แม่ปากร้ายยุค 80 - ตอนที่ 1031 ซักถามในที่สาธารณะ
ตอนที่ 1031 ซักถามในที่สาธารณะ
ตอนที่ 1031 ซักถามในที่สาธารณะ
ทุกคนมองไปทางเจ้าของเสียง
เจ้าของเสียงเป็นหญิงสาวหน้าตาธรรมดาชื่อโก่วเวิน
หล่อนมาจากเมืองเล็ก ๆ ตั้งใจเรียนอย่างขยันขันแข็งจนได้เกรดเฉลี่ย และมักจะตั้งคำถามกับครูด้วยสีหน้าดื้อรั้น
นักศึกษาหลายคนสงสัยว่าทำไมหล่อนถึงคัดค้านรายชื่อการศึกษาในต่างประเทศ ราวกับว่าหล่อนมีคุณสมบัติที่จะไปศึกษาต่อในต่างประเทศอย่างไรอย่างนั้น
ที่ปรึกษาทำท่าทางขอให้หล่อนพูด
โก่วเวินชี้ไปทางหลินม่ายและพูดว่า “ทำไมนักศึกษาหลินม่ายถึงได้ไปเรียนต่อที่ต่างประเทศล่ะคะ?”
เพื่อนร่วมชั้นที่ติดอันดับห้าของภาควิชาอย่างต่อเนื่องตลอดทั้งปีก็เป็นนักศึกษาหญิงชื่อว่าไช่หานปิง หลังจากได้ยินคำพูดของโก่วเวิน หล่อนก็หันไปมองอย่างขอบคุณ
โก่วเวินไม่มีคุณสมบัติที่จะไปศึกษาต่อต่างประเทศ แต่อีกฝ่ายออกมาพูดเพื่อหล่อน
ที่ปรึกษาอธิบายให้นักเรียนทุกคนฟังอย่างอดทน “ เกณฑ์การคัดเลือกนักศึกษาสำหรับศึกษาต่อต่างประเทศด้วยทุนรัฐบาลคราวนี้ไม่ได้พิจารณาจากเกรดอย่างเดียว แต่ยังคำนึงถึงความสามารถโดยรวมด้วย แม้ว่านักศึกษาหลินม่ายจะไม่ได้มีผลการเรียนเป็นเลิศ แต่หล่อนก็สุขุมกว่าทุกคนยามเมื่อเผชิญกับปัญหา หวังว่าทุกคนจะยังไม่ลืมการทดลองนี้ในปีแรก ๆ ของเรา เกิดข้อผิดพลาดในการทดลองของกลุ่มหลินม่าย นักศึกษาหญิงคนหนึ่งถูกไฟฟ้าช็อตในที่เกิดเหตุ ซึ่งทำให้เกิดเพลิงไหม้ด้วย ในเวลานั้น นักศึกษาในห้องทดลองของเราตกใจมากจนทำอะไรไม่ถูก หลินม่ายเป็นคนริเริ่มตัดไฟ ดับไฟ อพยพเพื่อนร่วมชั้น และลากคนหมดสติออกจากห้องทดลอง หากไม่มีการจัดการอย่างมีสติของหลินม่าย ผลที่ตามมาจะเป็นหายนะ และพวกคุณไม่สามารถปฏิเสธสิ่งนี้”
โก่วเวินรู้สึกเขินอายมาก แม้ที่ปรึกษาจะไม่ได้พูดว่าเด็กสาวที่หมดสติในห้องทดลองเป็นใคร แต่เพื่อนร่วมชั้นส่วนใหญ่ต่างก็รู้ว่าเป็นหล่อนเอง
ที่ปรึกษาหยิบยกเรื่องนี้ขึ้นมา ทำให้โก่วเวินรู้สึกว่าเขาจงใจเล่า หล่อนจึงต้องนั่งลงด้วยความขุ่นเคือง
ที่ปรึกษาไม่ได้มีความตั้งใจอะไรทั้งนั้น เขาจำไม่ได้ด้วยซ้ำว่าเด็กสาวที่เป็นลมในห้องทดลองหน้าตาเป็นอย่างไร ท้ายที่สุดโก่วเวินก็มีหน้าตาธรรมดามาก
เขาเพียงคิดว่ามันเป็นตัวอย่างเหตุการณ์ที่พิสูจน์ความเป็นเลิศของหลินม่าย
ที่ปรึกษากล่าวต่อ “มหาวิทยาลัยตระหนักถึงความสามารถรอบด้านของหลินม่าย ดังนั้นจึงเลือกหล่อนให้ไปศึกษาต่อต่างประเทศด้วยทุนรัฐบาล ตอนนี้พวกคุณยังมีข้อคัดค้านอยู่ไหม?”
นักศึกษาทุกคนส่ายหัว “ไม่มีแล้วครับ/ค่ะ”
ไช่หานปิงโกรธมาก หล่อนหวังว่าโก่วเวินจะลบหลินม่ายออกจากรายชื่อนักศึกษาที่ได้รับทุนไปศึกษาในต่างประเทศและทำให้หล่อนเข้าไปแทนที่ได้ แต่ตอนนี้ความหวังของหล่อนพังทลายลง จึงจ้องหลินม่ายเขม็งด้วยความไม่พอใจ
ที่ปรึกษาพยักหน้าและกำลังจะเดินออกไป
เพื่อนร่วมชั้นคนหนึ่งถามขึ้น “อาจารย์ จะมีการฝึกงานเมื่อไหร่ครับ?”
ที่ปรึกษาตบหน้าผากตัวเอง “ผมเกือบลืมแจ้งไปเลยถ้าคุณไม่เตือน ขอให้นักศึกษาทุกคนมาฟังรายการการฝึกงานอีกห้าวันนะครับ” จากนั้นพวกเขาก็แยกย้ายออกจากห้องเรียน
หลินม่ายยังมีเรื่องจะพูดกับที่ปรึกษา แต่เมื่อเห็นเขาจากไป เธอจึงรีบต้องไล่ตามเขา
เพื่อนร่วมชั้นชื่อว่าฉีฟางต้องการอยู่ในหน่วยฝึกงานเดียวกันกับหลินม่าย
แม้หลินม่ายจะเป็นนักศึกษาฝึกงาน แต่ก็ไม่ต้องให้รัฐมอบหมายงานแก่เธอ
การอยู่ในหน่วยฝึกงานเดียวกันกับเธอทำให้มีคู่แข่งน้อยลงหนึ่งคน และง่ายต่อการเลื่อนตำแหน่งในอนาคต
หล่อนได้ยินจากนักศึกษารุ่นพี่ว่า หากพวกหล่อนได้รับมอบหมายให้อยู่ในหน่วยฝึกงานเดียวกัน คนที่มีความสามารถมากกว่าก็จะเข้ามาแทนที่คนที่มีความสามารถน้อยกว่าได้ตลอด
เช่นเดียวกับโก่วเวิน หล่อนมีความโดดเด่นในเมืองบ้านเกิด แต่หลังจากเข้าศึกษาที่มหาวิทยาลัยชิงหวา หล่อนก็แทบไม่มีความโดดเด่นเลย และกลืนหายไปกับฝูงชน
แน่นอนว่าฉีฟางต้องการไปหน่วยฝึกงานที่มีแรงกดดันน้อยกว่า เช่นนั้นนักศึกษาที่ไปฝึกงานด้วยกันจึงมีความสำคัญมาก
แต่ก่อนที่จะมีเวลาได้เริ่มต้นการสนทนากับหลินม่าย อีกฝ่ายก็เดินออกจากห้องเรียนไปแล้ว ดังนั้นหล่อนจึงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากยอมแพ้
อาจารย์ที่ปรึกษาเป็นชายหนุ่มรูปร่างสูงโปร่งและขายาวเพิ่งเข้ามาใหม่ในภาคเรียนที่ 2 และตอนนี้เขาเดินเร็วมาก
หลินม่ายไล่ตามเขามาไกล ก่อนจะตามทัน
เมื่อเห็นหญิงสาวหอบหายใจ ที่ปรึกษาจึงถามด้วยความประหลาดใจ “คุณมีธุระกับผมหรือ?”
หลินม่ายพยักหน้า “ฉันไม่ได้อยากไปศึกษาต่อต่างประเทศด้วยทุนรัฐบาลค่ะ ฉันอยากขอให้อาจารย์และทางมหาวิทยาลัยพิจารณาเลือกนักศึกษาที่เหมาะสมกว่านี้”
ที่ปรึกษาดูตกตะลึง
ทุกปี ผู้สำเร็จการศึกษาล้วนต่อสู้แย่งชิงโอกาสการศึกษาในต่างประเทศจนเกิดความวุ่นวาย
กระทั่งเพื่อนสนิทบางครั้งก็ต้องลงเอยด้วยการตัดขาดจากกัน
ทว่านักศึกษาคนนี้กลับยอมแพ้อย่างง่ายดาย
ผู้ให้คำปรึกษาแนะนำอย่างจริงจัง “ผมรู้ว่าธุรกิจของคุณกำลังไปได้สวย แต่คุณคงกลัวว่าการศึกษาต่อต่างประเทศอาจขัดขวางการทำธุรกิจ แต่การเรียนรู้เพิ่มเติมและกลับมารับใช้มาตุภูมินั้นเป็นสิ่งดี อย่ามุ่งแต่หาเงินเพียงอย่างเดียวเลยครับ”
หลินม่ายกล่าวด้วยรอยยิ้ม “แน่นอนว่าฉันต้องยังต้องการไปศึกษาต่อ และต้องการกลับมารับใช้มาตุภูมิเช่นกัน แต่ฉันไม่จำเป็นต้องใช้โควตาทุนรัฐบาลเพื่อไปศึกษาต่างประเทศ ฉันสามารถจ่ายเองได้ค่ะ”
ที่ปรึกษาหน้าแดงเพราะเข้าใจผิด “เช่นนั้นผมจะบอกท่านอธิการบดีเกี่ยวกับสถานการณ์ของคุณ และดูว่าท่านอธิการบดีจะจัดการอย่างไร”
นักเรียนหลายคนเห็นหลินม่ายและที่ปรึกษาคุยกันอยู่หลายนาที ทำให้ทุกคนต่างก็คาดเดาไปต่าง ๆ นานา
ฉีฟางสับสนและพึมพำกับตัวเอง “นักศึกษาหลินม่ายได้รับทุนไปเรียนต่างประเทศแล้ว ทำไมถึงยังต้องมาคุยกับที่ปรึกษาอยู่อีกล่ะ?”
ไม่รู้ว่าตั้งใจหรือไม่ตั้งใจ เธอเผลอใช้คำขยายประโยคว่า “อีกล่ะ” ซึ่งทำให้ผู้คนโดยรอบไม่อาจเพิกเฉย
ไช่หานปิงและโก่วเวินที่อยู่ด้านข้างหันมามองฉีฟางเป็นตาเดียว “เธอหมายความว่าอย่างไร หลินม่ายเคยเข้าพบที่ปรึกษามาก่อนหรือ?”
ฉีฟางรีบพูด “ฉันแค่พูดไปอย่างนั้น ฉันไม่เคยเห็นหลินม่ายพบที่ปรึกษามาก่อน”
หลังจากหยุดครู่หนึ่ง ก็พูดเสริมว่า “ที่จริงไม่เคยเห็นหลินม่ายเข้าใกล้อธิการบดีเลยด้วยซ้ำ”
ไช่หานปิงและโก่วเวินต่างก็มองหน้ากัน ทั้งคู่รู้สึกว่าฉีฟางพยายามปกปิดบางอย่างอยู่
หลังจากที่นักเรียนแยกย้ายกันไปแล้ว ฉีฟางแอบไปยังห้องของที่ปรึกษาและขอสมัครเข้าหน่วยฝึกงานเดียวกับหลินม่าย ที่ปรึกษาตอบตกลงทันที ก่อนที่ฉีฟางจะจากไปพร้อมกับรอยยิ้ม
ก่อนบ่ายสองโมง ขณะที่หลินม่ายกำลังตรวจสอบข้อมูลและเขียนเอกสารอยู่ที่บ้าน ที่ปรึกษาพลันโทรเข้ามา
เขาบอกหลินม่ายทางโทรศัพท์ว่า ทางมหาวิทยาลัยอนุมัติคำขอของเธอที่สละสิทธิ์ไปศึกษาต่อที่ต่างประเทศด้วยทุนรัฐบาลแล้ว แต่เธอต้องมาลงชื่อเป็นลายลักษณ์อักษร โดยยืนยันว่าเธอสละสิทธิ์โดยสมัครใจ เพื่อหลีกเลี่ยงข้อพิพาทที่ไม่จำเป็นในอนาคต
บังเอิญว่าหลินม่ายต้องการไปมหาวิทยาลัยเพื่อหารือกับอธิการบดีว่าต้องการสนับสนุนเพื่อนร่วมชั้นสามสิบคนไปเรียนที่สหรัฐอเมริกาด้วยค่าใช้จ่ายของเธอเองเช่นกัน เธอจึงขับรถไปที่มหาวิทยาลัย
ที่ปรึกษาพาเธอไปยังห้องทำงานของรองอธิการบดีที่รับผิดชอบด้านการศึกษาต่อต่างประเทศ
หลินม่ายลงนามในหนังสือสละสิทธิ์เรียนต่อต่างประเทศด้วยทุนรัฐบาลโดยสมัครใจ ประทับลายนิ้วมือลงไป จากนั้นเล่าแผนการทั้งหมดในที่ประชุม โดยปรึกษาว่าเธอควรทำอย่างเพื่อให้แน่ใจว่านักศึกษาทั้งสามสิบคนที่เธออุปถัมภ์จะประสบความสำเร็จในการศึกษาต่อต่างประเทศและกลับไปรับใช้มาตุภูมิ
ฝ่ายบริหารทุกคนที่มาเข้าร่วมงานประชุมต่างบอกว่า พวกเขาไม่สามารถให้คำแนะนำใด ๆ แก่เธอได้
หากพวกเขามีวิธีการรับรองว่านักเรียนที่ได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาลเดินทางกลับประเทศจีนหลังจากสำเร็จการศึกษา เช่นนั้นคงมีนักเรียนอยู่ต่างประเทศไม่มากนักในแต่ละปี
อย่างไรก็ตามรองอธิการบดีให้คำมั่นสัญญาว่าจะช่วยขอรับหนังสือเดินทางและจัดเตรียมมหาวิทยาลัยในสหรัฐอเมริกาสำหรับหลินม่ายและนักเรียนที่เธอต้องการอุปถัมภ์
หลินม่ายเดินออกจากห้องทำงานของรองอธิการบดี ก่อนบังเอิญพบกับฉีฟาง
ฉีฟางประหลาดใจอย่างมากที่พบอีกฝ่าย และถามหลินม่ายว่าทำไมถึงออกมาจากห้องทำงานของรองอธิการบดี
หลินม่ายเล่าเรื่องทั้งหมดให้หล่อนฟังสั้น ๆ
มันไม่ใช่ความลับอะไร ท้ายที่สุดก็ต้องมีการป่าวประกาศในภาควิชาในไม่ช้า การบอกฉีฟางล่วงหน้าจึงไม่เป็นอะไร
หลังจากที่หลินม่ายจากไป โก่วเวินเดินเข้ามาถามฉีฟางว่าหลินม่ายพูดอะไรกับหล่อนบ้าง
ฉีฟางถาม “เธอกำลังจะไปไหน?”
โก่วเวินใช้คางชี้ไปอีกทาง “ไปที่ตู้โทรศัพท์สาธารณะข้างหน้าและแจ้งข่าวค่ำปักกิ่งว่า มหาวิทยาลัยของเราฝ่าฝืนกฎเกณฑ์คัดเลือกหลินม่ายไปศึกษาต่อในต่างประเทศ”
แล้วหล่อนก็กล่าวคำเย้ยหยัน “ฉันไม่เชื่อหรอกว่าถ้าเรื่องนี้ถูกตีพิมพ์ไป หลินม่ายจะยังสามารถใช้ทุนรัฐบาลไปศึกษาต่างประเทศได้อีก!”
โก่วเวินนึกอิจฉาหลินม่ายมาโดยตลอด
ทั้งสองต่างก็เป็นเด็กต่างจังหวัด แต่อย่างน้อยหล่อนก็มาจากเมืองเล็ก ขณะที่หลินม่ายเป็นเด็กสาวในชนบทอย่างแท้จริง
แม้ว่าจะมีเด็กจากชนบทที่ได้เข้าเรียนในมหาวิทยาลัยชิงหวาและทำผลงานได้ดี เช่น จางชานและจ้าวเฟิ่นหย่งนักศึกษาชายสองคนที่ได้รับเลือกให้ไปศึกษาต่อในต่างประเทศด้วยทุนรัฐบาลในภาคการศึกษานี้ ทั้งสองต่างก็มาจากพื้นที่ภูเขาที่ยากจนมาก
พวกเขายังต้องจัดสรรเงินช่วยเหลือส่วนหนึ่งที่รัฐบาลมอบให้ เพื่อช่วยเลี้ยงดูครอบครัวที่ยากจนของพวกเขา ทำให้พวกเขามีเงินเหลือเพื่อกินหมั่นโถวธรรมดาและผักดองในทุกมื้อเท่านั้น
เด็กหนุ่มจากชนบทสองคนนี้เก่งมากจนโก่วเวินยอมรับพวกเขา แต่คนที่หล่อนรับไม่ได้คือหลินม่าย
หลินม่ายมีผลการเรียนที่ดีกว่าหล่อน และยังรูปโฉมที่งดงาม นอกจากนี้เธอยังเป็นประธานว่านทงกรุ๊ป ซึ่งทำให้เธอกลายเป็นศูนย์กลางของความสนใจในหมู่เพื่อนร่วมชั้น
ทั้งที่มาจากเมืองเล็กเหมือนกัน ทำไมหลินม่ายถึงมีความสามารถขนาดนี้? กระทั่งตัวหล่อนยังเทียบไม่ได้เลย
ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านขณะศึกษาในมหาวิทยาลัยชิงหวา ตัวตนของหล่อนแทบจะเลือนรางกลายเป็นอากาศธาตุ
ในอดีตหลินม่ายมีความโดดเด่นมาก และโก่วเวินไม่พอใจเลยสักนิด แต่ไม่พบจุดอ่อนที่จะโจมตีอีกฝ่าย ดังนั้นหล่อนจึงไม่เคยขัดแย้งกับหลินม่าย
แต่ตอนนี้หลินม่ายได้รับเลือกให้ไปศึกษาในต่างประเทศด้วยทุนรัฐบาล เนื่องจากความสามารถรอบตัวที่โดดเด่น ซึ่งหล่อนสามารถใช้สิ่งนี้โจมตีอีกฝ่ายได้
แม้ว่าหลินม่ายจะมีความสามารถรอบด้านที่โดดเด่น แต่เธอไม่ได้อยู่ในระดับแนวหน้าด้านวิชาการ โก่วเวินจึงยังมีโอกาสที่จะถอดชื่อหลินม่ายออกจากรายชื่อนักศึกษาที่ได้รับเลือก!
ฉีฟางแนะนำอีกฝ่าย “เธอไม่ได้ยินคำพูดของที่ปรึกษาหรือว่าหลินม่ายได้รับเลือกด้วยความสามารถรอบด้าน ถ้าเธอต้องการเอาเรื่องนี้ไปบอกสื่อ ฉันว่าเธอควรคิดให้ดีอีกครั้ง”
โก่วเวินพูดอย่างมีความนัย “มีข่าวลือว่าภูมิหลังครอบครัวของสามีหลินม่ายค่อนข้างมีอำนาจ ไม่อย่างนั้นรุ่นพี่จ้าวซั่วหยางจะถูกไล่ออกจากมหาวิทยาลัยได้ยังไง? คราวนี้หล่อนได้รับเลือกให้ศึกษาต่อในต่างประเทศด้วยทุนรัฐบาล บางทีครอบครัวสามีของหล่อนอาจอยู่เบื้องหลัง มหาวิทยาลัยแค่พยายามปิดปากเรา ด้วยการให้เหตุผลเหมือนกับว่าหลินม่ายได้รับคัดเลือกเพราะความสามารถของหล่อนเอง”
โก่วเวินสะกิดฉีฟางด้วยร่างกายตัวเองและถามว่า “เมื่อกี้เธอคุยอะไรกับหลินม่าย?”
ฉีฟางผายมือออก “ฉันถามหล่อนว่าทำไมถึงออกมาจากห้องทำงานของรองอธิการบดี แต่หล่อนปฏิเสธที่จะบอกฉัน”
“หล่อนมาพบกับที่ปรึกษาและรองอธิการบดี มันจะต้องมีเรื่องอะไรบางอย่างซ่อนอยู่เป็นแน่”
หลังโก่วเจินพูดจบ หล่อนก็ขอตัวไปโทรศัพท์แจ้งสื่อสำนักพิมพ์
ในช่วงเย็น หลินม่ายและฟางจั๋วหรานพูดคุยกันเกี่ยวกับปัญหาที่เธอกังวลใจ ฟางจั๋วหรานปลอบเธอ โดยบอกว่าการให้เงินสนับสนุนนักเรียนดีเด่นเป็นการลงทุนสำหรับเธอ
ตราบใดที่เป็นการลงทุน ย่อมต้องมีความเสี่ยง เขาจึงแนะนำให้เธอปล่อยวาง
…………………………………………………………………………………………………………………………
สารจากผู้แปล
คิดเองเออเองแบบนี้ เกิดเรื่องพลิกล็อคขึ้นมาอย่ามาหน้าแตกทีหลังนะ ก่อนเธอจะฟ้องเขา ม่ายจื่อถอดตัวเองออกเรียบร้อยแล้วจ้า ทีนี้จะฟ้องอะไรล่ะ
ไหหม่า(海馬)