แม่ปากร้ายยุค 80 - ตอนที่ 1027 ไปเยี่ยมเสี่ยวเฉิง
ตอนที่ 1027 ไปเยี่ยมเสี่ยวเฉิง
ตอนที่ 1027 ไปเยี่ยมเสี่ยวเฉิง
วันรุ่งขึ้น หนังสือพิมพ์และสื่อฉบับต่าง ๆ ล้วนเต็มไปด้วยบทความที่สนับสนุนการพ้นข้อครหาของหลินม่าย
ผู้บริโภคจำนวนมากโทรติดต่อสำนักงานใหญ่และสำนักงานสาขาเพื่อขอโทษ โดยยอมรับว่าพวกเขาไม่ควรรับฟังฝ่ายเดียวและไม่ควรตำหนิหลินม่ายโดยไม่รู้ความจริง
วิกฤติการณ์ถูกใส่ร้ายจากโต้วโต้วและแม่ของหล่อนจึงได้รับการแก้ไข
หลังอาหารเช้า ครอบครัวทั้งสามของหลินม่ายไปที่บ้านของเสิ่นเสี่ยวผิงเพื่อรับเสี่ยวซิ่วไปเยี่ยมพี่ชาย
พวกเขามาถึงโรงพยาบาล ก่อนเห็นคนสองกลุ่มกำลังทะเลาะกันนอกห้องผู้ป่วยหนักของเสี่ยวเฉิง
โชคดีที่ห้องผู้ป่วยหนักค่อนข้างเก็บเสียง ไม่เช่นนั้นการทะเลาะเสียงดังอาจสร้างความเดือดร้อนให้ผู้ป่วย
พยาบาลคนหนึ่งเดินเข้ามาและพูดอย่างเหลืออด “ถ้ายังส่งเสียงดังที่นี่อีก ฉันจะขอให้เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยมาไล่พวกคุณออกไป!”
คนทั้งสองกลุ่มจึงหยุดด่าทอ และมองหน้ากันด้วยความเกลียดชัง
ในหมู่พวกเขา หลินม่ายจำคนกลุ่มหนึ่งได้ พวกเขาคือปู่ย่าและอาของเสี่ยวเฉิง
ตั้งแต่เสี่ยวเฉิงเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาล พวกเขามาเยี่ยมเกือบทุกวัน และพูดขอบคุณทุกครั้งที่เห็นหลินม่าย
หลินม่ายได้ยินจากเสี่ยวซิ่วว่าพวกหล่อนสองพี่น้องยังมีอาชายด้วย กระนั้นก็ไม่เคยมาเยี่ยมพี่ชายเลยสักครั้ง
คนอีกกลุ่มหนึ่งหลินม่ายไม่เคยเห็น พวกเขาเป็นคู่สามีภรรยาสูงอายุ
เมื่อเห็นหลินม่ายมา คุณปู่หลี่และภรรยารีบวิ่งมาหาเธอทันที
แม่เฒ่าหลี่จับมือหลินม่ายและกล่าวทั้งน้ำตา “สหายเสี่ยวหลิน คุณบอกว่าได้จ่ายค่ารักษาพยาบาลให้กับเสี่ยวเฉิงแล้ว พวกเราบอกขอบคุณไม่รู้ตั้งกี่หน ทำไมคุณถึงยังมาขอเงินจากเราอีก!”
ปรากฏว่าคำขอบคุณจากผู้เฒ่าทั้งสองนั้นไม่ไร้ประโยชน์ แต่ถูกนำมาใช้เพื่อชดเชยค่ารักษาพยาบาลที่เธอจ่ายไว้ล่วงหน้า พวกเขาคงคิดว่าคำขอบคุณจากผู้เฒ่าทั้งสองนั้นมีค่ามาก
หลินม่ายเบิกตากว้าง “ฉันขอเงินคุณตั้งแต่เมื่อไหร่คะ โปรดแสดงหลักฐานมาด้วย”
ผู้เฒ่าหลี่รีบพูด “แม้ว่าคุณจะไม่ได้มาขอเงินเราโดยตรง แต่คุณขอเงินจากหลี่เม่าลูกชายของเรา มันก็เหมือนกับการขอเงินเราไม่ใช่หรือไง?”
หลินม่ายถามด้วยน้ำเสียงจริงจัง “จริงเหรอคะ? ถ้าอย่างนั้นคุณกล้าเขียนประโยคนี้ไหม?”
ผู้เฒ่าหลี่ถอยหลังทันที
หลินม่ายหัวเราะเยาะ “ที่ฉันจ่ายค่ารักษาพยาบาลให้เสี่ยวเฉิง ฉันแค่จ่ายให้ก่อน ไม่ได้หมายความว่าจ่ายฟรี เสี่ยวเฉิงมีพ่อและแม่ พ่อแม่ของเขาสามารถจ่ายค่ารักษาพยาบาลได้ แล้วทำไมถึงไม่จ่ายคืนค่ารักษาพยาบาลที่ฉันจ่ายล่วงหน้าไปล่ะคะ?”
แม่เฒ่าหลี่เงยหน้าขึ้นมองด้วยสายตาโกรธเคืองและโพล่งออกมา “ลูกชายฉันกลิ้งลงมาจากภูเขาจนกลายเป็นอัมพาตครึ่งล่าง ตอนนี้ยังนอนอยู่ในโรงพยาบาล แต่คุณยังกล้ารีดไถเงินจากเขา ทำไมถึงใจร้ายได้ขนาดนี้!”
หลินม่ายโต้กลับ “ลูกชายของคุณทิ้งเด็กตัวน้อยไว้บนภูเขา นั่นไม่โหดร้ายกว่าหรือคะ? หรือนั่นเป็นการแสดงความเมตตา? ว่ากันว่าถึงเสือร้ายก็ไม่กินลูกตัวเอง แต่ลูกชายคุณกลับลงมือฆ่าพวกเขาได้ลงคอ เช่นนั้นเขาก็ควรเป็นคนจ่ายค่ารักษาพยาบาลให้เสี่ยวเฉิงไม่ใช่เหรอคะ!”
ผู้เฒ่าหลี่ยืนยันอย่างมั่นใจว่า “ลูกชายของฉันจะต้องถูกตัดสินประหารชีวิตอย่างแน่นอน และเขาได้รับการลงโทษอย่างที่สมควรแล้ว ทำไมเขาต้องจ่ายค่ารักษาพยาบาลด้วย?”
หลินม่ายโบกมือ “ฉันจะไม่ทะเลาะกับพวกคุณแล้ว และจะไม่ขอค่ารักษาพยาบาลจากลูกชายคุณด้วย ฉันจะฟ้องร้องคดีแพ่งต่อศาลเพื่อเรียกคืนค่ารักษาพยาบาลที่ฉันจ่ายไปล่วงหน้า คุณคิดว่าศาลจะตัดสินให้ลูกชายของคุณจ่ายเงินคืนให้ฉันหรือเปล่าคะ?”
เธอจงใจพูดต่อ “ถ้าลูกชายของคุณไม่มีเงินชดเชย ศาลจะบังคับใช้โดยหักออกจากเงินบำนาญหลังเกษียณของคุณ มันเป็นความผิดของคุณเองที่เอาเงินจากลูกชายมาเทียบกับการขอเงินจากคุณ”
ผู้เฒ่าหลี่รีบพูดแย้ง “มันไม่เหมือนกัน อย่ามาขอเงินจากพวกเรานะ!”
สิ้นเสียง เขาก็หันหลังวิ่งจากไป
แม่เฒ่าหลี่รีบวิ่งตามติดเขาไปอย่างรวดเร็ว
อาหญิงหลี่มองดูพ่อแม่ตัวเองวิ่งจากไป ก่อนจะค่อย ๆ เดินมาหาหลินม่ายและหยิบผ้าเช็ดหน้าออกมาจากกระเป๋า
หล่อนเปิดผ้าเช็ดหน้า แล้วมอบเงินหลายร้อยหยวนที่อยู่ข้างในให้หลินม่าย พูดพลางหน้าแดงเรื่อ “ฉันมีเงินออมทั้งหมดกว่า 600 หยวน ฉันจะจ่ายเงินค่ารักษาพยาบาลแทนพี่ชายเองค่ะ ฉันรู้ว่าเงินเพียงเล็กน้อยนี้ยังไม่เพียงพอ ฉันจะค่อย ๆ หาเงินที่เหลือมาคืนคุณให้ได้ค่ะ”
หลินม่ายคืนก้อนเงินให้หล่อน “คุณเก็บไว้เถอะค่ะ ไม่ต้องจ่ายคืนแทนพี่ชาย เขามีสวัสดิการที่ได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาล ซึ่งสามารถชดเชยค่ารักษาพยาบาลส่วนหนึ่งได้”
อาหญิงหลี่ยัดเงินใส่ในมือของหลินม่าย “เช่นนั้นคุณก็ใช้เงินนี้ซื้อผลิตภัณฑ์เสริมอาหารให้กับเสี่ยวเฉิงเถอะค่ะ”
สิ้นเสียง หล่อนก็ลูบหัวของเสี่ยวซิ่ว ก่อนจะเช็ดน้ำตาและเดินจากไป
หลินม่ายคิดว่าอาหญิงหลี่เป็นคนดี จึงถามเสี่ยวซิ่วด้วยความงุนงงว่า “ตอนที่พวกเธอหนีออกจากบ้าน ทำไมพี่ชายไม่พาเธอไปบ้านของอาหญิงล่ะ?”
เสี่ยวซิ่วตอบ “ตอนแรกพี่ชายพาหนูไปบ้านของอาหญิง แต่หลังจากที่พวกเราอยู่ที่นั่นนานกว่าหนึ่งสัปดาห์ อาเขยก็ไม่ชอบ แล้วทะเลาะกับอาหญิงทุกวัน พี่ชายจึงพาหนูออกมา”
หลินม่ายถอนหายใจเบา ทุกครอบครัวต่างก็มีปัญหาของตัวเอง
ในเวลานี้ กลุ่มคนที่ทะเลาะกับครอบครัวของผู้เฒ่าหลี่ก่อนหน้านี้ก็เดินเข้ามาหาหลินม่าย และแนะนำตัวเองว่าเป็นพ่อแม่ของหวังย่าหลิง
พวกเขาต้องการขอร้องหลินม่ายบางประการ นั่นคือการปล่อยหวังย่าหลิงไป โดยพวกเขายินดีจ่ายค่าชดเชยสำหรับเสี่ยวเฉิงตามที่หลินม่ายต้องการ
หลินม่ายมองพวกเขาตั้งแต่หัวจรดเท้า ซึ่งทั้งสองเป็นเพียงคู่สามีภรรยาชราที่แต่งตัวธรรมดา
เธอพูดว่า “ขออภัยที่ต้องเสียมารยาท แต่พวกคุณมีฐานะดีหรือเปล่าคะ?”
หญิงชราส่ายหัวและตอบว่า “ฉันกับสามีเป็นคนงานธรรมดาที่เกษียณแล้ว เรามีเงินไม่มาก และใช้ชีวิตด้วยเงินเดือนเกษียณ”
หลินม่ายรู้สึกประหลาดใจ “แล้วคุณยังกล้ามาพูดว่ายินดีจ่ายค่าชดเชยสำหรับเสี่ยวเฉิงตามที่ฉันต้องการอีก คุณไม่มีความสามารถที่จะทำแบบนั้นด้วยซ้ำ!”
“แม้ว่าเราในฐานะคู่สามีภรรยาสูงอายุอาจไม่มีทรัพย์สมบัติ แต่เราเต็มใจทำทุกอย่างที่ทำได้ แม้กระทั่งการขายทรัพย์สินในบ้านและยืมเงินจากทุกที่ สิ่งที่เราขอมีเพียงแค่ให้คุณปล่อยลูกสาวของเราไป”
แม่เฒ่าหวังร้องไห้อย่างขมขื่นและพูดว่า “มันเป็นความผิดของเราเองที่เลี้ยงดูลูกสาวให้กลายเป็นคนเลวร้ายแบบนี้ เราขอให้คนรู้จักช่วยแนะนำผู้ชายให้เธอ แต่หล่อนกลับยืนกรานที่จะไม่คบหาใครและไม่แต่งงาน จากนั้นหล่อนก็พบชายหนุ่มรูปหล่อและมีงานทำ แต่หลังจากให้กำเนิดลูกสาวสองคน ชายคนนั้นก็ทิ้งหล่อนไป จากนั้นหล่อนก็มาพบผู้ชายคนนี้ ฉันและสามีคิดว่าหล่อนจะลงหลักปักฐานและมีชีวิตที่ดี แต่ไม่คาดคิดเลยว่า… หล่อนคือผู้บงการเบื้องหลังการพยายามฆ่า!”
หญิงชรารู้สึกสับสนเป็นอย่างมาก “ตอนที่หล่อนยังเป็นเด็ก หล่อนเคยเป็นเด็กที่ประพฤติตัวดีและมีจุดหมาย โตมากลายเป็นแบบนี้ได้อย่างไรกัน?”
หลินม่ายพูด “คุณไม่จำเป็นต้องมาขอร้องฉัน ฉันไม่ได้ทำงานในศาล และไม่สามารถก้าวก่ายสำนักงานอัยการได้ ไม่ว่าคุณจะให้เงินชดเชยกับเสี่ยวเฉิงมากแค่ไหน มันก็จะไม่เปลี่ยนคำตัดสินของศาลเกี่ยวกับลูกสาวของคุณ”
ผู้เฒ่าหวังกล่าว “เรารู้เรื่องนี้ดี เราแค่อยากให้เสี่ยวเฉิงเขียนจดหมายให้อภัยหล่อน บางทีโทษของลูกสาวเราอาจเปลี่ยนจากการประหารชีวิตในทันทีเป็นโทษประหารชีวิตโดยรอลงอาญาหรือจำคุกตามระยะเวลาที่กำหนด”
เขาได้ปรึกษาผู้พิพากษาและทนายความหลายคน พวกเขาทั้งหมดกล่าวว่าแม้คดีอาญาของลูกสาวของเขาจะเป็นการพยายามฆ่า แต่สถานการณ์ก็ร้ายแรงเกินไปและมีผลกระทบต่อสังคมอย่างมาก ผู้พิพากษาน่าจะตัดสินโทษหนัก ซึ่งก็คือถูกประหารชีวิตทันที
หากต้องการเปลี่ยนโทษเป็นการรอลงอาญาหรือจำคุกตลอดชีวิต จะต้องมีหนังสือยินยอมการให้อภัยจากผู้เสียหาย
เพื่อให้ลูกสาวของพวกเขามีชีวิตรอด พวกเขาจึงมาขอร้องหลินม่าย
หลินม่ายฟังแล้วโมโหมาก ในเมื่อชีวิตของลูกสาวพวกเขาสำคัญ แล้วชีวิตของสองพี่น้องเสี่ยวเฉิงไม่สำคัญอย่างนั้นเหรอ?
เธอพูดอย่างเคร่งขรึม “ฉันไม่สามารถตัดสินใจใด ๆ แทนเหยื่อได้ เสี่ยวเฉิงจะถูกย้ายไปยังห้องผู้ป่วยทั่วไปในอีกไม่กี่วัน พวกคุณก็ลองไปขอร้องเสี่ยวเฉิงเองแล้วกัน”
คู่สามีภรรยาสูงอายุหันมองหน้ากันและกัน
ผู้เฒ่าหวังยังคงวิงวอนต่อ “เสี่ยวเฉิงเชื่อฟังคุณมากที่สุด โปรดเป็นคนตัดสินใจแทนเขาด้วยเถอะ”
หลินม่ายพูดด้วยสีหน้าเย็นชา “ถ้าคุณยืนกรานให้ฉันตัดสินใจแทนเสี่ยวเฉิง ฉันจะไม่รับเงินสักหยวนเดียว และปล่อยให้ลูกสาวคุณเผชิญกับผลที่ตามมา!”
ผู้เฒ่าหวังและภรรยาไม่มีทางเลือกอื่น นอกจากต้องเช็ดน้ำตาและจากไปอย่างเศร้าใจ
…………………………………………………………………………………………………………………………
สารจากผู้แปล
คิดว่าเหยื่อที่เกือบจะเอาชีวิตไม่รอดจะยอมให้อภัยงั้นเหรอ ไม่มั้งคะ ลูกสาวพวกคุณควรเจอของจริงเสียบ้าง
ไหหม่า(海馬)