แม่ปากร้ายยุค 80 - ตอนที่ 1038 พ่อไป๋ประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์
ตอนที่ 1038 พ่อไป๋ประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์
ตอนที่ 1038 พ่อไป๋ประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์
ชั่วพริบตา เวลากว่าหนึ่งเดือนก็ผ่านพ้นไป หลินม่ายฝึกงานที่โรงงานวิทยุหย่งเชิงได้เกือบสองเดือนแล้ว
“ชื่อเสียง” ของหลินม่ายแพร่กระจายไปทั่วตั้งแต่วันที่เธอโต้เถียงกับผู้อำนวยการจูในโรงอาหาร
ทุกคนเริ่มถามถึงภูมิหลังและต้นกำเนิดของเธอ รวมถึงผู้อำนวยการจูด้วย
หญิงสาวที่พกพาโทรศัพท์มือถือและเรียกคนมาช่วยเหลือจางซานยกกระสอบข้าวได้นั้นต้องไม่ใช่คนธรรมดาแน่นอน
เมื่อทุกคนต้องการรู้จักกับหลินม่าย แน่นอนว่าพวกเขาต้องมาพูดคุยกับโก่วเวินซึ่งเป็นเพื่อนร่วมชั้น
แน่นอนว่าโก่วเวินและไช่หานปิงไม่ต้องการเล่าถึงความโดดเด่นของหลินม่ายให้ใครทราบ
โดยเฉพาะโก่วเวินที่เล่าแต่เรื่องอื้อฉาวของหลินม่ายอย่างเมามัน
ประโยคสุดท้ายกล่าวไว้ว่า “หล่อนมีโทรศัพท์มือถือทั้งที หล่อนต้องโอ้อวดสิ เดี๋ยวคนอื่นจะไม่รู้ว่าหล่อนรวย”
ผู้หญิงหลายคนเม้มปาก ก่อนจะนึกคิดว่าหากพวกหล่อนมีโทรศัพท์ ตนอาจจะโอ้อวดยิ่งกว่าหลินม่ายด้วยซ้ำ!
อย่าเผยความอิจฉาออกมาจะดีกว่า
หลังจากทุกคนรู้ว่าหลินม่ายคือประธานว่านทงกรุ๊ป ทั้งหมดจึงไม่แปลกใจ
และไม่น่าแปลกใจที่หลินม่ายผู้มีชื่อเสียงนี้จะไม่ได้รับการยอมรับจากเพื่อนร่วมงาน
ประการแรก ไม่มีใครคิดว่าหลินม่ายจะมาฝึกงานที่โรงงานแห่งนี้ และประการที่สอง หลินม่ายไม่ได้ปรากฏตัวต่อหน้าสื่อเป็นเวลานานแล้ว
แน่นอนว่าเธอจะถูกลืมเมื่อไม่ได้เปิดตัวหน้ากล้อง อีกทั้งการเป็นผู้ประกอบการก็ไม่แตกต่างกันใช่ไหม?
แต่เพราะในยุคนี้ไม่มีสถานีดาวเทียม ประชาชนในเมืองหลวงไม่สามารถรับชมรายการของสถานีโทรทัศน์ท้องถิ่นมณฑลหูเป่ยได้ นั่นหมายความว่าเธอไม่ได้ปรากฏตัวในสื่อของเมืองหลวง
ทันทีที่ทุกคนทราบถึงตัวตนของหลินม่ายแล้ว พวกเขายิ่งกระตือรือร้นอยากจะรู้จักกับเธอ
ใครบ้างที่ไม่อยากจะมีความสัมพันธ์กับเธอ? แม้จะไม่อาจกอดต้นขาหลินม่ายได้ แต่การได้พูดคุยก็นับว่ายอดเยี่ยม
ดวงตาของโก่วเวินร้อนผ่าวด้วยความอิจฉา หล่อนเกลียดหลินม่ายเพราะอีกฝ่ายมีชื่อเสียงมากเกินไป
ผู้อำนวยการจูดีใจมากที่มันไม่สายเกินไปกับการรู้จักตัวตนของหลินม่ายในตอนนี้ อีกอย่างเขายังไม่ได้สร้างความขุ่นเคืองให้กับเธอเกินไปนัก
เขาไม่กล้าจะใช้ร่างกายของหลินม่ายบำรุงบำเรอตัวเองอีกต่อไป และจะไม่เอาเปรียบเธอเด็ดขาด
จะเอาการฝึกงานไปบีบบังคับให้เธอยอมจำนนงั้นเหรอ? ใครจะสนใจ!
คงจะดีไม่น้อยหากได้เป็นผู้บริหารในบริษัทของเธอ มันคงจะดีกว่าช่างเทคนิคในโรงงานรัฐที่กำลังตกต่ำนี่ใช่ไหม?
หรือจะใช้โควตาการเรียนต่อต่างประเทศที่ได้รับทุนสนับสนุนจากรัฐเพื่อสร้างความโปรดปรานจากเธอดี? แต่สุดท้ายเธอก็สนับสนุนเพื่อนร่วมชั้นยี่สิบเก้าคนให้ไปศึกษาต่อต่างประเทศ แล้วอย่างนั้นเธอจะสนใจที่จะรับทุนของรัฐเพื่อไปเรียนต่อต่างประเทศงั้นเหรอ?
สุดท้ายแล้วเขาก็ไม่กล้าทำอย่างนั้น เพราะกลัวว่าหลินม่ายจะไม่สนใจ
โชคดีที่ครึ่งเดือนภายหลังนี้ หลินม่ายไม่เคลื่อนไหวใดๆ เลย หัวใจของเขาผ่อนคลายอย่างถึงที่สุด
ผู้อำนวยการจูไม่เพียงแต่จะไม่กล้าทำให้หลินม่ายอับอาย แต่ยังพยายามอย่างหนักเพื่อให้เธอพึงพอใจด้วย
ทุกคนจะผลัดเปลี่ยนทำความสะอาดสำนักงานของเขา และห้องทำงานใหญ่ แต่ผู้อำนวยการจูไม่กล้าสั่งให้หลินม่ายทำ
อย่างไรก็ตาม หลินม่ายเองก็รู้ดี เธอเริ่มทำความสะอาดสำนักงานด้วย
แต่เธอไม่คิดสนใจทำความสะอาดห้องของผู้อำนวยการจู เพราะสุดท้ายแล้วเขาก็มีคนทำให้
ผู้อำนวยการจูไม่กล้าให้เธอทำ ดังนั้นเขาจึงบอกกล่าวให้โกวเวิน ไช่หานปิง และฉีฟางผลัดกันมาทำความสะอาดในห้องของเขา ซึ่งพวกเขาจะใช้เวลากว่าครึ่งชั่วโมงในแต่ละครั้ง
เพื่อนร่วมงานภายในออฟฟิศเริ่มคาดเดาไปต่าง ๆ นานา แต่ไม่มีใครกล้าพูดอะไรออกมา
หลินม่ายเองก็ไม่คิดสนใจ และมุ่งมั่นที่จะพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ร่วมกับจางซานเท่านั้น นี่เป็นงานที่ผู้อำนวยการจูมอบหมายให้เด็กฝึกงานต้องทำให้สำเร็จ
……
เมื่อวานพ่อไป๋โทรมาเพื่อบอกว่าแฟนของไป๋ลู่จะพาครอบครัวมารับประทานมื้อเที่ยงวันนี้ และอยากให้เธอกับสามีมาร่วมด้วย
หลินม่ายตอบตกลง
ธนาคารของพ่อไป๋อยู่ไม่ไกลจากสถานที่ฝึกงานเท่าใดนัก หลินม่ายจึงบอกว่าจะไปรับพ่อไป๋ในช่วงเที่ยง แล้วค่อยไปที่ร้านอาหารพร้อมกัน
โรงแรมที่เลี้ยงอาหารของแฟนไป๋ลู่อยู่ใกล้กับที่ทำงานของพ่อและลูกสาวมาก พวกเขาใช้เวลาเดินทางเพียงสิบนาทีเท่านั้น
ฟางจั๋วหรานตรงไปยังห้องส่วนตัวที่แฟนไป๋ลู่จองไว้ในโรงแรมได้เลยเช่นกัน
เมื่อเสียงระฆังบอกให้พักกลางวันดังขึ้น หลินม่ายก็เก็บข้าวของก่อนจะวิ่งออกไปอย่างเร่งรีบ
พ่อไป๋กำลังเดินข้ามถนน และเห็นว่าหลินม่ายวิ่งออกมาแล้ว เขาโบกมือทักทายด้วยความยินดี
ทันใดนั้น รถบรรทุกคันเล็กก็วิ่งเข้ามาอย่างรวดเร็ว มันรวดเร็วเสียจนเธอไม่อาจตั้งตัวได้ทัน
หลินม่ายตะโกนกรีดร้องด้วยความตกตะลึง “พ่อ! รถ!”
แต่ไม่ทันการ รถชนจนเกิดเสียงดังสนั่น ผู้คนสัญจรไปมากรีดร้องด้วยความหวาดกลัว “มีคนโดนชน!”
พ่อไป๋ถูกรถชนกระเด็นห่างออกไปกว่า 10 เมตร เลือดไหลท่วมทั้งตัว
หลินม่ายวิ่งเข้าหาเขาด้วยความเร่งรีบ ศีรษะของพ่อไป๋ชุ่มโชกด้วยเลือด หลินม่ายคิดอยากหยุดเลือดให้เขา แต่เธอไม่รู้ว่าควรทำอย่างไร เธอไม่เคยประสบกับอุบัติเหตุใหญ่เช่นนี้มาก่อน
แต่ยุคนี้มีหมายเลข 120 แล้ว หลินม่ายกดหมายเลข 120 บนโทรศัพท์ด้วยมืออันสั่นเทา
พ่อไป๋ถูกส่งตัวไปยังโรงพยาบาลผู่จี้ที่อยู่ใกล้ที่สุด
พยาบาลกลับวิ่งเข้ามาและขอให้เขาเตรียมตัวเข้าผ่าตัดคนไข้ประสบอุบัติเหตุรถชนอย่างเร่งด่วน
ทันทีที่ฟางจั๋วหรานเตรียมตัวเข้าห้องผ่าตัดและเดินเข้ามา เขาก็เห็นว่าเป็นพ่อไป๋ที่นอนอยู่บนเตียงผ่าตัด…
นอกห้องผ่าตัด หลินม่ายบอกกล่าวไป๋ลู่และไป๋เหยียนว่าพ่อไป๋ประสบอุบัติเหตุ
ทั้งสองคนกำลังรอพ่อไป๋และคนอื่น ๆ อยู่ที่โรงแรมกับแฟนและสามี หลังได้ยินพนักงานเสิร์ฟเข้ามาบอกกล่าว พวกเขาก็อึ้งไปชั่วครู่ว่าอาจจะมีการสื่อสารผิดพลาด
พ่อไป๋จะประสบอุบัติเหตุได้อย่างไร เขาเป็นคนระมัดระวังตัวมาก
แต่พนักงานเสิร์ฟยืนยันว่าไม่ผิด คนที่โทรมาแจ้งกับทางโรงแรมแจ้งว่าเป็นคนในครอบครัวของแขกภายในห้องส่วนตัวนี้
ไป๋เหยียนและคนอื่น ๆ รีบออกไปทันที และเมื่อพวกเขามาถึงหน้าห้องผ่าตัดได้พบเจอกับหลินม่าย ทุกคนร้องไห้ออกมาอย่างเสียสติ
ไป๋เหยียนเดินเข้ามา “พ่อเป็นยังไงบ้าง เจ็บหนักมากไหม?”
หลินม่ายเช็ดน้ำตา “มาก”
ทั้งหมดรออยู่นอกห้องผ่าตัดหลายชั่วโมงก่อนที่พ่อไป๋จะถูกเข็นออกมา
หลินม่ายวิ่งเข้าหาฟางจั๋วหรานก่อนจะถามว่าพ่อไป๋เป็นยังไงบ้าง
ฟางจั๋วหรานกล่าวเสียงเครียด “สาหัสมาก สุดท้ายแล้วเขาจะฟื้นหรือไม่นั้นขึ้นอยู่กับกำลังใจของคุณพ่อแล้ว”
พ่อไป๋ถูกส่งเข้าห้องผู้ป่วยหนัก ทั้งสามพี่น้องร้องไห้กันอย่างเจ็บปวดอยู่ด้านนอก
แน่นอนว่าเรื่องที่พ่อไป๋ประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์ถูกเก็บเป็นความลับให้ห่างจากอาวุโสตระกูลไป๋และตระกูลลั่ว แต่สำหรับไป๋เซี่ยแล้วต้องทราบเรื่องนี้
หากพ่อไป๋เสียชีวิต และไป๋เซี่ยอยู่นอกเมือง มันคงสายเกินไปหากจะบอกกล่าวเขาในตอนนั้น
ไป๋เซี่ยเดินทางเข้าเมืองหลวงทันทีเมื่อได้รับข่าวจากหลินม่าย
สุดท้ายแล้ว การปฏิบัติงานภาคสนามที่นั่นค่อนข้างลำบาก และการคมนาคมก็ไม่สะดวกเอาเสียเลย
เขาต้องนั่งเกวียนเทียมลาของเพื่อนในท้องถิ่นไปที่อำเภอ ก่อนจะนั่งรถบัสทางไกลของอำเภอเพื่อเข้าเมืองเอกของมณฑล จากนั้นจึงจะสามารถต่อเครื่องบินเข้าสู่เมืองหลวงได้
แม่ไป๋มาสนามบินเพื่อรับเพื่อนต่างชาติให้กับปู่ลั่วและยายลั่ว แต่บังเอิญเห็นไป๋เซี่ยที่คลุกฝุ่นกลับมา
หล่อนกล่าวทักทายเขาอย่างมีความสุข ก่อนจะถามออกไปอย่างประหลาดใจ “เซี่ยเซี่ย ทำไมถึงกลับมาได้ล่ะ? ที่นั่นต้องลำบากแค่ไหนเนี่ย? ทำไมถึงมีสภาพแบบนี้ล่ะ แม่แทบจะจำลูกไม่ได้แล้ว”
แม่ไป๋เอื้อมมือไปสัมผัสใบหน้าของไป๋เซี่ย
ไป๋เซี่ยเคยเป็นผู้ชายหล่อเหลา แต่ตอนนี้เขาทำงานกลางแจ้งตลอดจนทำให้ผิวเข้มเหมือนชาวจีนโพ้นทะเล
แม้จะดูเป็นชายชาตรีมากขึ้น แต่น้ำหนักของเขากลับลดลงไปมาก ผิวหยาบกร้าน แม้เสื้อผ้ายังสกปรกมากด้วย
ในฐานะผู้เป็นแม่ เมื่อเห็นลูกชายมีสภาพเช่นนี้ก็อดไม่ได้ที่จะทุกข์ใจ
ไป๋เซี่ยกังวลมาก และไม่สนใจอะไรแล้ว เขาพูดขึ้นว่า “พ่อประสบอุบัติเหตุ ผมเลยต้องกลับมา”
“หา? พ่อประสบอุบัติเหตุ? อุบัติเหตุอะไร?” แม่ไป๋ถามอย่างตื่นตระหนก ดวงตาเบิกกว้าง
ทันทีที่ไป๋เซี่ยเห็นว่าหล่อนไม่รู้เรื่องอะไรเลย เขาจึงตระหนักได้แล้วว่าเขาทำพลาด
เขาไม่คิดจะพูดอะไรอีก และรีบจากไปโดยบอกว่าจะรีบไปหาพ่อไป๋
แม่ไป๋ไม่สบายใจแล้วในตอนนี้ หล่อนรับเพื่อนต่างชาติกลับไปส่งที่บ้านของพ่อแม่ก่อนจะแอบออกไปโทรหาไป๋เหยียน
พ่อไป๋อยู่ในห้องผู้ป่วยหนัก พี่น้องหลินม่ายผลัดกันมาเยี่ยมด้านนอกของห้องผู้ป่วย
ทันทีที่แม่ไป๋โทรมา ไป๋เหยียนเพิ่งกลับมาถึงบ้านและกำลังจะพักผ่อน
แม่ไป๋ร้องขอให้หล่อนบอกว่าพ่อไป๋เป็นอะไร เกิดอะไรขึ้น เวลานั้นไป๋เหยียนจึงตระหนักว่าหล่อนสามคนลืมบอกกล่าวกับแม่ไป๋ เพราะมัวแต่กังวลเรื่องของพ่อไป๋
ไป๋เหยียนบอกให้แม่ไป๋เตรียมใจก่อนจะบอกเล่าอุบัติเหตุทางรถยนต์ของพ่อไป๋อย่างช้า ๆ
ทันทีที่แม่ไป๋ได้ยินเรื่องราว หล่อนก็แทบจะเป็นลมล้มไป
หลังจากวางสาย แม่ไป๋ของให้พี่เลี้ยงช่วยตุ๋นซุปไก่ใส่โสมและซื้ออาหารเสริมมากมายไปที่โรงพยาบาล
ไป๋เซี่ยมาถึงโรงพยาบาล และบอกกล่าวกับหลินม่ายว่าได้พบกับแม่ไป๋ที่สนามบิน
เขากล่าวขอโทษ “ฉันไม่รู้ว่าเธอไม่ได้บอกแม่เรื่องของพ่อ ฉันเลยพูดออกไปอย่างนั้น”
เขาลังเลสักครู่ก่อนจะพูดว่า “แต่ฉันคิดว่าสุดท้ายก็ควรจะบอกแม่ แม่มีสิทธิ์รู้เรื่องนี้”
ไป๋เหยียนไม่ค่อยกล้าตัดสินใจอะไรนักในบรรดาพี่น้องทั้งสาม หล่อนมักจะเชื่อถือการตัดสินใจของหลินม่ายเสมอ
เพราะหลินม่ายไม่ได้บอกให้แจ้งแม่ไป๋ หล่อนจึงไม่คิดจะแจ้ง
หลินม่ายแทบจะไม่มีความรักต่อแม่ และเธอไม่ได้คิดถึงแม่ด้วยซ้ำ
แม้ไป๋ลู่จะคิดถึงเรื่องนี้อยู่บ้าง แต่เมื่อเห็นว่าพี่สาวไม่คิดจะแจ้งกับแม่ไป๋ หล่อนก็ไม่กล้าจะพูดออกไป
หลินม่ายพูดกับไป๋เซี่ย “ฉันลืมเรื่องนี้ไป งั้นต้องบอกเรื่องนี้กับยายของตงตงด้วย”
เธอหยิบโทรศัพท์มือถือออกมายื่นให้ไป๋เซี่ยโทรหาแม่ไป๋
ขณะไป๋เซี่ยกำลังกดโทรศัพท์ แม่ไป๋เดินเข้ามาพร้อมอาหารเสริมมากมาย พร้อมด้วยซุปไก๋ตุ๋นกระปุกใหญ่
ทันทีที่มาถึง หล่อนถามว่า “พ่อของพวกลูกอยู่ไหนเหรอ?”
นับตั้งแต่พ่อไป๋ประสบอุบัติเหตุ ไป๋ลู่ร้องไห้ตลอดเวลา
จนตอนนี้หล่อนแทบจะไม่มีน้ำตาเหลืออยู่ ทว่าเมื่อเห็นแม่ไป๋เดินเข้ามา หล่อนก็เริ่มร้องไห้อีกครั้ง
หล่อนชี้ไปในห้องผู้ป่วยหนัก “พ่ออยู่นั่น”
แม่ไป๋เดินไปที่ริมหน้าต่างก่อนจะมองเข้าไปด้านใน เห็นพ่อไป๋นอนนิ่งอยู่บนเตียงโดยมีท่อมากมายสอดเข้าไปในร่างกายของเขา
ในใจตื่นตระหนกก่อนจะหันมาถามลูก ๆ “อาการของเขาเป็นยังไงบ้าง?”
ไป๋เซี่ยเพิ่งมาถึงโรงพยาบาลเมื่อไม่นานนี้ และยังไม่รู้สถานการณ์แย่ชัด จึงไม่ได้ตอบอะไร
ส่วนหลินม่ายตกอยู่ในความคิดโทษตัวเองไม่หยุดหย่อน สุดท้ายแล้วพ่อไป๋ก็ประสบอุบัติเหตุเพราะไปรับเธอ
ไม่กี่วันก่อน เธอทั้งกินไม่ได้นอนไม่หลับ และไม่มีเรี่ยวแรงที่จะพูดคุยกับใคร
ไป๋ลู่จึงทำหน้าที่รายงาน และบอกกับแม่ว่าพ่อไป๋ผ่านช่วงเวลาวิกฤติไปได้แล้ว และเดี๋ยวจะถูกส่งตัวไปยังห้องผู้ป่วยทั่วไปในอีกสองวันข้างหน้า
ได้ยินอย่างนั้นแม่ไป๋จึงค่อยผ่อนคลายลง
สถานการณ์เช่นนี้ทำให้พ่อไป๋ไม่สามารถรับประทานอาหารได้ตามปกติ อาหารเสริมสามารถเก็บไว้ได้ แต่ซุปไก่ไม่อาจเก็บไว้ได้นาน
แม่ไป๋เหลือบมองหลินม่ายด้วยความระมัดระวังก่อนจะพูดว่า “พวกเธอควรจะเทซุปไก่แล้วดื่มมันสักหน่อยนะ”
ไป๋เซี่ยเทซุปไก่ใส่ชามให้กับหลินม่าย
แม้อุบัติเหตุจะผ่านไปหลายวัน แต่ในใจของหลินม่ายยังหวาดกลัว
ไป๋เซี่ยบอกให้เธอดื่มซุปไก่ และเธอก็ดื่มมันทั้งอย่างนั้น แต่เธอไม่สามารถกินไก่ทั้งชิ้นได้
แต่ถึงอย่างนั้นแม่ไป๋ก็มีความสุขมากแล้ว เพราะในอดีตอีกฝ่ายไม่เคยกินอาหารที่หล่อนนำมาเลย
แม้หลินม่ายปฏิเสธที่จะยอมรับหล่อนในฐานะแม่ แต่ท่าทางของเธอก็อ่อนลงมาก
แม่ไป๋ถามต่อว่า “คนขับถูกจัดการยังไง?”
ไป๋ลู่โบกมือ “อย่าพูดเรื่องนั้นเลย ตอนนั้นคนขับหัวใจวายกะทันหัน เขาจะเหยียบเบรกแต่กลับเหยียบคันเร่งแทน เขาเลยไม่ได้ชนแค่พ่อ แต่พุ่งชนหินกั้นถนนขนาดใหญ่ตรงหน้าจนตายคาที่”
แม่ไป๋ตกตะลึงก่อนจะถามว่า “แล้วครอบครัวของคนขับรถล่ะ? พวกเขาไม่จำเป็นต้องรับผิดชอบอะไรเลยเหรอ? เช่นค่ารักษาพยาบาล หรืออะไรสักอย่าง?”
ไป๋ลู่ตอบกลับ “ครอบครัวของคนขับยากจนมาก จะกินยังยาก ให้มาชดเชยอะไร?”
แม่ไป๋ถึงกับพูดไม่ออก อย่างนี้พ่อไป๋ก็ต้องยอมรับว่าตนโชคร้ายเองงั้นเหรอ?
หลินม่ายเอนหลังบนเก้าอี้ก่อนจะทอดสายตาออกไปอย่างว่างเปล่า เธอรู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติเกี่ยวกับอุบัติเหตุทางรถยนต์ที่เกิดกับพ่อของเธอ
เธอจะไม่มีวันลืมรถที่พุ่งเข้าชนพ่อไป๋อย่างจงใจได้
หากคนขับหัวใจวายอย่างที่ตำรวจบอก อย่างน้อยเขาก็ควรจะขับรถส่ายไปมา ไม่ควรจะขับตรงแบบนั้น
เธอบอกให้เหมาฉงช่วยตรวจสอบเรื่องนี้ และช่วยตรวจดูพฤติกรรมของสมาชิกของครอบครัวคนขับรถว่ามีอะไรผิดปกติหรือไม่
เพราะมีเรื่องเกิดขึ้นกับพ่อไป๋ เผิงอันน่าที่ทราบข่าวจึงมาเยี่ยมพ่อไป๋ทุกครั้งที่หล่อนมีเวลา
วันนี้ก็เช่นกัน
หลังจากเลิกงาน หล่อนมาพร้อมกับซาลาเปาสองสามถุง และโจ๊กข้าวขาวหนึ่งชาม
ในช่วงไม่กี่วันนี้ เธอรู้ถึงลักษณะการกินอาหารของหลินม่ายดี
สุขภาพของหลินม่ายแย่ลงมาก หลินม่ายไม่แตะของหวานเลยสักนิด เธอดื่มแต่โจ๊กข้าวขาวเท่านั้น
หล่อนจึงซื้อโจ๊กข้าวขาวชามนี้มาให้หลินม่าย
แต่เพราะหลินม่ายเพิ่งดื่มซุปไก่ เธอจึงไม่อยากจะกินอะไรอีก
เผิงอันน่าก็ไม่ได้สนใจมากนัก ทำเพียงวางชามโจ๊กข้าวขาวไว้ด้านข้างก่อนจะแบ่งเกี๊ยวนึ่งให้พี่น้องตระกูลไป๋
แม้เผิงอันน่าจะอ่อนโยนมาก และเรียกคุณป้าไป๋ แต่แม่ไป๋กลับไม่ชอบหล่อนสักนิด
หลังเผิงอันน่าจากไปแล้ว แม่ไป๋หันมาหาหลินม่ายก่อนจะถามว่า “หล่อนเป็นใครเหรอ? แล้วรู้จักเธอได้ยังไง?”
หลินม่ายรำคาญการซักถามของแม่ไป๋ เธอหลับตาลงเพื่อผ่อนคลายและแสร้งทำเป็นไม่สนใจ
ตอนนี้แม่ไป๋ตระหนักได้ว่าหล่อนคงละลาบละล้วงเกินไป จึงรีบหุบปากทันที
ไป๋ลู่จึงตอบแทนหลินม่าย
สองวันต่อมา พ่อไป๋ถูกย้ายออกจากห้องผู้ป่วยหนักส่งไปยังห้องผู่ป่วยทั่วไป
หลินม่ายเห็นพ่อไป๋พ้นขีดอันตรายแล้ว ความรู้สึกผิดในใจของเธอจึงหายไปในที่สุด
เธอกลับไปนอนที่บ้าน และเมื่อตื่นขึ้นมาก็ได้รับโทรศัพท์จากเหมาฉง
เหมาฉงบอกว่าหลังจากตรวจสอบมาหลายวันก็พบเจอเบาะแสแค่สองอย่างเท่านั้น
นั่นก็คือหยางสื่อจวี๋ภรรยาของคนขับรถเดินทางกลับไปยังบ้านเกิดของหล่อนก่อนวันเกิดเหตุ
หลังจากนั้นครอบครัวของหยางสื่อจวี๋ก็เริ่มซื้อที่ดินและสร้างบ้านในหมู่บ้าน
เหมาฉงสืบทราบมาได้ว่าครอบครัวของหยางสื่อจวี๋วางแผนไว้ว่าจะสร้างเป็นอาคารสามชั้นสไตล์ตะวันตก
เบาะแสอีกหนึ่งอย่างคือคนขับรถชื่อกัวลี่ซินเป็นมะเร็งต่อมน้ำเหลืองระยะสุดท้าย แพทย์บอกว่าเขาจะมีชีวิตอยู่ได้อีก 1 ปีเท่านั้น
หลินม่ายคาดเดา “กัวลี่ซินคงคิดว่าตัวเองกำลังจะตาย เลยคิดจะใช้ความตายแลกกับเงินก้อนใหญ่ หยางสื่อจวี๋ไม่กล้าเก็บทรัพย์สินที่ได้อย่างสกปรกไว้ที่บ้าน จึงส่งมันไปที่บ้านของพ่อแม่เพื่อช่วยฟอกขาว ครอบครัวยากจนฉวยโอกาสดังกล่าวและเงินที่ได้รับจากงานสุดท้ายของสามีเพื่อสร้างบ้านหลังใหม่”
“ไม่รู้ว่าหยางสื่อจวี๋รู้เรื่องนี้ไหม ยังไงก็ลองหาวิธีบอกกล่าวหล่อน และดูว่าหล่อนจะพูดความจริงไหมว่าทั้งสองสามีภรรยาได้รับเงินเหล่านี้มายังไง”
“ตราบใดที่หยางสื่อจวี๋ยอมเปิดปาก เราจะสามารถตรวจสอบเพิ่มเติมและหาคนกระทำผิดได้”
………………………………………………………………………………………………………………………..
สารจากผู้แปล
สืบสาวถึงตัวการใหญ่ให้ได้นะคะ เอาให้มันเสียชื่อเสียงไปเลย พ่อไป๋ไม่ใช่คนธรรมดาด้วยน่าจะเป็นข่าวใหญ่อยู่
ไหหม่า(海馬)