แม่ปากร้ายยุค 80 - ตอนที่ 1012 สองพี่น้อง
ตอนที่ 1012 สองพี่น้อง
ตอนที่ 1012 สองพี่น้อง
วันแรกที่สถานสงเคราะห์เปิดให้ลงทะเบียน หลินม่ายได้ไปสถานสงเคราะห์เพื่อตรวจสอบสถานะการลงทะเบียนหลังจากรับประทานอาหารเช้า
เมื่อมาถึง เธอก็เห็นฝูงชนมารวมตัวกันที่ทางเข้าสถานสงเคราะห์
คนมากมายเหล่านี้ล้วนดูคุ้นหน้าทั้งคนแก่ คนหนุ่มสาว และวัยกลางคน ซึ่งทำให้หลินม่ายประหลาดใจ
ใบหน้าที่คุ้นเคยเหล่านั้นล้วนเป็นคนเฒ่าคนแก่และลูกหลานของพวกเขาที่ไปยังบ้านของหลินม่ายในเมืองเจียงเฉิงช่วงฤดูร้อน ซึ่งขอร้างหลินม่ายว่าอย่าฟ้องร้องลูกหลานพวกเขาว่าอกตัญญู
หลินม่ายยืนอยู่ที่มุมอับ ขณะมองดูเหล่าผู้สูงอายุ
พิจารณาจากเสื้อผ้าเพียงอย่างเดียว พวกเขาดูดีขึ้นกว่าครั้งสุดท้ายที่เจอกันเล็กน้อย แม้จะเป็นเสื้อผ้าเก่า แต่ก็ไม่ได้มีรอยปะเต็มตัว
ทว่าผิวพรรณพวกเขายังแห้งกร้าน ร่างกายผอมแห้ง ซึ่งดูเหมือนว่าจะได้รับอาหารไม่เพียงพอ
ในเวลานี้ ชายชราคนหนึ่งสังเกตเห็นหลินม่าย เขาก็กล่าวทักทายด้วยรอยยิ้ม
ผู้มีบุญบารมีและอำนาจ ต่อให้ซ่อนตัวอย่างไรก็ถูกค้นพบ
หลินม่ายจึงเลิกซ่อนตัว เธอเดินเข้าไปและถามอย่างรู้ทัน “ผู้อาวุโส ทำไมคุณถึงมาอยู่ที่นี่ล่ะคะ?”
ชายชราเดินเข้ามาใกล้และกล่าวด้วยรอยยิ้มประจบประแจง “คุณไม่ได้เปิดสถานสงเคราะห์เพื่อรองรับผู้สูงอายุโดยเฉพาะเหรอ พวกเรามาแล้ว~”
หลินม่ายตอบกลับอย่างอดทน “สถานสงเคราะห์ของฉันไม่สามารถรองรับผู้สูงอายุทุกคน มีเพียงผู้สูงอายุที่อายุครบ 65 ปีบริบูรณ์ ไม่มีบุตร ไร้สมรรถภาพในการทำงาน และไม่มีรายได้ประจำ จึงจะสามารถเข้ามายังสถานสงเคราะห์ของฉันได้”
ชายชราอ้อนวอน “ลูก ๆ ของผมต่างก็มีชีวิตที่ยากลำบากมากไม่สามารถเลี้ยงดูผมได้ โปรดช่วยรับผมเข้าสถานสงเคราะห์ในฐานะคนแก่ที่ตัวคนเดียวด้วยเถอะ”
ผู้อาวุโสคนอื่น ๆ ที่ตกอยู่ในสถานการณ์เดียวกันต่างก็มองหลินม่ายด้วยสายตาอ้อนวอน
หลินม่ายปฏิเสธอย่างเด็ดขาด “ไม่ได้ค่ะ!”
เธอมาที่นี่เพื่อทำการกุศล ไม่ใช่เพื่อให้ใครมาเอาเปรียบ
ผู้เฒ่าเหล่านี้รวมตัวกันเพื่อเล่าเรื่องราวความยากลำบากของชีวิตลูก ๆ ทั้งน้ำตา และขอร้องให้หลินม่ายปล่อยให้พวกเขาได้อาศัยอยู่ในสถานสงเคราะห์
ไม่ว่าลูก ๆ ของผู้สูงอายุเหล่านี้จะลำบากหรือไม่ก็ตาม มันก็ไม่เกี่ยวกับหลินม่าย
เธอพูดอย่างเย็นชา “แล้วฉันจะขอให้สหายจากสำนักงานกิจการพลเรือนตรวจสอบดูว่า สมาชิกในครอบครัวของพวกคุณยากจนจริงหรือไม่ หากคุณไม่มีคุณสมบัติตามที่กล่าวอ้าง ตำรวจจะวิพากษ์วิจารณ์ลูกหลานของพวกคุณเอง ซึ่งจะกลายเป็นเรื่องวุ่นวายเสียเปล่า ๆ เมื่อเรื่องนี้กลายเป็นเรื่องร้ายแรง หากศาลทราบว่าลูกหลานของคุณมีความสามารถที่จะช่วยเหลือคุณได้ แต่กลับไม่ยอมสนับสนุนคุณ พวกเขาจะถูกลงโทษตามกฎหมายนะคะ”
ผู้อาวุโสและลูกหลานของพวกเขาที่หวังจะได้เงินบำนาญฟรีจากสถานสงเคราะห์ของหลินม่ายล้วนหวาดกลัวและแยกย้ายกันออกไป
หลินม่ายมองดูผู้สูงอายุที่เหลือ ซึ่งบางคนเป็นม่าย ทว่ายังมีสุขภาพดีและสามารถทำงานได้ ผู้อำนวยการจะไม่ยอมรับคนเหล่านี้
สถานสงเคราะห์มีพื้นที่จำกัด และสามารถรองรับเฉพาะผู้สูงอายุที่มีความต้องการมากที่สุดเท่านั้น
ผู้สูงอายุที่เป็นหม้ายที่ยังมีสุขภาพแข็งแรงดีเดินทางมาพร้อมความหวัง ทว่าก็ต้องกลับไปด้วยความผิดหวังเท่านั้น
แม้ว่าผู้อำนวยการและคณะบุคลากรจะปลอบโยนผู้เฒ่าหลายครั้งว่า สถานสงเคราะห์จะยอมรับพวกเขาเมื่อตรงตามเงื่อนไข ทว่าผู้เฒ่าจำนวนมากยังคงหลั่งน้ำตาแห่งความโศกเศร้า
หลินม่ายคิดอยู่เพียงครู่ ก่อนบอกผู้อาวุโสเหล่านั้นว่าอย่าเพิ่งรีบกลับไป เธอขอให้ผู้อำนวยการลงทะเบียนพวกเขาไว้ทั้งหมด
เธอสัญญากับผู้อาวุโสเหล่านั้นว่าตนวางแผนที่จะรับพวกเขาเข้ามาภายในหนึ่งปี ขึ้นอยู่กับว่าพวกเขาจะยอมรับหรือไม่
หลังจากที่ผู้เฒ่าเหล่านั้นลงทะเบียนแล้ว พวกเขาก็จากไปด้วยความซาบซึ้ง
ในขณะที่ลงทะเบียนผู้สูงอายุที่มีคุณสมบัติเหมาะสม ผู้อำนวยการหันมาพูดกับหลินม่ายว่า “คุณหลิน ฉันเกรงว่าผู้สูงอายุที่มีความต้องการมากที่สุดยังมาไม่ถึงสถานสงเคราะห์”
ผู้สูงอายุที่มาลงทะเบียนวันนี้ อย่างแย่ที่สุดคือคนแก่ที่มาพร้อมไม้เท้า
ยังมีคนชราที่มีสภาพย่ำแย่กว่าอยู่ข้างนอกนั่น
บางคนอาจจะไม่รู้ข่าว และบางคนอาจจะมาไม่ได้
หลินม่ายพูด “เราได้รับสมัครอาสาสมัครจำนวนมาก คุณให้อาสาสมัครลงพื้นที่เพื่อตรวจสอบเชิงลึก และนำผู้สูงอายุที่ต้องการความช่วยเหลือมากที่สุดแต่ไม่สามารถเดินทางมาเองได้นะคะ”
หลังจากกลับจากสถานสงเคราะห์ หลินม่ายไปซื้อวัตถุดิบที่ตลาดและกลับบ้าน
มีผู้สูงอายุมากกว่าสิบคนนั่งอยู่ในห้องนั่งเล่นขณะพูดคุยกับคุณปู่ฟางและคุณย่าฟาง
หลินม่ายไม่เห็นเสี่ยวเหวินและตงตง จึงถามคุณย่าฟางว่าพวกเขาอยู่ที่ไหน
คุณย่าฟางตอบ “ออกไปเล่นข้างนอกกันน่ะ” จากนั้นจึงถามหลินม่ายว่าเหตุใดจึงกลับบ้านช้าจนเกือบเวลาเที่ยงแล้ว
หลินม่ายอธิบายสั้น ๆ โดยบอกว่าผู้สูงอายุและลูกหลานของพวกเขาต้องการเข้าสถานสงเคราะห์ แต่เธอไล่พวกเขากลับไป ซึ่งทำให้เสียเวลาไปบ้าง
แขกของบ้านที่เป็นผู้สูงอายุต่างรีบบอกกับหลินม่ายเป็นเสียงเดียว
ว่ากันว่าผู้สูงอายุเหล่านั้นปฏิเสธความช่วยเหลือทางกฎหมายของหลินม่าย ลูกหลานของพวกเขาจึงแสร้งทำเป็นกตัญญูเพียงไม่กี่วัน
เมื่อเห็นว่าไม่มีเจ้าหน้าที่ของรัฐเข้ามาตรวจสอบ และไม่ช่วยเหลือผู้สูงอายุเหมือนเมื่อก่อน
ลูกหลานก็ดุด่าผู้เฒ่าที่บ้านว่าแก่แล้วยังหนังเหนียว ชีวิตของผู้เฒ่าเหล่านั้นยากลำบากยิ่งกว่าเมื่อก่อน
หลังจากที่หลินม่ายได้ยินสิ่งนี้ เธอก็ไม่มีความเห็นอกเห็นใจเลย และไม่อยากช่วยพวกเขาอีกต่อไป
ที่เธอเข้าไปช่วยเหลือก่อนหน้า เพียงเพราะมันเป็นคำขอของคุณปู่ฟางและคุณย่าฟาง
ไม่ว่าคนแก่เหล่านั้นจะลำบากแค่ไหน แต่พวกเขาก็เลือกมันเอง
อีกไม่นานจะใกล้ขึ้น 23 ค่ำ เดือน 12 แล้ว และพรุ่งนี้ก็จะเป็นวันปีใหม่
หลินม่ายไปเยี่ยมสถานสงเคราะห์ในช่วงเช้า จากนั้นพาทั้งครอบครัวและหวางไฉกลับไปเมืองเจียงเฉิงช่วงบ่าย
หลังจากลงทะเบียน คัดกรอง และการเยี่ยมเยียนของอาสาสมัครรุ่นเยาว์มาหลายวัน สถานสงเคราะห์ก็รับคนเต็มจำนวน
ปัจจุบันผู้สูงอายุที่มีคุณสมบัติเหมาะสมได้ย้ายเข้ามาอยู่แล้ว และบ้านพักสวัสดิการได้เปิดดำเนินการอย่างเป็นทางการ
หลินม่ายรีบกินข้าวเช้าและมาถึงสถานสงเคราะห์ ผู้สูงอายุที่ถูกพาเข้ามาเมื่อวานนี้กำลังรับประทานอาหารเช้าในห้องอาหาร สำหรับผู้ที่มีปัญหาด้านการเคลื่อนไหวจะได้รับการจัดหาอาหารให้ที่ห้องพัก
อาหารเช้าประกอบด้วยโจ๊กและซาลาเปาผักที่ผู้สูงอายุทุกคนต่างก็เพลิดเพลิน
ขณะที่หลินม่ายกำลังเยี่ยมเยียน เธอเห็นหญิงสูงอายุผมสีขาวเหมือนหิมะซึ่งสูญเสียขาทั้งสองข้างตั้งแต่หัวเข่าลงมากำลังนั่งอยู่บนม้านั่งและรับประทานอาหารเช้า
เมื่อเห็นว่าหลินม่ายมองหญิงชรา ผู้อำนวยการจึงรีบรายงานว่า “อาสาสมัครที่ลงพื้นที่ได้ไปเจอหญิงชราคนนี้ในหมู่บ้าน หล่อนอายุห้าสิบเศษ และไม่มีขาทั้งสองข้าง ทำไร่ทำนาเพื่อหาเลี้ยงชีพ และมีชีวิตที่ยากลำบากมาก แม้ว่าอายุจะไม่เป็นไปตามเกณฑ์ แต่เราก็ยกเว้นให้รับหล่อนเข้ามา”
หลินม่ายกล่าว “เราพิจารณายกเว้นหล่อนได้ แต่เรายังคงต้องรายงานต่อรองประธานเจิ้ง ซึ่งจะต้องได้รับการอนุมัติในการประชุมที่จัดโดยรองประธานเจิ้งเท่านั้น หากรองประธานเจิ้งไม่เห็นด้วย แต่คุณคิดว่าเราควรพิจารณายกเว้น คุณสามารถต่อสายหาฉันโดยตรง”
ผู้อำนวยการตอบรับ
หลินม่ายถามด้วยความสับสน “ป้าคนนี้ไม่มีขาทั้งสองข้าง แล้วหล่อนทำไร่นาด้วยตัวเองได้อย่างไร?”
“หล่อนคลานไปทำงานทุกวัน”
หลินม่ายคิดภาพตาม เธอพลันรู้สึกเศร้าใจมาก
เธอเดินตรวจตราต่อไป ก่อนเห็นเด็กชายหญิงคู่หนึ่งกำลังรับประทานอาหารเช้าอยู่ในโรงอาหารด้วย
เด็กชายดูเหมือนอายุประมาณแปดถึงเก้าขวบ ส่วนเด็กหญิงอายุเพียงสามถึงสี่ขวบ พวกเขาทั้งคู่กินซาลาเปาผักเต็มปากราวกับว่าไม่ได้กินอาหารมานาน และกลืนอย่างตะกละตะกลาม
หลินม่ายถามด้วยความงุนงง “มีเด็กอยู่ที่นี่ได้อย่างไรคะ?”
สถานสงเคราะห์ของเธอมีไว้สำหรับผู้สูงอายุเท่านั้น
ผู้อำนวยการอธิบาย “เด็กสองคนนี้มาจากเมืองเจียงเฉิงเมื่อวานนี้ โดยบอกว่าพวกเขาต้องการเข้าสถานสงเคราะห์ ฉันสอบถามดูแล้ว พวกเขามีพ่อแม่ และถึงแม้ว่าพวกเขาจะไม่มีพ่อแม่ แต่ก็ไม่ผ่านเกณฑ์การรับเข้า ฉันจึงไม่ได้ตั้งใจจะรับพวกเขาไว้ แต่เมื่อวานพวกเขามาถึงเย็นมากแล้วจนกลับบ้านไม่ได้ จึงพาพวกเขาเข้ามาพักหนึ่งคืน และวางแผนจะปล่อยพวกเขากลับไปหลังกินอาหารเช้า”
หลินม่ายพูด “ส่งพวกเขาให้ฉันแล้วกัน ฉันจะพาพวกเขากลับเมืองเจียงเฉิงเอง”
ผู้อำนวยการเดินไปหาสองพี่น้องและขอให้พวกเขารีบกินข้าว เพื่อที่จะได้นั่งรถกลับไปกับหลินม่าย
พี่ชายเหลือบมองหลินม่ายและรีบกินซาลาเปาผักในมือจนหมด เมื่อเห็นว่าน้องสาวกินเสร็จแล้ว เขาจับมือเล็ก ๆ ของหล่อนเพื่อให้ลุกจากโต๊ะอาหาร
เด็กหญิงตัวน้อยทนไม่ได้ที่จะแยกจากซาลาเปาผักสองลูกที่เหลืออยู่บนจาน หล่อนยื่นมือเล็กออกไปหยิบมัน แต่พี่ชายก็ตบมือหล่อนและบอกว่าห้ามเอาไป
เด็กหญิงเชื่อฟังพี่ชายโดยดี แม้จะเม้มปากด้วยความไม่พอใจ แต่ก็ไม่ได้ร้องไห้
ผู้อำนวยการจึงวางซาลาเปาผักสองลูกไว้ในมือของเด็กหญิง ซึ่งทำให้หล่อนยิ้มกว้างอย่างมีความสุข
หลินม่ายเดินไปยังทางออกโดยจับมือเด็กไว้ข้างหนึ่ง เธอถามผู้เป็นพี่ชายว่า “ถ้ามีพ่อแม่อยู่ ทำไมถึงอยากเข้าสถานสงเคราะห์ล่ะ?”
ชื่อเล่นของผู้พี่คือเสี่ยวเฉิง เขาเป็นเด็กชายที่มีดวงตาใสกระจ่างทอแววเศร้าโศก
เขาก้มศีรษะลงพลางตอบคำเบา “ผมกับน้องสาวมีพ่อแม่ก็จริง แต่ก็เป็นแม่เลี้ยง แม่เลี้ยงไม่ทำงาน และมีลูกสาว 2 คน ครอบครัวต้องอาศัยพ่อเพียงคนเดียวเพื่อหาเงิน ทำให้ครอบครัวมีชีวิตลำบากมาก แม่เลี้ยงไม่ชอบผมและน้องสาวเท่าไหร่ โดยบอกว่าพวกเราเป็นภาระ หล่อนมักจะบอกให้พ่อทุบตีทำร้ายเรา และไม่ยอมให้อาหารเรากิน ผมพาน้องสาวหนีออกจากบ้าน เพื่อไปเก็บอาหารกินตามถังขยะ ตอนนี้เป็นฤดูหนาว และหนาวเกินกว่าจะนอนบนถนนในตอนกลางคืนได้ คุณป้าใจดีคนหนึ่งบอกว่ามีสถานสงเคราะห์เพิ่งเปิดใหม่ และขอให้ผมพาน้องสาวไปสถานสงเคราะห์ของคุณ เผื่อว่าบางทีสถานสงเคราะห์อาจรับเราเข้าไป อย่างน้อยเราสองคนจะได้มีอาหารกินและมีที่ซุกหัวนอน ผมพาน้องสาวมาขอทานตามถนน เดินเท้าอยู่หลายวันกว่าจะมาถึงสถานสงเคราะห์แห่งนี้ ป้าใหญ่ผู้อำนวยการบอกผมว่าสถานสงเคราะห์ของคุณรับเฉพาะผู้สูงอายุที่ต้องการความช่วยเหลือเท่านั้น และไม่รับเด็กอย่างเรา” สิ้นเสียง น้ำตาใสไหลอาบแก้มของเขาเงียบงัน
เมื่อเห็นว่าพี่ชายของตัวเองร้องไห้ น้องสาวก็ลนลานไม่รู้จะปลอบใจอย่างไร หลังจากคิดได้ หล่อนก็ยื่นซาลาเปาให้เขา “พี่ชาย นี่”
เสี่ยวเฉิงผลักมือน้องสาวกลับไปพลางละล่ำละลัก “พี่ชายไม่กิน น้องเก็บไว้กินเองตอนที่หิวเถอะ”
หลินม่ายถาม “แล้วแม่แท้ๆ ของพวกเธอล่ะอยู่ไหน?”
“หลังจากที่พ่อกับแม่หย่ากันและแต่งงานใหม่ พวกเขาก็ไม่สนใจเราอีกต่อไป”
หลินม่ายลูบหัวเด็กน้อยทั้งสอง “พวกเธออย่าห่วงเลย หลังจากกลับเมืองเจียงเฉิง น้าจะไปหาพ่อแม่ของพวกเธอ พูดคุยกับเขาและบอกให้พวกเขาดูแลพวกเธออย่างดี หากพวกเขาละเลยพวกเธออีก น้าจะให้ตำรวจมาจับพวกเขาซะ”
เสี่ยวเฉิงผู้เป็นพี่ชายพยักหน้าด้วยความรู้สึกลังเล
………………………………………………………………………………………………………………………..
สารจากผู้แปล
สงสารสองพี่น้องนี้มากเลย นี่ไงจึงเป็นเหตุผลที่ว่าทำไมถึงต้องมีลูกเมื่อพร้อม
ไหหม่า(海馬)