แม่ปากร้ายยุค 80 - ตอนที่ 1030 แพะรับบาป
ตอนที่ 1030 แพะรับบาป
ตอนที่ 1030 แพะรับบาป
คดีที่ไป่หลี่เซียงเกี่ยวข้องกับยาเสพติดได้มาถึงทางตัน และไม่นานเจียงเทาก็ได้รับข่าว
เขาทั้งรู้สึกดีใจและรำคาญใจในคราวเดียวกัน
โชคดีที่คดีนี้ไม่โยงมาถึงร้านเชาห่าวชือ แต่ก็น่าเสียดายที่ไม่สามารถฆ่าไป่หลี่เซียงให้จบสิ้นได้
ในช่วงบ่าย เขาเริ่มประชุมกับผู้ปฏิบัติงานเพื่อหารือเกี่ยวกับมาตรการทำลายไป่หลี่เซียงต่อไป แต่ฉับพลันก็มีเจ้าหน้าที่ตำรวจห้านายบุกเข้ามาอย่างกะทันหัน
พวกเขาบุกเข้ามาพร้อมกับประกาศกร้าวว่าเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจจากกลุ่มคดีร้ายแรง กองกำลังรักษาความปลอดภัยประจำเมือง
พวกเขาได้รับรายงานจากประชาชนว่าผู้จัดการร้านกงฮั่นซงของเชาห่าวชือมีเปลือกฝิ่นมากมายซุกซ่อนอยุ่ในบ้าน
พวกเขาเพิ่งเข้าตรวจค้นบ้านของกงฮั่นซง และพบเปลือกผลฝิ่นสองกระสอบ และที่สกัดเป็นตัวยาแล้วประมาณ 50 กรัม
ตอนนี้พวกเขาต้องการพากงฮั่นซงไปสอบสวน
กงฮั่นซงหน้าซีด การพบสารสกัดยาเพียง 50 กรัมก็เพียงพอแล้วที่จะรับโทษประหารชีวิต
มือของเจียงเทาสั่นสะท้าน เขาหวาดกลัวว่าถ้ากงฮั่นซงสารภาพซัดทอดมาถึงเขา เขาคงจะต้องถูกยิงเป้าอย่างแน่นอน
เขาลอบขยิบตาให้กับกงฮั่นซง ซึ่งเป็นการบอกกล่าวว่าอย่าซัดทอดมาถึงเขา ดังนั้นให้รับผิดชอบเรื่องราวทุกอย่างและเขาจะชดเชยเงินก้อนโตให้กับพ่อแม่และภรรยาของเขา
กงฮั่นซงพยักหน้ารับโดยไม่รู้ตัว
เมื่อมาถึงสถานีตำรวจ เขาถูกตำรวจสอบปากคำและกงฮั่นซงรับสารภาพว่าเปลือกผลฝิ่นทั้งหมดถูกใช้ใส่ร้ายไป่หลี่เซียง
ตำรวจถามว่าเจียงเทาเป็นคนสั่งให้เขาใส่ร้ายไป่หลี่เซียงหรือไม่
แต่กงฮั่นซงบอกว่าเขาเป็นคนลงมือทำด้วยตัวเอง
เพราะเขาเป็นผู้จัดการฝ่ายขายของเชาห่าวชือ และรับผิดชอบผลกำไรของร้าน
นับตั้งแต่วันชาติผ่านพ้น เชาห่าวชือมียอดขายลดลงเพราะไป่หลี่เซียงทำโปรโมชั่นส่งเสริมการตลาดอย่างหนัก เขาจึงอยากจะทำลายไป่หลี่เซียง
เขาซื้อเปลือกผลฝิ่นจำนวนมากจากหนานจง และทำการใส่ร้ายไป่หลี่เซียงโดยติดสินบนคนขับรถบรรทุกของไป่หลี่เซียง
และเมื่อตำรวจถามเกี่ยวกับยาเสพติด เขาบอกว่าเขาเป็นผู้เสพยาเอง
เพราะกงฮั่นซงยอมรับผิดทั้งหมดไว้เพียงผู้เดียว เจียงเทาจึงสามารถหลบหนีไปได้
ตำรวจและหลินม่ายไม่สามารถทำอะไรได้อีก
ความจริงช่างโหดร้ายนัก พวกเขาทั้งหมดรู้ความจริงอยู่แก่ใจ แต่ไม่มีหลักฐานที่จะเอาผู้กระทำความผิดแท้จริงเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมได้
โชคดีที่คำให้การของกงฮั่นซงหนักแน่นเพียงพอที่จะลบคำครหาของไป่หลี่เซียง และลูกค้าที่หายไปก็กลับคืนมาอย่างรวดเร็ว
อีกด้าน เชาห่าวชือกลับพบเจอกับยอดขายที่ตกต่ำขึ้นทุกวัน
เพราะพวกเขาไม่ได้ใช้เปลือกผลฝิ่นในการปรุงหลู่ไช่ให้มีรสอร่อยเหาะสมชื่อ หลู่ไช่จึงกลับมามีรสชาติดั้งเดิม อาหารไม่อร่อยเช่นนี้ใครจะอยากซื้อ?
เจียงเทาไม่มีทางเลือกนอกจากอดทนให้คดีของกงฮั่นซงผ่านพ้นไปก่อน แล้วค่อยกลับมาใช้เปลือกผลฝิ่นอีกครั้ง
น่าเสียดายที่ไม่นานหลังจากนั้น หน่วยงานอุตสาหกรรมและการพาณิชย์ได้ออกกฎระเบียบใหม่ มีการห้ามมิให้ใส่เปลือกฝิ่นลงในอาหารทุกชนิด มิฉะนั้นจะมีโทษจำคุก 5 ปี
เจียงเทาถึงกับตื่นตระหนก ทันทีที่กฎหมายนี้ถูกประกาศใช้ นั่นหมายความว่าร้านหลู่ไช่เชาห่าวชือของเขาไม่มีความหวังที่จะหวนคืนสู่ตลาดโดยสมบูรณ์
หลังจากแก้ปัญหาเรื่องนี้จบลงแล้ว หลินม่ายเดินทางไปโรงพยาบาลเพื่อเยี่ยมเสี่ยวเฉิงก่อนจะกลับเมืองหลวง
เสี่ยวเฉิงถูกย้ายออกจากห้องผู้ป่วยหนักมายังห้องผู้ป่วยทั่วไปแล้ว เสี่ยวซิ่วไม่ต้องมองพี่ชายของตนผ่านกระจกอีกต่อไป เรื่องนี้ทำให้เด็กหญิงตัวน้อยมีความสุขมาก
หลินม่ายถามถึงอาการของเสี่ยวเฉิงสักสองสามคำด้วยความห่วงใย ส่วนเสี่ยวเฉิงเองก็ตอบกลับว่าเขาสบายดี
เธอให้กำลังใจพี่ชายและน้องสาวสักครู่ก่อนที่จะกล่าวลา แต่ขณะนั้นเองพ่อแม่ของหวังย่าหลิงก็บุกเข้ามากะทันหัน
ทันทีที่ผู้เฒ่าสองคนวิ่งเข้ามา พวกเขาก็คุกเข่าลงข้างเตียงของเสี่ยวเฉิง ขอร้องให้เสี่ยวเฉิงยอมความและปล่อยลูกสาวของพวกเขาไป
เสี่ยวเฉิงปฏิเสธหนักแน่น และบอกเสี่ยวซิ่วให้ไปเรียกพยาบาลมาพาตัวคนเหล่านี้ออกไป
วันนั้นหากไม่ใช่ว่าเขาพยายามปกป้องน้องสาว เรื่องราวคงเลวร้ายกว่านี้ อีกทั้งหากเขาสองคนไม่โชคดีที่ได้พบนักเก็บสมุนไพรใจดีเหล่านั้น พวกเขาสองพี่น้องคงตายเป็นผีเฝ้าสมุนไพรแน่นอน แล้วจะให้เขายกโทษให้แมงป่องอย่างหวังย่าหลิงอย่างนั้นเหรอ!
วันรุ่งขึ้น หลินม่ายกลับมาที่เมืองหลวง ทันทีที่เสี่ยวมู่ตงเห็นเธอ เขาก็วิ่งเข้าไปกอดและหอมเธอหลายครั้ง
แม่ลูกกอดรัดกันอยู่นานก่อนที่เสี่ยวมู่ตงจะผละออกจากหลินม่ายและกลับไปเล่นตัวต่อกับคุณปู่ฟาง
หลินม่ายไม่เห็นครอบครัวฟางจิ้งเสียนและสามี จึงคิดว่าทั้งสามคนกลับไปแล้ว
คุณย่าฟางพูดว่า “พวกเขายังไม่กลับไปหรอก วันนี้อากาศดี อาเขยกับอาหญิงเธอเลยพาเมิ่งเมิ่งไปเดินเล่นในสวนสาธารณะ”
หลังหยุดสักครู่ คุณย่าฟางก็กล่าวต่อว่า “แต่พวกเขาก็จะจากไปเร็ว ๆ นี้นั่นแหละ”
หลินม่ายยกมือขึ้นนับและจดจำได้ว่าสวี่เมิ่งบำบัดอาการติดยามาสามเดือนแล้ว และยังอยู่ในช่วงลงแดง…
เมื่อนึกถึงเรื่องนี้ เธอก็เข้าใจว่าสวี่เมิ่งผ่านพ้นช่วงยากลำบากอย่างเดือนแรกไปแล้ว หล่อนจะไม่กรีดร้องเจ็บปวดอีกต่อไป
สุดท้ายก็จะกลับไปบำบัดอาการติดยาที่บ้านได้โดยไม่ดึงดูดความสนใจจากเพื่อนบ้าน
หลินม่ายใจดีกับครอบครัวของหล่อนมากแล้ว และไม่จำเป็นต้องดูแลพวกเขาอีกต่อไป
ระหว่างรับประทานมื้อกลางวัน ฟางจิ้งเสียนบอกทุกคนว่าครอบครัวของเธอจะย้ายไปที่เมืองอวี้ซู มณฑลชิงไห่
อีกสองวัน หล่อนและสามีจะกลับไปที่เจียงเฉิง และโอนสายงานของพวกเขาไปที่เมืองอวี้ซู มณฑลชิงไห่
เมื่อถูกอย่างพร้อม จะมารับสวี่เมิ่งไปด้วย
ฟางจิ้งเสียนกล่าวขอโทษ “ม่ายจือ เมิ่งเมิ่งอาจจะต้องอยู่ที่บ้านของเธออีกหนึ่งเดือนนะ”
อย่างไรก็ตาม ระยะเวลาหนึ่งเดือนก็ผ่านไปอย่างรวดเร็ว หลินม่ายตอบตกลงอย่างไม่ลังเล
คุณย่าฟางอยากจะพูดว่าเมืองอวี้ซูในชิงไห่นั้นลำบากเกินไป เปลี่ยนไปเป็นเมืองเล็ก หรือเขตที่พอจะรุ่งเรืองขึ้นสักหน่อยดีกว่า
แต่เมื่อคำพูดนั้นมาถึงริมฝีปาก นางกลับกลืนมันลงไป สุดท้ายเมิ่งเมิ่งสมควรจะได้รับความทุกข์ทรมานนั้นแล้ว!
วันรุ่งขึ้นเป็นวันลงทะเบียนเรียนของหลินม่ายหลังจากกลับมาถึงเมืองหลวง
หลินม่ายขับรถไปมหาวิทยาลัย และเพื่อนร่วมชั้นทั้งหมดก็มาถึงแล้ว
หลังจากอวยพรปีใหม่ให้กันและกัน ทั้งหมดก็พูดคุยกันเกี่ยวกับเรื่องฝึกงาน
ตามปกติแล้ว ในสาขาวิชาเอกแต่ละสาขา พวกเขาจะได้เข้าสู่ช่วงฝึกงานในภาคการศึกษาที่สองของปีสุดท้าย
หลังจากสิ้นสุดการฝึกงาน หากมีความสามารถพิเศษและโดดเด่น พวกเขาจะได้รับเลือกให้ทำงานต่อ
นึกศึกษาทุกคนคาดหวังว่าจะได้รับมอบหมายให้อยู่ในหน่วยงานที่ดี
สักครู่ อาจารย์ที่ปรึกษาเดินเข้ามาภายในห้องเรียน พลางกวาดสายตามองนักศึกษาทั้งหมด
เห็นว่าทุกคนอยู่ที่นี่พร้อมเพรียงแล้ว เขาพูดขึ้นว่า “วันนี้มีประกาศรายชื่อนักเรียนที่จะได้ทุนของประเทศไปศึกษาต่อที่สหรัฐอเมริกา”
เพื่อนร่วมชั้นคนหนึ่งกล่าวพึมพำขึ้นมา “อย่าประกาศรายชื่อนักศึกษาที่ได้รับทุนไปต่างประเทศเลย ก็รู้อยู่ว่ามีแค่สองสาขาเท่านั้นที่จะได้รับ อาจารย์ควรแจ้งให้พวกเขาทราบเป็นการส่วนตัวเพื่อที่ป้องกันผู้อื่นอิจฉาจะดีกว่า”
ที่ปรึกษาไม่สนใจ ก่อนจะกล่าวต่อว่า “ปีนี้แผนกของเรามีทุนศึกษาต่อต่างประเทศจากภาครัฐห้าโครงการ ซึ่งเพิ่มขึ้นจากเมื่อก่อนสามโครงการ ทำไมถึงมั่นใจว่าสาขาตัวเองจะไม่ได้ไปล่ะ? นอกจากนี้ถึงคุณจะไม่อยากฟัง ฉันก็ต้องเผยแพร่รายชื่อเพื่อประชาสัมพันธ์ให้ทุกคนทราบ นี่คือกฎของมหาวิทยาลัย”
อาจารย์ที่ปรึกษาอ่านรายชื่อของนักศึกษาที่ได้รับทุนจากมหาวิทยาลัย “หม่าชวนเซียง หลี่ฉิน จ้าวเฟิ่นหย่ง จางชาน หลินม่าย”
นักศึกษาทุกคนตกตะลึงทันทีเมื่อได้ยินชื่อของหลินม่าย
นักศึกษาสี่คนแรกอยู่ในกลุ่มที่เก่งที่สุดของสาขามาโดยตลอด แม้ว่าจะไม่ใช่สี่อันดับแรก แต่พวกเขาก็ติดสิบอันดับแรกเสมอ
การที่มหาวิทยาลัยมอบทุนให้พวกเขาไปศึกษาต่อที่ต่างประเทศ ทุกคนค่อนข้างมั่นใจในความสามารถของพวกเขา
แต่หลินม่ายที่ได้เกรดเฉลี่ยผ่านเกณฑ์ไปเล็กน้อยกลับได้ไปด้วย…
แปดในสิบจะต้องมีเบื้องหลังแน่นอน!
แม้นักเรียนหลายคนจะไม่พอใจที่หลินม่ายได้รับทุน แต่ก็ไม่มีใครกล้าที่จะเอ่ยปากถาม
สุดท้ายแล้ว พวกเขาทั้งหมดอยู่ในช่วงวัยยี่สิบ และยังคงไร้เดียงสาเช่นเดียวกับครั้งที่เข้าสู่มหาวิทยาลัยวันแรก พวกเขาทำได้เพียงโต้เถียงในใจเท่านั้น
แม้พวกเขาจะตั้งคำถามกับหลินม่าย แต่ตัวพวกเขาเองก็ไม่มีคุณสมบัติเพียงพอที่จะไปศึกษาต่อในต่างประเทศ แล้วทำไมพวกเขาถึงต้องทำตัวต่อต้านหลินม่ายด้วย?
นอกจากนี้หลินม่ายยังนิสัยดี เธอช่วยเหลือผู้คนเสมอ และยังกระตือรือร้นที่จะช่วยเหลือเพื่อนร่วมชั้นด้วย
นักศึกษายากจนจำนวนมากได้งานทำในช่วงวันหยุด หรือร้านขนมของหลินม่าย และพวกเขาล้วนแต่รู้สึกขอบคุณหลินม่ายเสมอมา
แม้หลินม่ายจะได้ไปเรียนต่อต่างประเทศโดยไม่เสียค่าใช้จ่าย พวกเขาก็ยังสามารถยอมรับได้
ที่ปรึกษารอสักครู่ก่อนจะถามว่า “มีใครจะถามอะไรไหม? ถ้าไม่มีจะได้แยกย้ายกัน”
“อาจารย์คะ ฉันมีคำถามค่ะ” บุคคลหนึ่งเปล่งเสียงภาษาจีนกลางสำเนียงท้องถิ่นออกมา
……………………………………………………………………………………………………………………….
สารจากผู้แปล
ในที่สุดก็แพ้ภัยตัวเอง คนทำชั่วต่อให้ปกปิดยังไงมันก็ต้องจับได้อยู่แล้ว
ม่ายจื่ออาจไปในฐานะเจ้าของทุนหรือเปล่า ไม่ได้ไปในฐานะนักศึกษาที่ได้ทุน?
ไหหม่า(海馬)