีบโทรแจ้งตำรวจ โดยบอกว่ายาฆ่าแมลงที่หยางจิ้นดื่มไปนั้นเป็นของปลอม
เผิงอันน่ามักไปโรงพยาบาลเพื่อเยี่ยมพ่อไป๋ขณะที่เขารับการรักษาตัว เธอพบกับหยางจิ้นหลายครั้งและจำเขาได้ดี
ตอนนั้นเผิงอันน่าโกรธมากจนเปิดเผยตัวตน จากนั้นกดหมายเลข 120 เพื่อขอความช่วยเหลือฉุกเฉิน ในที่สุดหยางจิ้นจึงถูกนำตัวส่งโรงพยาบาลโหย่วเหอเพื่อรับการช่วยชีวิต
หลินม่ายเริ่มสับสนมากขึ้นเรื่อย ๆ พี่เขยของเธอไปยังองค์การบริหารส่วนตำบลเพื่อเรียกร้องความยุติธรรมหรือ?
เธอมองประตูห้องผ่าตัดแล้วถามว่า “พี่เขยของฉันเข้าไปนานแค่ไหนแล้วคะ?”
“ไม่นานค่ะ อาจราวครึ่งชั่วโมง ฉันโทรหาคุณทันทีที่พี่เขยของคุณถูกนำส่งห้องฉุกเฉิน”
เผิงอันน่ากล่าวเสริม “ฉันไม่ทราบหมายเลขโทรศัพท์พี่สาวคนโตของคุณ จึงยังไม่ได้แจ้งหล่อนเลยค่ะ”
“ฉันจะแจ้งให้หล่อนทราบเองค่ะ”
หลินม่ายหยิบโทรศัพท์มือถือออกมาและกดหมายเลขโทรศัพท์ของหน่วยงานที่ไป๋เหยียนพี่สาวคนโตทำอยู่
เธอไม่กล้าบอกความจริงกับพี่สาวคนโต เพียงแต่บอกว่าพี่เขยประสบอุบัติเหตุและขอให้มาโรงพยาบาลโดยเร็ว
นับตั้งแต่พ่อไป๋ประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์ ไป๋เหยียนก็รู้สึกหวาดกลัวกับคำว่า “อุบัติเหตุ” และรู้สึกอยู่เสมอว่ามีบางอย่างผิดปกติ
หล่อนตื่นตระหนกและรีบนั่งแท็กซี่มายังโรงพยาบาล เมื่อเห็นหลินม่าย หล่อนก็ละล่ำละลักถามทันใด “บอกพี่มา พี่เขยเธอเป็นอะไรไป? แล้วทำไมเธอถึงมาอยู่หน้าห้องผ่าตัด?”
เมื่อเห็นอีกฝ่ายเป็นแบบนี้ หลินม่ายยิ่งไม่ต้องการบอกจริง เพราะเกรงว่าหล่อนคงไม่สามารถรับความจริงได้ แต่ไม่อย่างไรก็คงต้องบอกออกไปอยู่ดี
เธอกัดฟันและตอบกลับคำเบา “พี่เขย…พยายามฆ่าตัวตาย และกำลังได้รับการช่วยเหลือ”
ดวงตาของไป๋เหยียนมืดหม่นทันใด พร้อมกับสติสัมปชัญญะที่ดับลง
หลินม่ายรีบเข้าไปกอดและประคองให้นั่งบนเก้าอี้ เธอพยายามบีบนวดอีกฝ่าย ทว่าพี่สาวคนโตก็ไม่ตอบสนองเลย
เผิงอันน่ารีบตะโกนด้วยความกังวล “หมอคะ พยาบาลคะ มีคนเป็นลมตรงนี้ ช่วยด้วยค่ะ!”
พยาบาลหลายคนรีบเข้ามาทันที และส่งไป๋เหยียนไปที่ห้องฉุกเฉินเพื่อช่วยเหลือ
มันไม่ใช่การผ่าตัดหรือการล้างท้อง พวกเขาเพียงแค่ต้องช่วยให้ผู้ป่วยฟื้นคืนสติ และสมาชิกในครอบครัวก็สามารถอยู่ด้วยได้ในระหว่างกระบวนการนี้
หลินม่ายและเผิงอันน่าตามเข้ามาในห้อง เห็นนางพยาบาลตรวจดูรูม่านตาของไป๋เหยียน บีบแก้มของหล่อนและช่วยกระตุ้นลมหายใจอย่างชำนาญ ทว่าไป๋เหยียนก็ยังไม่ตอบสนอง และอัตราการเต้นของหัวใจก็หยุดลง
แพทย์ที่อยู่เคียงข้างถามหลินม่ายและเผิงอันน่าเกี่ยวกับสาเหตุของอาการโคม่ากะทันหัน เมื่อเขาเห็นเส้นตรงของคลื่นไฟฟ้าหัวใจ เขารีบสั่งให้หัวหน้าพยาบาลทำการช็อตไฟฟ้าเพื่อช่วยชีวิตทันที
หลังจากเกิดความวุ่นวายมาระยะหนึ่ง ในที่สุดหัวใจของไป๋เหยียนก็กลับมาเต้นอีกครั้ง แต่หล่อนก็ยังคงหมดสติอยู่
หลินม่ายรู้สึกกระวนกระวายจนหัวใจแทบทะลุออกจากหน้าอก ไม่นานเธอก็เริ่มผ่อนคลายลงเล็กน้อย
ในเวลาไม่ถึงนาที ชุดของเธอเปียกโชกไปด้วยเหงื่อที่ไหลโซมกาย
พี่เขยยังอยู่ในห้องฉุกเฉินไม่รู้เป็นตายร้ายดีอย่างไร พี่สาวคนโตของเธอกลับเป็นเช่นนี้อีก
เมื่อไม่นานมานี้เธอเพิ่งต่อสู้เพื่อเรียกร้องความยุติธรรมของพ่อในอุบัติเหตุทางรถยนต์ หลินม่ายรู้สึกเหมือนมีน้ำหนักมหาศาลกดทับบนไหล่ เธออยากจะเป็นลมหมดสติให้รู้แล้วรู้รอด เพื่อไม่ต้องทนรับแรงกดดันเหล่านี้อีก
แต่เธอตระหนักรู้ว่าตนจะล้มไม่ได้
หากเธอล้ม จะเกิดอะไรขึ้นกับพี่สาวคนโตและพี่เขย และจะเกิดอะไรขึ้นกับเสี่ยวเถียนเถียน?
พ่อไป๋เพิ่งรอดตายจากอุบัติเหตุทางรถยนต์ได้อย่างหวุดหวิด แม้ว่าเขาจะได้กลับไปทำงาน แต่ก็ยังอ่อนแอมากและไม่สามารถพึ่งพาเขาในเรื่องใหญ่เช่นนี้ได้
ไป๋เซี่ยกลับไปทำงานแล้ว ซึ่งน้ำจากระยะไกลไม่สามารถดับความกระหายได้ทันที
แม้ว่าไป๋ลู่จะเป็นพี่สาว แต่หล่อนไม่สามารถรับมือกับสถานการณ์โดยรวมได้
ปัจจุบันจึงมีเพียงตัวเธอเท่านั้นที่สามารถดูแลตระกูลไป๋ได้
………………………………………………………………………………………………………………………….
สารจากผู้แปล
ยัยฉีฟางโดนน้อยไปนะ ต้องโดนแบนหนักๆ จากที่ทำงานทุกที่ แบบไปที่ไหนก็ไม่มีใครรับเข้าทำงานเลย
เคราะห์ซ้ำกรรมซัดจริงๆ ม่ายจื่อเอ๊ย คนในครอบครัวล้มพร้อมกันแบบนี้ หาเวลาไปทำบุญหน่อยก็ดีนะ