แม่ปากร้ายยุค 80 - ตอนที่ 1010 ขึ้นรถไฟใต้ดิน
ตอนที่ 1010 ขึ้นรถไฟใต้ดิน
ตอนที่ 1010 ขึ้นรถไฟใต้ดิน
จี้กั๋วโหย่วยิ้มด้วยท่าทางชั่วร้ายและกล่าวว่า “เซิงซื่อกรุปกำลังร่วมมือกับซิงกวงพลาซ่าเพื่อส่งเสริมบริการหลังการขาย และการเคลื่อนไหวครั้งนี้ได้ขัดผลประโยชน์ของร้านซ่อมเครื่องใช้ไฟฟ้าเหล่านั้น เมื่อใดที่เรายุยงพวกเขา พวกเขาย่อมไปสร้างปัญหาที่ซิงกวงพลาซ่าน่ะครับ”
ประธานหวงดูลังเลเล็กน้อย “เราเองก็จะให้บริการหลังการขายสำหรับเครื่องใช้ไฟฟ้าเหมือนกัน ไม่กลัวว่าเราจะเดือดร้อนหลังทำแบบนั้นหรือยังไง?”
จี้กั๋วโหย่วครุ่นคิดเล็กน้อย “ถ้าอย่างนั้นผมจะพยายามยุยงคนโง่สองถึงสามคนที่ทำงานซ่อมเครื่องใช้ไฟฟ้าเพื่อสร้างปัญหาให้ซิงกวงพลาซ่า”
ประธานหวงได้ยินแล้วก็พยักหน้าและขอให้เขาดำเนินการด้วยความระมัดระวัง อย่าให้ตกหลุมพรางซิงกวงพลาซ่าอีก
จี้กั๋วโหย่วตบหน้าอกให้คำสัญญาว่าทุกอย่างจะไม่เป็นไร
เป็นตามที่หลินม่ายคาดการณ์ไว้ ในด้านผลิตภัณฑ์เดียวกัน ทั้งซิงกวงพลาซ่าและฉวินกวงพลาซ่าต่างก็กำหนดราคาเดียวกัน และมีการแข่งขันด้านยอดขายสูสีกัน
อย่างไรก็ตามงานเปิดตัวของซิงกวงพลาซ่าทำได้ดีมากและได้รับความนิยม ดังนั้นจึงมีข้อได้เปรียบเล็กน้อย
แม้ประธานหวงจากฉวินกวงพลาซ่าจะโกรธมาก แต่เขาก็ไม่กล้าส่งเสริมการขายมากกว่าเดิม
เขาจะไม่กระทำเรื่องโง่เขลาเช่นการทำธุรกิจแบบขาดทุนเด็ดขาด
เขาทำได้เพียงสั่งให้พนักงานปรับปรุงคุณภาพการบริการ เพื่อพยายามเอาชนะใจลูกค้าบางรายด้วยคุณภาพการบริการที่เป็นเลิศ
แต่ก่อนที่ซิงกวงพลาซ่าจะเปิด พนักงานของฉวินกวงพลาซ่าต่างมีความรู้สึกเหนือกว่า เพราะพวกเขาเป็นพนักงานของบริษัทจากไต้หวัน
ภายนอกพวกเขาดูกระตือรือร้น แต่แท้จริงแล้วกำลังดูถูกลูกค้า ทำให้ความนิยมของผู้บริโภคลดลง
นอกจากนี้การแจกแอปเปิลในวันเปิดทำการยังไม่ได้ผลตามที่ต้องการ แล้วยังทำให้ความพึงพอใจโดยรวมของลูกค้าลดลงอีกด้วย
แม้จะพยายามแก้ไขสถานการณ์ตอนนี้ แต่ผู้บริโภคก็ยังไม่มั่นใจมากนัก
ดังนั้นลูกค้าส่วนใหญ่จึงเลือกซื้อสินค้าชนิดเดียวกันที่ซิงกวงพลาซ่า
การซื้อของที่ซิงกวงพลาซ่าไม่เพียงหลีกเลี่ยงความรู้สึกต่ำต้อย แต่ยังเปิดโอกาสให้ลูกค้าได้รับการจับฉลากเมื่อซื้อสินค้ามากกว่า 10 หยวน ซึ่งถือเป็นสิทธิพิเศษที่ดีทีเดียว
ฉวินกวงพลาซ่าติดตามและคัดลอกกิจกรรมการกุศลของซิงกวงพลาซ่าทันที แต่เปลี่ยนเป้าหมายการระดมทุนเป็นผู้สูงอายุที่ยากจนและกำพร้า
นอกจากนี้ยังได้เพิ่มแรงจูงใจอีกด้วย
โดยจัดรางวัลที่หนึ่งเป็นตู้เย็นยี่ห้อเจียนจวิน 2 รางวัล รางวัลที่สองคือชุดโทรทัศน์ยี่ห้อไฉ่หง 5 รางวัล รางวัลที่สามคือหม้อหุงข้าว 10 รางวัล และรางวัลปลอบใจคือวิทยุ 100 รางวัล
การเคลื่อนไหวของฉวินกวงพลาซ่าในครั้งนี้ดึงดูดลูกค้าจำนวนมากทันที
ท้ายที่สุดลูกค้าทั่วไปก็ต้องการร้านที่ให้ข้อเสนอดีและส่วนลดที่ดีที่สุด
จินฉี่คังรู้สึกหงุดหงิดอย่างมาก และไม่สามารถหาวิธีแก้ปัญหาในเวลาอันสั้นเช่นนี้
อีกทั้งความวัวยังไม่ทันหายความควายก็เข้ามาแทรก ในวันที่ 4 ของการเปิดห้าง หลังประตูเปิดได้ไม่นานก็มีชาย 2 คน คนหนึ่งอ้วน อีกคนผอม มาที่แผนกเครื่องใช้ไฟฟ้าในบ้าน
ชายทั้งสองตะโกนอย่างดุดันเมื่อพวกเขามาถึง โดยบอกว่าตู้เย็นเซิงซื่อที่พวกเขาซื้อในวันที่สองหลังจากการเปิดซิงกวงพลาซ่ามีปัญหา และต้องการขอคืน
เสียงของพวกเขาทำให้ลูกค้าในแผนกเครื่องใช้ไฟฟ้าต่างก็รู้สึกลังเล
พนักงานขายจากแผนกเครื่องใช้ไฟฟ้าภายในบ้านรีบเข้ามาหาด้วยรอยยิ้ม โค้งคำนับอย่างสุภาพและกล่าวว่า “ทางเราเสียใจจริง ๆ สำหรับประสบการณ์ไม่น่าพึงพอใจที่คุณได้รับ กรุณาทิ้งข้อมูลติดต่อและที่อยู่บ้านของคุณไว้ เรารับประกันว่าจะไปรับคืนถึงหน้าประตูบ้านของคุณภายในสองวัน”
ในตอนแรกชายทั้งสองตั้งใจจะก่อเหตุ แต่กลับไม่ได้คาดคิดว่าพนักงานขายจากซิงกวงพลาซ่าจะตกลงรับสินค้าคืนโดยไม่มีข้อโต้แย้งใดๆ พวกเขาไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องทิ้งข้อมูลติดต่อและที่อยู่ไว้
บุคคลสองคนนี้เป็นเจ้าของร้านซ่อมเครื่องใช้ไฟฟ้าขนาดเล็ก เนื่องจากมีทักษะทางเทคนิคที่จำกัด พวกเขาจึงถูกปฏิเสธการสมัครเข้าทำงานในเซิงซื่อกรุปของฟางจั๋วเยวี่ย
ในท้ายที่สุด จี้กั๋วโหย่วต้องติดสินบนคนกลุ่มหนึ่งเพื่อสร้างปัญหาและจัดการประท้วงซิงกวงพลาซ่า
ทั้งสองคนล้มเหลวในการสร้างปัญหา และยังกลายเป็นการโฆษณาฟรีให้กับซิงกวงพลาซ่าและเครื่องใช้ไฟฟ้าเซิงซื่อโดยไม่ได้ตั้งใจ พวกเขารักษาสัญญาตามที่กล่าว และบอกว่าหากมีปัญหาด้านคุณภาพภายในครึ่งเดือน พวกเขาจะรับประกันการคืนเงินหรือการเปลี่ยนทดแทน
ลูกค้าที่ลังเลขณะจะซื้อเครื่องใช้ไฟฟ้าเซิ่งซื่อที่มีราคาแพงกว่ายี่ห้ออื่น ๆ ต่างก็ไม่ลังเลอีกต่อไป และสั่งซื้อโดยรอให้จัดส่งถึงหน้าประตูบ้าน
เดิมทีเครื่องใช้ไฟฟ้าเซิ่งซื่อมียอดขายปานกลางเนื่องจากมีราคาที่สูง แต่เหตุการณ์ก่อนหน้านี้ได้ส่งผลให้ยอดขายกลับกลายเป็นพุ่งกระฉูด ทำให้จี้กั๋วโหย่วโกรธมากจนแทบจะกระอักเลือดออกมาเต็มปาก
หลินม่ายเดินทางกลับเมืองหลวงเมื่อวันที่ 28 ธันวาคม และในวันที่ 1 มกราคม รถไฟใต้ดินสาย 2 ก็มีกำหนดให้เปิดใช้บริการ คุณปู่ฟางและภรรยาตัดสินใจแล้วว่าจะให้ทั้งครอบครัวไปร่วมงานวันเปิดตัว
เช้าวันที่ 1 มกราคม ทั้งครอบครัวแต่งตัวและไปขึ้นรถไฟใต้ดินสาย 2
ลมหนาวของปลายฤดูหนาวให้ความรู้สึกเหมือนคมมีดกรีดผิวหน้า แต่ไม่มีใครในครอบครัวรู้สึกหนาว และพวกเขาก็ตื่นเต้นกันมาก
หลินม่ายคิดว่าคงไม่มีใครกระตือรือร้นที่จะขึ้นรถไฟใต้ดินสายแรกเท่ากับครอบครัวของเธอแล้ว แต่ทันทีที่ออกจากบ้าน พวกเขาก็บังเอิญเจอเพื่อนบ้านหลายรายที่กำลังมุ่งหน้าไปขึ้นรถไฟฟ้าใต้ดินสาย 2 เช่นกัน
ทุกคนพูดคุยพลางหัวเราะ และเดินไปด้วยกัน
เมื่อไปถึงสถานีรถไฟใต้ดิน ผู้คนมากมายก็กำลังรอขึ้นรถไฟใต้ดินสายแรกเต็มสถานี
ผู้คนในเมืองหลวงต่างก็มีมารยาทยอดเยี่ยม พวกเขาเข้าแถวเป็นระเบียบโดยอัตโนมัติเมื่อเข้าสู่สถานีรถไฟใต้ดิน และภายในสถานีรถไฟใต้ดินก็แทบจะไม่มีคนแย่งชิงที่นั่งกันเลย เพราะทุกคนต่างมีน้ำใจต่อกัน
นักศึกษาหญิงสองคนเห็นว่าคุณปู่ฟางและคุณย่าฟางเป็นคนชราผมหงอก พวกหล่อนรีบสละที่นั่งให้ทันที
คุณปู่ฟางและคุณย่าฟางต่างพูดด้วยรอยยิ้มว่า พวกเขายังแข็งแรง และสามารถยืนได้ระยะหนึ่ง
ภาพเหตุการณ์ที่ค่อนข้างสมานฉันท์กลมเกลียวกันนี้กลับถูกทำลายโดยป้าอายุประมาณห้าสิบปี
คุณป้าคนนั้นรีบปรี่เข้ามาราวกับลูกกระสุนปืนใหญ่ “ถ้าพวกคุณไม่นั่ง ฉันนั่งเอง ฉันไม่ค่อยแข็งแรง”
พูดจบหล่อนก็ทำท่าจะนั่งลง
วันนี้ฟางจั๋วหรานไม่จำเป็นต้องทำงานล่วงเวลา ดังนั้นเขาจึงขึ้นรถไฟใต้ดินสาย 2 กับทุกคน
เขาไม่ปล่อยให้ป้าใหญ่คนนั้นนั่ง แต่กลับแทรกตัวเพื่อทำให้อีกฝ่ายเดินเซไปอีกทาง
เขามองชายชราในชุดทหารสีซีดกับภรรยาที่ยืนอยู่ไม่ไกล
หลินม่ายเข้าใจความหมายทันที และรีบออกไปช่วย “คุณปู่ คุณย่า ตรงนี้ยังมีที่นั่งนะคะ”
นักศึกษาหญิงสองคนยังเชิญชวนคู่รักชราสองคนให้นั่งลงอย่างกระตือรือร้น
คู่รักชราสองคนกล่าวขอบคุณซ้ำแล้วซ้ำเล่าด้วยฟันหลอชัดเจน ก่อนจะเดินไปนั่ง
คุณป้าที่ไม่ได้ที่นั่งโมโหมากจนใบหน้าแดงก่ำเป็นตับหมู หล่อนกลอกตามองฟางจั๋วหรานและพูดว่า “คุณรู้ไหมว่าฉันเป็นใคร?”
ฟางจั๋วหรานยิ้มอย่างเหยียดหยาม “ตัวตนของคุณเกี่ยวข้องกับผมยังไงเหรอครับ?”
ป้าใหญ่สำลักด้วยความโกรธ “ต้นตระกูลฉันเป็นแม่ทัพกองธงเหลือง กล้าดียังไงมาทำให้ฉันโกรธ!”
ทุกคนหัวเราะ
หลินม่ายเข้ามาแทรกและแสยะยิ้ม “สามีของฉันทำให้คุณขุ่นเคือง คุณจะทำอะไรกับเขาหรือคะ?”
ป้าใหญ่ไม่สามารถทำอะไรฟางจั๋วหรานได้
หล่อนไม่สามารถแม้แต่จะสร้างสถานการณ์เพื่อกล่าวหาเขาได้ ก่อนหน้านี้ฟางจั๋วหรานเพียงแค่แทรกตัวทำให้หล่อนเบี่ยงไปอีกทาง และไม่ได้ใช้กำลังกับหล่อนเลย
ป้าใหญ่รู้สึกเสียหน้าเล็กน้อย ทำไมหล่อนถึงลืมล้มไปกับพื้นเมื่อกี้กันนะ?
จะแกล้งล้มตอนนี้คงสายเกินไปแล้ว
หลินม่ายเดินเข้ามาหาป้าใหญ่ “ตอนนี้ยังเช้าอยู่เลย อีกอย่างราชวงศ์ก็ถูกปฏิรูปโค่นล้มไปแล้ว ทำไมคุณถึงต้องก่อปัญหาด้วย?”
คำพูดของเธอทำให้ป้าใหญ่พูดไม่ออก
หลินม่ายเกลียดคนประเภทที่อ้างว่าสถานะทางสังคมตัวเองสูงส่งกว่าคนอื่น ไม่ว่าจะอ้างถึงราชวงศ์ชิงหรือมีบรรพบุรุษเป็นแม่ทัพกองธงเหลืองก็ตาม
แล้วไงล่ะ? การปล่อยให้มหาอำนาจต่างชาติเหยียบย่ำจีนโดยไม่มีความสามารถในการสู้กลับนั้นน่าอายยิ่งกว่าไม่ใช่เหรอ
เช่นนั้นต้องยืนหยัดด้วยตัวเอง เพื่อไม่ให้คนอื่นมาดูถูกได้!
หลินม่ายกำลังดูถูกป้าใหญ่ผู้สืบเชื้อสายมาจากแม่ทัพกองทัพธงเหลือง ขณะที่คุณปู่ฟางและคุณย่าฟางพูดคุยกับชายชราในชุดทหารเป็นอย่างดี
คุณปู่ฟางจ้องมองเหรียญตราบนชุดทหารของชายชราคนนั้นและกล่าวชมเชย “สหายคนนี้ไม่ธรรมดาเลย คุณได้รับเหรียญตราถึงเก้าเหรียญ!”
ชายชราในชุดทหารพูดอย่างเสียใจ “คงจะดีมากถ้าผมเก็บได้สิบเหรียญ ผมยังขาดอยู่หนึ่งอัน”
จากนั้นเขาก็กล่าวเสริมด้วยความเขินอายว่า “ถ้าไม่ใช่เพราะตั้งใจไปจัตุรัสเทียนอันเหมินเพื่อดูพิธีเชิญธง ผมก็คงไม่สวมเหรียญพวกนี้มา”
คุณปู่ฟางฟังสำเนียงเสฉวนและมองดูเสื้อผ้าเรียบง่ายของคู่สามีภรรยาสูงอายุ
โดยเฉพาะกางเกงที่หญิงชราสวมใส่นั้นถูกปะที่หัวเข่า ซึ่งแสดงให้เห็นว่าภูมิหลังทางครอบครัวของพวกเขาไม่ดี
คุณปู่ฟางพูดด้วยรอยยิ้ม “เดินทางมาตั้งไกล ทำไมไม่พักผ่อนที่บ้านผมหน่อยล่ะ? พรุ่งนี้เราค่อยไปจัตุรัสเทียนอันเหมินเพื่อดูพิธีเชิญธงด้วยกัน”
ชายชราในชุดทหารโบกมือและปฏิเสธด้วยความเขินอาย “อย่าลำบากเลย”
เขารู้สึกว่าเป็นการรบกวนเกินไปที่จะพักอาศัยในบ้านของผู้คนที่เพิ่งเจอกันโดยบังเอิญ
อย่างไรก็ตาม หลินม่ายและคนอื่น ๆ กลับคะยั้นคะยอให้คู่สามีภรรยาสูงอายุมาพักผ่อนที่บ้านของพวกเขา
โดยเฉพาะเสี่ยวมู่ตง เขาจับมือของปู่ย่าคู่นี้อย่างคุ้นเคย และยืนกรานที่จะให้ทั้งสองมาพักที่บ้าน
เป็นการยากที่จะปฏิเสธการต้อนรับเช่นนี้ คนชราทั้งสองจึงหน้าแดงและตอบตกลง
หลังจากลงจากสถานีรถไฟใต้ดินสาย 2 คุณปู่ฟางพาชายชราในชุดทหารและภรรยาของเขาไปที่เฉวียนจวี้เต๋อเพื่อกินเป็ดปักกิ่ง
การกินอาหารดี ๆ คือการพักผ่อน อย่างหนึ่ง
หลังจากได้กินเป็ดปักกิ่ง ทุกคนก็ทราบว่าชายชราในชุดทหารชื่อหลี่ตงหัว ในตอนแรกเขาเคยรับราชการในกองทัพเสฉวนและต่อมาได้เข้าร่วมการปฏิวัติเพื่อต่อสู้กับการรุกรานของประเทศเกาะ
คุณปู่ฟางได้ยินดังนี้ก็ตกตะลึง ลุกยืนขึ้นทำความเคารพ “ไม่มีแม่น้ำก็ไม่มีกองทัพ พวกคุณเสียสละมากมายเพื่อประเทศเราจริงๆ!”
คุณปู่หลี่โบกมือด้วยรอยยิ้ม “ผมยังมีชีวิตอยู่ สหายผู้ล่วงลับเหล่านั้นต่างหากคือผู้เสียสละที่แท้จริง!”
ในตอนเย็น คุณปู่ฟางขอให้หลินม่ายทำอาหารเย็นสุดหรูให้กับคุณปู่หลี่และภรรยาของเขา
หลินม่ายเห็นว่าคุณย่าหลี่ดูเหมือนจะมีเรื่องจะพูดกับเธอ
หลินม่ายถามคุณย่าหลี่ด้วยความกระตือรือร้นว่ามีอะไรจะพูดกับเธอหรือไม่ คุณย่าหลี่ยิ้มอย่างเขินอายและบอกว่าไม่ได้มีอะไรเป็นพิเศษ
หลินม่ายคิดอยู่พักหนึ่ง โดยเดาว่าสิ่งที่คุณย่าหลี่ต้องการบอกเธอคือทำให้อาหารมีรสเผ็ดมากขึ้น
ขณะกินเป็ดปักกิ่งเป็นอาหารกลางวัน หลินม่ายสังเกตเห็นว่าคุณย่าหลี่ไม่ค่อยมีความอยากอาหารมากนัก
ดังนั้นในมื้อเย็นเธอจึงปรุงอาหารเสฉวน 10 รายการจากทั้งหมด 30 รายการ พร้อมหม้อไฟเผ็ดพิเศษอีกหนึ่งจาน
ที่จริงแล้วอาหารเสฉวนไม่ได้เด่นในเรื่องความเผ็ดร้อน แต่เป็นเรื่องความชาลิ้นมากกว่า
ในฐานะที่มาจากมณฑลหู หลินม่ายย่อมไม่กลัวอาหารเผ็ดร้อน แต่ก็ยังกลัวอาการชาปลายลิ้นอยู่บ้าง
อย่างไรก็ตามทุกคนในครอบครัวอยากแน่ใจว่าคุณปู่หลี่และภรรยาจะเพลิดเพลินกับมื้ออาหารอย่างเต็มที่
หลินม่ายเดาถูก คุณย่าหลี่แค่อยากกินอาหารเผ็ดร้อน
นางเป็นเพียงแขกที่บ้านของคนอื่น ดังนั้นนางจึงเขินอายที่จะพูดแบบนี้
คุณปู่หลี่และคุณย่าหลี่พอใจกับอาหารเย็นนี้มาก
ตรงกันข้ามกับครอบครัวหลินม่าย ปากพวกเขาชาเพราะฮวาเจียวจนรู้สึกว่ามันกำลังบวมเจ่อเหมือนไส้กรอก
…
แม้พิธีเชิญธงที่จัตุรัสเทียนอันเหมินจะกำหนดไว้หลัง 7 โมงเช้า แต่คู่รักหลี่ก็ตื่นตั้งแต่ 6.30 น.ในตอนเช้า สาเหตุหลักมาจากพวกเขาตื่นเต้นเกินกว่าจะนอนได้
ระหว่างรับประทานอาหารเย็นเมื่อวันก่อน คุณย่าหลี่พูดด้วยรอยยิ้มว่า ความปรารถนาสูงสุดในชีวิตของสามีคือการมาที่จัตุรัสเทียนอันเหมินเพื่อร่วมเป็นสักขีพยานในพิธีเชิญธง
หลินม่ายลุกขึ้นแต่เช้าและทำเกี๊ยวน้ำมันพริกให้คุณปู่หลี่และภรรยา และทำเกี๊ยวธรรมดาให้กับครอบครัวของเธอ
เมื่อคืนที่กินอาหารเสฉวน ปากของเธอยังบวมและเจ็บฟันอยู่
หลังจากรับประทานอาหารเช้าอุ่น ๆ คนกลุ่มหนึ่งก็ออกเดินทางท่ามกลางลมหนาวและหิมะ
แม้ว่าวันนี้สภาพอากาศจะไม่ดี แต่จัตุรัสเทียนอันเหมินก็เต็มไปด้วยผู้คนที่มาดูพิธีเชิญธง
ขณะที่เพลงชาติดังขึ้น ธงสีแดงห้าดาวเหลืองก็ถูกชักขึ้นสู่ยอดเสาอย่างช้าๆ คุณปู่หลี่ทำความเคารพเฉกเช่นทหาร และคุณปู่ฟางก็ทำเช่นเดียวกัน
ผู้สูงอายุสองคนมองดูธงชาติด้วยน้ำตาที่คลอเบ้า
หลินม่ายเห็นดังนั้นก็อุ้มเสี่ยวมู่ตงไว้ในอ้อมแขนและยืนตัวตรง
คุณปู่หลี่และภรรยาพักอยู่ที่บ้านของหลินม่ายเป็นเวลาเจ็ดวัน
ในช่วงเจ็ดวันนี้ หลินม่ายรับผิดชอบในการขับรถพาทุกคนไปเยี่ยมชมสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญทั้งหมดในเมืองหลวง
ตอนที่ไปกำแพงเมืองจีนทางด่านปาต้าหลิ่ง คุณย่าหลี่ก็หมดแรงขณะเดินได้ครึ่งทาง ทำให้หลินม่ายต้องแบกนางไว้บนหลังในท้ายที่สุด
แม้ว่าคุณย่าหลี่จะปฏิเสธ โดยบอกว่านางไม่ขึ้นไปก็ได้ และจะรอพวกเขาด้านล่าง
แต่ในเมื่อคู่สามีภรรยาสูงอายุมาถึงเมืองหลวงแล้ว พวกเขาต่างก็อายุ 70 ราว 80 ปี ในชีวิตนี้พวกเขาอาจไม่มีโอกาสได้กลับมาอีก
ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม หลินม่ายก็ต้องการแบกคุณย่าหลี่ไว้บนหลัง เพื่อที่เธอจะได้เห็นแม่น้ำและภูเขาที่แสนวิเศษของประเทศชาติ
แม้ว่าหลินม่ายจะร่างกายแข็งแรง และคุณย่าหลี่ก็ตัวเบามาก แต่เธอยังคงต้องหยุดเป็นระยะ เพราะกำแพงเมืองจีนสูงชันเกินไป
ระหว่างการเดินทาง หลินม่ายได้ถ่ายรูปผู้สูงอายุทั้งสี่คนไว้มากมาย
เพื่อจะมอบให้คุณปู่หลี่และคุณย่าหลี่ทันก่อนเดินทางกลับ หลินม่ายจึงสั่งคนให้รีบล้างฟิล์มโดยเร็วที่สุด
ในวันที่คุณปู่หลี่และคุณย่าหลี่เดินทางกลับ พวกเขารับรูปถ่ายมากมายและพูดด้วยรอยยิ้มว่าพวกเขาจะจดจำความทรงจำที่สวยงามนี้ไปตลอดชั่วชีวิตที่เหลืออยู่
………………………………………………………………………………………………………………………….
สารจากผู้แปล
ดีจัง ได้เจอมิตรภาพดีๆ ครั้งหนึ่งในชีวิตนี่ถือเป็นเรื่องน่าจดจำตลอดชีวิตเลยนะ
ไหหม่า(海馬)