แม่ปากร้ายยุค 80 - ตอนที่ 1032 ราคาของการหุนหันพลันแล่น
ตอนที่ 1032 ราคาของการหุนหันพลันแล่น
ตอนที่ 1032 ราคาของการหุนหันพลันแล่น
ห้าวันต่อมา หลินม่ายไปยังมหาวิทยาลัยเพื่อรอที่ปรึกษาจัดการเรื่องหน่วยฝึกงาน ระหว่างทางเธอได้พบกับเพื่อนร่วมชั้นหลายคนที่เธอมีความสัมพันธ์ที่ดีด้วย
ทุกคนถามเธออย่างสงสัย “นี่เธอไปทำให้โก่วเวินขุ่นเคืองบ้างหรือเปล่า?”
หลินม่ายดูสับสน “หล่อนกับฉันไม่ได้คุ้นเคยกัน เราแทบไม่ได้คุยกันเลยตลอดสี่ปีในมหาวิทยาลัย แล้วฉันจะไปทำให้หล่อนขุ่นเคืองได้อย่างไร?”
หญิงสาวคนหนึ่งพูดขึ้น “ถ้างั้นก็คงเป็นเพราะต้นไม้ใหญ่ดึงดูดลมล่ะมั้ง”
หลินม่ายถามด้วยความสงสัย “เกิดอะไรขึ้นหรือเปล่า? ช่วยบอกฉันมาตรง ๆ ด้วยเถอะ อย่าพูดให้ฉันยิ่งสงสัยเลย”
เมื่อเห็นว่าเธอไม่รู้เรื่องราวอะไร ทุกคนจึงเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นให้เธอฟัง
เมื่อห้าวันก่อนเวลาประมาณสี่โมงเย็น นักข่าวคนหนึ่งที่อ้างว่ามาจากข่าวค่ำปักกิ่งเดินทางมามหาวิทยาลัย
ขั้นแรกได้มาสัมภาษณ์เพื่อนร่วมชั้นในภาควิชาหลายคน โดยถามว่าเกรดของหลินม่ายไม่ได้อยู่ในอันดับต้น ๆ จริงหรือไม่ จากนั้นก็ถามว่าภูมิหลังครอบครัวสามีของหลินม่ายทรงพลังจริงหรือไม่
นักเรียนส่วนใหญ่ตอบว่าใช่ในคำถามแรก แต่ตอบคำถามที่สองว่ามันเป็นเพียงข่าวลือ และพวกเขาไม่ทราบสถานการณ์จริง
ในทางกลับกันนักข่าวยิ่งกระตือรือร้นที่จะไปสัมภาษณ์อธิการบดีว่า เป็นเพราะครอบครัวสามีมีอำนาจมาก เธอจึงได้รับเลือกให้ไปศึกษาต่อในต่างประเทศด้วยวิธีที่ไม่เหมาะสมใช่หรือไม่
อธิการบดีดุนักข่าวคนนั้นด้วยความโกรธที่พูดไร้สาระ และยื่นเอกสารจากสำนักการศึกษาให้นักข่าวดู
เอกสารระบุชัดเจนว่าตั้งแต่ปีนี้ การคัดเลือกนักศึกษาไปศึกษาต่อในต่างประเทศให้คำนึงถึงความสามารถรอบตัวของพวกเขา
อธิการบดีย้ำว่ากฎระเบียบนี้กำหนดโดยสำนักการศึกษา ทางมหาวิทยาลัยไม่ได้จัดทำขึ้นเพื่อคัดเลือกหลินม่ายไปศึกษาในต่างประเทศด้วยทุนรัฐบาลโดยเฉพาะ
อธิการบดียังบอกกับนักข่าวด้วยว่า หลินม่ายได้สละโควตาศึกษาต่อในต่างประเทศโดยใช้ทุนรัฐบาลด้วยความสมัครใจ และยังวางแผนที่จะสนับสนุนนักเรียนดีเด่น 30 คนให้ไปศึกษาต่อที่สหรัฐอเมริกา
หากมีฐานะร่ำรวยอยู่แล้ว ก็ไม่จำเป็นต้องใช้โควตาทุนรัฐบาลในการศึกษาต่อในต่างประเทศ
นักข่าวหน้าแดงด้วยความอับอายและเดินจากไปอย่างหดหู่
แต่อธิการบดีโกรธมาก จึงต่อสายถึงผู้อำนวยการข่าวภาคค่ำปักกิ่งและฟ้องร้องนักข่าวคนนั้น
มันเป็นเรื่องปกติที่นักข่าวจะสอบสวน และสอบถามคำจริง
แต่การสัมภาษณ์อย่างก้าวร้าวอุกอาจเช่นนี้หมายความว่าอย่างไร? ตัดสินโดยไม่รู้มูลความจริงและกล่าวหาว่ามหาวิทยาลัยชิงหวาทำผิดพลาดงั้นหรือ?
อธิการบดีหวังว่าผู้อำนวยการข่าวภาคค่ำปักกิ่งจะสั่งสอนนักข่าวคนนั้น และทำให้เขาเปลี่ยนทัศนคติในการสัมภาษณ์
นักข่าวคนดังกล่าวยังอยู่ในช่วงฝึกงาน แต่กลับถูกร้องเรียนจากอธิการบดีของมหาวิทยาลัยชิงหวา
ผู้อำนวยการข่าวภาคค่ำปักกิ่งไม่เพียงตักเตือนเขาอย่างแรง แต่ยังขยายระยะเวลาฝึกงานและย้ายงานอีกด้วย
เขาไม่ได้ฝึกงานเป็นนักข่าวอีกต่อไป แต่กลายเป็นช่างซ่อมบำรุงในสำนักงาน
นักข่าวเดือดดาลหนัก และรีบวิ่งมาที่มหาวิทยาลัยเพื่อต่อว่าโก่วเวินด้วยความโกรธ
จากนั้นทุกคนจึงรู้ว่าโก่วเวินกำลังพยายามแทงด้านหลังหลินม่าย ทุกคนจึงตีตัวออกห่างจากโก่วเวิน ยกเว้นเพียงไช่หานปิงที่ยังพูดคุยกับหล่อนอยู่
หลินม่ายไม่ได้รับรู้เลยว่ามีเรื่องใหญ่ขนาดนี้เกิดขึ้นในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมา
ถ้าเธอไม่แสดงเจตจำนงสละสิทธิ์ทุนรัฐบาลโดยเร็ว เธอก็ไม่รู้ว่าเรื่องราวมันจะบานปลายไปแค่ไหน และคงส่งผลกระทบต่อคุณปู่ฟางเป็นแน่
หลินม่ายถาม “แล้วทางมหาวิทยาลัยจัดการกับโก่วเวินอย่างไร?”
หญิงสาวโบกมือ “จะทำอะไรได้อีกล่ะ? พวกเขาทำได้แค่ปล่อยหล่อนไป การที่หล่อนแจ้งข่าวทางหนังสือพิมพ์ไม่ใช่เรื่องผิดกฎหมาย ทางมหาวิทยาลัยจะลงโทษหล่อนได้ก็ต่อเมื่อมันถูกตีพิมพ์และก่อเกิดความเสียหายแล้วเท่านั้น”
เพื่อนร่วมชั้นเปลี่ยนหัวข้อและถามหลินม่ายว่า พวกเขามีสิทธิ์ได้รับการสนับสนุนจากเธอเพื่อไปศึกษาต่อที่สหรัฐอเมริกาหรือไม่
หลินม่ายตอบว่า “ฉันจะประกาศโควตาเงินทุนเมื่อเราไปถึงห้องเรียน เดี๋ยวทุกคนจะรู้เองว่าตนเองคุณสมบัติหรือไม่”
ทันทีที่หลินม่ายเข้ามาในห้องเรียน เพื่อนร่วมชั้นหลายคนเข้ามารุมล้อมและแนะนำตัวกับหลินม่าย เพื่อพยายามขอทุนศึกษาต่อในต่างประเทศ
โก่วเวินรู้สึกเสียใจ หากหล่อนรู้ว่าหลินม่ายจะสนับสนุนเพื่อนร่วมชั้นสามสิบคนไปศึกษาต่อต่างประเทศด้วยค่าใช้จ่ายตัวเอง หล่อนคงไม่รายงานสื่อและทำให้อีกฝ่ายขุ่นเคือง
เนื่องจากผลของการกระทำตัวเอง ตอนนี้ตัวหล่อนไม่มีสิทธิ์กอดต้นขาหญิงสาวเพื่อขอร้องด้วยซ้ำ!
ขณะที่หลินม่ายกำลังออกไปยังแท่นยืนหน้าห้องและประกาศรายชื่อเพื่อนร่วมชั้น 30 คนที่ต้องการสนับสนุนให้ไปศึกษาต่อต่างประเทศ ที่ปรึกษาก็เดินเข้ามาพอดี
เขามองไปยังนักศึกษาทุกคนและพูดว่า “พวกคุณคงทราบแล้วว่านักศึกษาหลินม่ายสมัครใจสละโควตาทุนรัฐบาลเพื่อศึกษาต่อในต่างประเทศ อธิการบดีได้จัดการประชุมและหารือกับเหล่าอาจารย์แล้ว โดยจะมอบโควตานั้นให้แก่เฉินหยวน”
ไช่หานปิงรู้สึกท้อแท้ทันใด หล่อนคาดหวังว่าตัวเองจะได้โควตานั้น แต่มันกลับกลายเป็นคนอื่น
ต่อไป ที่ปรึกษาก็ประกาศการเตรียมการฝึกงาน
หลินม่ายและฉีฟาง รวมถึงโก่วเวิน ไช่หานปิง และจางชานล้วนได้รับมอบหมายให้ฝึกงานที่โรงงานวิทยุหย่งเชิง
หลินม่ายไม่ได้สนใจว่าตัวเองได้รับมอบหมายให้ฝึกงานที่หน่วยงานใด เธอเพียงต้องการฝึกงานให้เสร็จและได้รับใบรับรองการสำเร็จการศึกษา
หากไม่ผ่านการฝึกงาน ก็จะไม่ได้รับประกาศนียบัตร ถึงแม้ว่าสถานการณ์นี้จะพบได้น้อย แต่ก็ยังเกิดขึ้นได้
ในเวลานี้ฉีฟางรู้สึกผิดหวังอย่างมาก
ตอนนี้เป็นปี 1987 วิทยุไม่มีคุณค่าอีกต่อไป และผลกำไรของโรงงานวิทยุโดยทั่วไปก็ลดลง
หล่อนไม่มีความตั้งใจที่จะอยู่ที่โรงงานวิทยุหลังจากฝึกงาน เสร็จ
หล่อนนึกว่าหากติดตามหลินม่ายจะทำให้ได้ที่ฝึกงานดี ๆ แต่กลับได้ไปฝึกงานในหน่วยงานที่แทบไม่มีค่าแล้ว
หากรู้ล่วงหน้า หล่อนคงไม่ขอที่ปรึกษาแบบนั้น การฝึกงานหน่วยงานเดียวกับหลินม่ายคงมีแต่ผลเสียให้กับหล่อนเอง
ขณะที่ฉีฟางกำลังผิดหวัง โก่วเวินและไช่หานปิงแทบจะระเบิดโทสะ
โดยเฉพาะอย่างยิ่งไช่หานปิง หล่อนคิดว่าตัวเองมีผลการเรียนที่ดีเยี่ยม แล้วทำไมถึงได้รับมอบหมายให้ทำงานที่โรงงานวิทยุ?
ที่ปรึกษาขอให้ไปรายงานตัวที่หน่วยฝึกงานในวันที่ 16 เดือน 1 ตามจันทรคติ จากนั้นเขาเดินออกจากห้องไป
ไช่หานปิงออกจากห้องด้วยสีหน้าที่หม่นหมอง
แม้จะไม่พอใจกับหน่วยฝึกงาน แต่หล่อนก็ทำได้แค่ยอมรับเท่านั้น
ฉีฟางนั่งด้านข้างหล่อนและโก่วเวิน
หล่อนกระซิบกับโก่วเวิน “เธอจำตอนที่เข้ามาตามฉันและถามคำถามตอนอยู่หน้าห้องรองอธิการบดีได้ไหม?”
“จำได้สิ มีอะไรเหรอ?” โก่วเวินถามด้วยความสงสัย
“เธอถามว่าหลินม่ายพูดอะไรกับฉัน ฉันก็ตอบไปว่าหลินม่ายไม่ได้บอกอะไรฉันเลย เมื่อคิดดูแล้ว หลินม่ายคงบอกกับรองอธิการบดีว่าเธอสมัครใจสละสิทธิ์ไปเรียนต่อต่างประเทศด้วยทุนรัฐบาล หลินม่ายใจดีมากเลยนะ ไม่น่าแปลกใจเลยว่าทำไมเพื่อนร่วมชั้นถึงชอบหล่อนขนาดนี้!”
โก่วเวินทนไม่ได้ที่มีคนกล่าวคำยกย่องหลินม่าย หล่อนพูดด้วยสีหน้าบึ้งตึงทันที “เธอรู้อะไรไหม หลินม่ายไม่เพียงบอกรองอธิการบดีว่าจะขอสละสิทธิ์จากทุนรัฐบาลเท่านั้น แต่ยังใช้เรื่องนี้เป็นข้อต่อรอง เพื่อให้พวกเราไปเข้าร่วมหน่วยฝึกงานห่วย ๆ แบบนี้!”
หล่อนแค่อยากพูดออกไปแบบนั้น เพียงเพื่อทำให้หลินม่ายเสื่อมเสียชื่อเสียง
แต่ไช่หานปิงกลับให้ความสำคัญกับมันมาก
หล่อนเดินเข้าไปหาหลินม่ายอย่างหาเรื่องและพูดขึ้นอย่างเดือดดาล “นี่เธอบอกรองอธิการบดีให้ส่งฉันไปฝึกงานที่โรงงานวิทยุหย่งเชิงงั้นเหรอ?”
หลินม่ายตอบคำเบา “เธอกับฉันไม่เคยเป็นศัตรูกัน และแทบไม่เคยมีความคับข้องใจอะไรกันเลย ทำไมฉันต้องทำแบบนั้นด้วย?”
ไช่หานปิงพูดไม่ออกชั่วขณะเมื่อถูกถามแบบนั้น ก่อนจะตระหนักได้ว่าตนถูกชักนำให้หลงทางด้วยคำพูดของโก่วเวิน
ในช่วงสี่ปีของวิทยาลัย หล่อนกับหลินม่ายไม่เพียงใช้ชีวิตอย่างสงบสุขเท่านั้น แต่บางครั้งพวกเขาก็พูดคุยกันเล็กน้อยเกี่ยวกับการเรียน และความสัมพันธ์ของทั้งสองก็ไม่ใช่ทั้งมิตรและศัตรู
หลินม่ายไม่รู้ว่าตัวหล่อนอิจฉาอีกฝ่ายที่ได้ไปเรียนต่อต่างประเทศด้วยทุนรัฐบาล แล้วหลินม่ายจะแอบแกล้งหล่อนได้อย่างไร?
กลายเป็นว่าหล่อนหุนหันพลันแล่นเกินไป!
ไช่หานปิงรู้สึกเสียใจเล็กน้อย แต่ก็ไม่ยอมรับความผิดพลาดของตัวเอง
หลินม่ายพลันหยิบกระดาษแผ่นหนึ่งออกมาจากถุง
“นี่คือรายชื่อนักเรียน 30 คนที่ฉันต้องการสนับสนุนให้ไปศึกษาต่อที่สหรัฐอเมริกา และเธอเป็นหนึ่งในนั้น”
เธอกางกระดาษบนโต๊ะ ใช้นิ้วชี้ไปยังชื่อของไช่หานปิงขณะพูด
ไช่หานปิงดีใจมาก “เธอสนับสนุนพวกเราไปเรียนต่อต่างประเทศ และจะรับผิดชอบค่าใช้จ่ายทั้งหมดด้วยใช่ไหม?”
แม้หล่อนจะไม่ได้มาจากเมืองเล็ก ๆ เหมือนโก่วเวิน และเป็นเด็กสาวจากเมืองรอง
แต่พ่อแม่ของหล่อนก็เป็นเพียงคนทำงานธรรมดาและเลี้ยงลูกหลายคนในครอบครัว มันเป็นไปไม่ได้ที่หล่อนจะไปเรียนต่อต่างประเทศด้วยค่าใช้จ่ายของตัวเอง
หากหลินม่ายสนับสนุนทุนการศึกษาในต่างประเทศและจ่ายค่าใช้จ่ายทั้งหมด หล่อนคงไม่มีแรงกดดันใด ๆ อีก
หลินม่ายพยักหน้า “ถูกต้อง ฉันจะรับผิดชอบค่าครองชีพและค่าเล่าเรียนทั้งหมด”
เธอหยิบปากกาออกมาจากกระเป๋า ก่อนเปิดฝาออกแล้วขีดฆ่าชื่อของไช่หานปิง
ไช่หานปิงถามด้วยความประหลาดใจ “ทำไมเธอถึงขีดฆ่าชื่อของฉันล่ะ?”
หลินม่ายตอบกลับ “ยังไม่เข้าใจอีกเหรอ? เพราะว่าฉันไม่อยากสนับสนุนเธออีกต่อไปแล้วไง”
ไช่หานปิงหน้าซีดและพูดติดอ่าง “ทะ… ทำไมล่ะ?”
หลินม่ายเลิกคิ้วถาม “แล้วคิดว่าทำไมล่ะ?”
ไช่หานปิงพูดด้วยสีหน้าเศร้า “เมื่อกี้ฉันใจร้อนเกินไปหน่อย ฉันรู้ว่าไม่ควรสงสัยและออกมากล่าวหาเธอแบบนี้ ช่วยเข้าใจฉันหน่อยเถอะ ใครก็ตามที่ได้รับมอบหมายให้ทำงานในโรงงานวิทยุหย่งเชิงก็คงต้องเสียสติเช่นกัน”
หลินม่ายชี้ไปที่ตัวเองและพูดว่า “ฉันดูเหมือนกระสอบทรายหรือ? พอเธอไม่พอใจอะไร ก็เอามาลงที่ฉันแบบนี้?”
ไช่หานปิงลูบมือพลางขอร้อง “เธอเป็นคนใจดีชอบช่วยเหลือคนอื่น โปรดยกโทษให้ฉันสักครั้งได้ไหม?”
หลินม่ายโบกมือ “ฉันไม่ต้องการที่จะเข้าไปพัวพันกับความแค้นส่วนตัวกับเธอ ที่ฉันลบชื่อเธอออก เพราะเธอมีบุคลิกหุนหันพลันแล่นที่ไม่เหมาะกับงานด้านเทคนิค”
ไช่หานปิงยังคงอ้อนวอนขอเธอต่อไป แต่หลินม่ายผลักหล่อนออก จากนั้นเดินไปที่แท่นหน้าห้องและประกาศชื่อผู้ได้รับเลือกให้รับทุนไปศึกษาต่อต่างประเทศทั้ง 29 คน
ผู้ที่ได้รับเลือกต่างรู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่ง ส่วนผู้ที่ไม่ได้รับเลือก บ้างก็เผยท่าทางผิดหวัง บ้างก็ไม่แยแส
หลินม่ายจุ๊ปากขอให้ทุกคนในห้องเงียบ
หลินม่ายกล่าว “ทุกคนคงจะเห็นได้ว่านักศึกษาที่ฉันอุปถัมภ์ไม่เพียงพิจารณาจากผลการเรียนเท่านั้น แต่ยังรวมถึงคุณธรรมของพวกเขาด้วย ฉันหวังว่าทุกคนที่ได้รับการสนับสนุนจะกลับมายังประเทศบ้านเกิดและรับใช้มาตุภูมิได้หลังจากที่พวกเขาประสบความสำเร็จในการศึกษา แน่นอนว่า ความหวังไม่มีประสิทธิภาพเท่ากับภาระผูกพันตามสัญญา นักเรียนทุกคนที่ยอมรับการสนับสนุนของฉันในการศึกษาต่อต่างประเทศจะต้องเซ็นสัญญากับฉัน และหลังจากเรียนจบแล้ว พวกเขาจะต้องทำงานในบริษัทของฉันเป็นเวลาสิบปี มิฉะนั้นพวกเขาจะต้องจ่ายค่าเสียหายจำนวนมาก”
ท้ายที่สุด เธอได้อ้างถึงค่าเสียหายที่ต้องชำระบัญชีอย่างมหาศาล
นักเรียนทุกคนต่างอ้าปากค้าง ด้วยค่าเสียหายที่สูงขนาดนี้ ใครจะกล้าผิดสัญญา?
เพื่อนร่วมชั้นที่ได้รับเลือกให้สนับสนุนการศึกษาในต่างประเทศถามอย่างอ่อนแรงว่า “ถ้าเราทำงานในบริษัทของคุณในอนาคต เงินเดือนจะเป็นอย่างไร?”
หลินม่ายกล่าว “ไม่ต้องกังวลเกี่ยวกับเรื่องนี้ ตราบใดที่คุณมีทักษะที่แท้จริง รายได้ของคุณจะสูงกว่ารายได้มาตรฐานในประเทศอย่างแน่นอน แต่การพูดคุยเรื่องต่าง ๆ บนกระดาษโดยไม่ลงมือทำใด ก็ไม่นำไปสู่การปฏิบัติที่ดีเช่นกัน”
หลิยม่ายเหลือบมองทุกคน “ใครก็ตามที่ไม่ต้องการโควตาสนับสนุนดังกล่าว ให้มาบอกฉันในตอนนี้ เพื่อที่ฉันจะได้จัดหาคนอื่นมาทดแทน”
เพื่อนร่วมชั้นที่ได้รับเลือกเหล่านั้นไม่ประสงค์ที่จะสละสิทธิ์
โอกาสไปเรียนต่อต่างประเทศนั้นหายาก ใครเล่าจะอยากสละสิทธิ์?
พวกเขายังยอมรับเงื่อนไขของหลินม่ายง่ายดาย ก็แค่กลับมาทำงานในบริษัทของหลินม่ายหลังเรียนจบไม่ใช่หรือ? อย่างไรพวกเขาก็ไม่คิดอยู่ต่างประเทศอยู่แล้ว
กลุ่มนักศึกษาที่ได้รับเลือกโดยหลินม่ายล้วนเป็นเยาวชนไฟแรง ทะเยอทะยาน และไม่มีแนวโน้มที่จะบูชาวัฒนธรรมต่างประเทศ
หลังจากออกจากห้องเรียน หลินม่ายกำลังเดินไปที่รถของตัวเอง
เด็กหนุ่มชื่อเฉินเย่าหัวเข้ามาขวางตรงหน้าเธอ
เฉินเย่าหัวพูดด้วยความเขินอาย “เพื่อนร่วมชั้นหลินม่าย ผมขอคุยกับคุณหน่อยได้ไหม?”
“ได้ค่ะ พูดมาเลย”
“คุณลบชื่อของไช่หานปิงออกแล้ว จึงเหลือโควตาทุนไปศึกษาต่อต่างประเทศหนึ่งที่ใช่ไหม? คุณยกมันให้ผมได้ไหม? ผมสัญญาว่าจะทำงานหนักในบริษัทของคุณหลังจากเรียนจับจากต่างประเทศ” หลังจากกล่าวคำเช่นนนั้น เฉินเย่าหวามองหลินม่ายอย่างคาดหวัง
หลินม่ายกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ผลการเรียนของคุณดีมาก แล้วฉันจะไม่นึกถึงคุณได้อย่างไร? แต่ทักษะภาษาอังกฤษของคุณไม่ดีถึงขนาดที่จะใช้สื่อสารกับผู้คนได้ แล้วคุณจะอยู่รอดในสหรัฐอเมริกาได้อย่างไร? อย่าว่าแต่การเรียนให้จบเลย”
เฉินเย่าหัวตกตะลึง “ถ้าผมปรับปรุงการพูดภาษาอังกฤษให้ได้ดีก่อนที่จะไปเรียนต่อต่างประเทศ คุณจะให้โอกาสผมได้ไหม?”
หลินม่ายเปิดประตูรถและพูดว่า “รอจนกว่าคุณจะสามารถพัฒนาการพูดภาษาอังกฤษก่อนแล้วกัน”
เธอขึ้นรถแล้วขับออกไป
หลังจากขับมาระยะหนึ่ง หลินม่ายยังคงเห็นเฉินเย่าหัวยืนมองอยู่ที่เดิมจากกระจกมองหลัง
………………………………………………………………………………………………………………………….
สารจากผู้แปล
ทำตัวเองทั้งนั้น จากที่โชคดีก็กลายเป็นโชคร้ายไปเลยเห็นไหม ถ้าใจเย็นลงหน่อยก็ไม่โดนตัดชื่อออกแล้ว
ไหหม่า(海馬)