แม่ปากร้ายยุค 80 - ตอนที่ 1007 ฟางจั๋วเยวี่ยร่วมมือต่อสู้
ตอนที่ 1007 ฟางจั๋วเยวี่ยร่วมมือต่อสู้
ตอนที่ 1007 ฟางจั๋วเยวี่ยร่วมมือต่อสู้
ซิงกวงพลาซ่ามีกำหนดจะเปิดในวันคริสต์มาส หลินม่ายจึงเดินทางไปเมืองเจียงเฉิงเพียงลำพังล่วงหน้าหนึ่งสัปดาห์
นี่เป็นห้างสรรพสินค้าแห่งแรกของเธอ ดังนั้นเธอจึงให้ความสนใจเป็นพิเศษ
หากประสบความสำเร็จ เธอจะเปิดห้างสรรพสินค้าทั่วประเทศให้ทันสมัยเหมือนกับฮ่องกงทั้งหมด
เธอเป็นเจ้าของว่านทงกรุ๊ป ดังนั้นจึงไม่มีปัญหาในการเปิดห้างสรรพสินค้าหลายสาขา
ช่วงวันปีใหม่สากลในเมืองเจียงเฉิงเป็นวันที่หนาวที่สุดของปี
ทันทีที่เธอออกจากสนามบิน หลินม่ายก็รับรู้ได้ถึงสภาพอากาศอันเลวร้ายอย่างยิ่งในเมืองเจียงเฉิง ลมแรงและหนาวเหน็บที่พัดกระทบใบหน้าเธอให้ความรู้สึกเหมือนคมมีดกรีดผ่าน
ลมแรงในฤดูหนาวนั้นหาได้ยากในเมืองเจียงเฉิง
ช่วงเที่ยง หลินม่ายกินหม้อไฟเพื่ออบอุ่นร่างกาย จากนั้นจึงขับรถไปยังซิงกวงพลาซ่า ซึ่งจินฉี่คังกำลังรอเธออยู่
เนื่องจากผลงานอันโดดเด่นในด้านแผนพัฒนาธุรกิจ จินฉี่คังจึงได้รับการเลื่อนตำแหน่งจากหลินม่ายให้ดำรงตำแหน่งผู้จัดการทั่วไปของซิงกวงพลาซ่า
แม้เวลาจะผ่านไปกี่ปีก็ตาม แต่ในเมืองเจียงเฉิงยังคงมีรถยนต์ไม่มากนัก
เมื่อไม่ใช่ชั่วโมงเร่งด่วน รถจะน้อยลงมาก ซึ่งทำให้ท้องถนนดูว่างเปล่า
ทว่าวันนี้ลมพัดแรงมาก ทำให้รถเมอร์เซเดส-เบนซ์ของหลินม่ายคล้ายกับกำลังลอยจากพื้น
หลินม่ายขับรถผ่านฉวินกวงพลาซ่าและเหลือบมองแวบหนึ่ง
ผนังห้างสรรพสินค้าตั้งแต่ชั้น 1 ถึงชั้น 5 เต็มไปด้วยโฆษณาสีสันสดใสขนาดใหญ่
อาจเป็นเพราะวันนี้ลมแรงเกินไป การก่อสร้างอาคารสำนักงานด้านบนจึงถูกระงับ
แม้ว่าทั้งสองจะเป็นคู่แข่งกัน แต่หลินม่ายยังหวังว่าฉวินกวงพลาซ่าจะถูกสร้างขึ้นอย่างปลอดภัยและได้มาตรฐาน เพื่อไม่ให้เศษวัสดุร่วงหล่นจากที่สูงใส่ผู้คนที่สัญจรไปมา
แม้จะไม่ได้หล่นใส่ผู้คน แต่หากหล่นใส่ต้นไม้หรือดอกไม้ก็ไม่ดีนัก
หลินม่ายขับรถไปยังซิงกวงพลาซ่าและเห็นจินฉี่คังกำลังสั่งให้คนงานกลุ่มหนึ่งแขวนป้ายขนาดใหญ่สำหรับเปิดร้าน เนื่องจากลมแรงเกินไป ทำให้ป้ายเคลื่อนไม่ตรงตำแหน่ง
แม้ว่าป้ายเหล่านี้จะทำจากผ้าไนลอน แต่ก็ยังต้องขึ้นโครงด้วยโครงเหล็กหนาหลายนิ้ว ซึ่งมีน้ำหนักมาก
หลินม่ายลงจากรถและเดินเข้าไปหาจินฉี่คัง “ลมพัดแรงเกินไป ฉันคิดว่าเราอย่าแขวนป้ายเลยจะดีกว่า หากมันหล่นลงมาอาจเกิดอันตรายอย่างใหญ่หลวง วางมันไว้และรอจนกว่าจะถึงวันเปิดตัว วันนั้นอาจไม่มีลมพัดแรง”
จินฉี่คังคิดตามอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะพยักหน้ารับ “ได้ครับ ถ้าอย่างนั้นเราผูกดอกไม้สีแดงขนาดใหญ่ไว้บนมังกรหินทั้งสองก่อน เผื่อวันเปิดงานลมแรง เราจะจ้างทีมฆ้องและกลองมาดึงดูดฝูงชน”
หลินม่ายพยักหน้า “ดีเลยค่ะ”
จินฉี่คังสั่งคนงานให้หยุดแขวนและขอให้เอาป้ายไปเก็บก่อน จากนั้นเดินตามหลินม่ายเข้าไปในซิงกวงพลาซ่า
ขณะที่เดินดู หลินม่ายก็ถามเขาว่าการเตรียมงานเปิดตัวเป็นอย่างไรบ้าง
จินฉี่คังตอบ “ทุกอย่างเตรียมพร้อมแล้วครับ แต่ว่าฉวินกวงพลาซ่าเชิญดาราสองถึงสามคนมาจากฮ่องกงและไต้หวันมาแสดงด้วย ส่วนเราไม่ได้เชิญใคร”
หลินม่ายถาม “ทำไมถึงไม่ได้เชิญล่ะคะ?”
“พวกเขาเก็บข่าวนี้ไว้เป็นความลับ เราเพิ่งได้รับข้อมูลเมื่อวานนี้เท่านั้น และผมกำลังคิดจะเชิญใครสักคน”
ก่อนหลินม่ายจะกลับไปเมืองเจียงเฉิง จินฉี่คังได้โทรหาเธอและบอกว่าซิงกวงพลาซ่ายังไม่ได้เปิดตัว แต่ฉวินกวงพลาซ่าก็ได้เริ่มแข่งขันกับพวกเขาแล้ว
ไม่ว่าจะเป็นเสื้อผ้าหรืออุปกรณ์จัดเลี้ยง ฝ่ายนั้นล้วนทุ่มเทกับการส่งเสริมการขายที่แข็งแกร่งกว่าพวกเขามาก
แม้แต่คนโง่ก็ยังเข้าใจว่าฉวินกวงพลาซ่าต้องการบดขยี้ซิงกวงพลาซ่าให้จมดิน แบบที่ไม่มีวันพลิกกลับมาตั้งตัวได้
ท้ายที่สุดแล้วห้างสรรพสินค้าทั้งสองก็ตั้งอยู่ใกล้กันเกินไป ทำให้การแข่งขันดุเดือดอย่างยิ่ง!
วันเปิดตัวห้างสรรพสินค้ามีความสำคัญมาก หากวันนั้นธุรกิจไม่ดี ต่อให้ปรับปรุงแล้วก็ยังฟื้นตัวได้ยาก ดังนั้นพวกเขาจึงไม่อยากพ่ายแพ้ในการต่อสู้ครั้งนี้
หลินม่ายคิดอยู่พักหนึ่ง แล้วพูดกับจินฉี่คังว่า “ฉันจะไปเดินเล่นรอบ ๆ ฉวินกวงพลาซ่าก่อน แล้วจึงค่อยคิดถึงมาตรการตอบโต้ รู้เขารู้เรา รบร้อยครั้งชนะร้อยครั้งค่ะ”
จินฉี่คังพูดด้วยความลังเล “ประธานหลิน ผมคงไม่ได้ไปกับคุณครั้งนี้ ไม่มีใครในฉวินกวงพลาซ่าที่ไม่รู้จักผม”
หลินม่ายพยักหน้ารับ
เธอไม่คิดที่จะปิดบังใบหน้าของตัวเอง และไปที่ฉวินกวงพลาซ่าอย่างเปิดเผย
เมื่อเธอเดินขึ้นไปยังชั้นสอง ประธานหวงแห่งฉวินกวงพลาซ่าก็เข้ามาทักทายเธอพร้อมกับลูกน้องสามคน
ประธานหวงยิ้มทักด้วยความ “ลมอะไรหอบประธานหลินผู้ประกอบการเอกชนที่มีชื่อเสียงจากทั่วประเทศมาถึงที่นี่วันนี้ครับเนี่ย?”
หลินม่ายยิ้มบาง “คุณมีธุระอะไรกับฉันไหมคะ?”
ประธานหวงกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ไม่มีธุระอะไรหรอกครับ ผมแค่อยากจะถามคุณมีธุระอะไรกับห้างสรรพสินค้าของเราหรือเปล่า?”
หลินม่ายเลิกคิ้วถาม “ที่นี่ไม่อนุญาตให้เดินเล่นเหรอคะ?”
ประธานหวงตอบ “ได้ครับได้ ยินดีต้อนรับครับ ผมจะไปเดินซื้อของกับคุณด้วย”
หลินม่ายปฏิเสธทันที “ฉันไม่ชอบเวลามีคนแปลกหน้ามาเดินซื้อของกับฉัน โดยเฉพาะถ้าพวกเขาเป็นผู้ชาย”
รอยยิ้มที่น่าอึดอัดใจของประธานหวงประดับค้างอยู่บนหน้า ขณะที่หลินม่ายเดินจากไปแล้ว
เธอรีบเดินไปรอบ ๆ ฉวินกวงพลาซ่า จากนั้นจึงกลับมาเดินในซิงกวงพลาซ่าของเธอเอง
เธอเปรียบเทียบผลิตภัณฑ์ของห้างสรรพสินค้าทั้งสองอย่างคร่าว ๆ
กลยุทธ์การลงทุนของซิงกวงพลาซ่าดึงดูดแบรนด์หลักโดยไม่ต้องเสียค่าธรรมเนียมแรกเข้า จึงทำให้มีแบรนด์ใหญ่ ๆ มากมายที่ฉวินกวงพลาซ่าไม่มี
ซิงกวงพลาซ่ามีผลิตภัณฑ์ทุกประเภทที่ฉวินกวงพลาซ่าส่งเสริมอย่างจริงจัง
หลินม่ายและจินฉี่คังจัดการประชุมเล็ก ๆ ในสำนักงานของซิงกวงพลาซ่า
หลินม่ายตัดสินใจว่าสำหรับผลิตภัณฑ์ทั้งหมดที่ฉวินกวงพลาซ่ามี ไม่ว่าพวกเขาจะโปรโมตมากแค่ไหน ซิงกวงพลาซ่าจะส่งเสริมการขายในระดับเดียวกันทันที
แม้ว่าจินฉี่คังจะไม่คัดค้านเรื่องนี้ แต่เขากลัวว่าทั้งสองบริษัทอาจเริ่มทำสงครามราคา
หากเป็นเช่นนั้นจริง มันจะกลายเป็นการทำธุรกิจแบบขาดทุน ห้างสรรพสินค้าไม่สามารถทำกำไร และผลประโยชน์ทั้งหมดจะตกเป็นของผู้บริโภค
สิ่งที่จินฉี่คังกังวลคือสถานการณ์ที่เกิดขึ้นจริงในชีวิตก่อนของหลินม่าย
คู่แข่งรายใหญ่สองรายเหมือนถูกมนต์สะกด ทั้งคู่ต้องการทำลายล้างซึ่งกันและกัน ประกาศทำสงครามราคา และในท้ายที่สุดทั้งคู่ก็ประสบความสูญเสียอย่างหนัก ซึ่งนำไปสู่ผลลัพธ์ที่หายนะสำหรับทั้งคู่
เป็นบทเรียนนองเลือดอย่างแท้จริง!
หลินม่ายพยักหน้า “ความกังวลของคุณไม่ใช่เรื่องที่จะเป็นไปไม่ได้ แต่ก็ไม่ได้มากนัก หากเราคิดได้แบบนี้ ทางฉวินกวงพลาซ่าก็คงมีความกังวลดังกล่าวเช่นกัน ดังนั้นเราต้องเตรียมมาตรการรองรับให้พร้อม ว่าหากเกิดสงครามราคาขึ้นเราควรต้องรับมืออย่างไร?”
จินฉี่คังครุ่นคิดอย่างหนักและกล่าวว่า “เราเป็นผู้ตาม ดังนั้นจึงได้เปรียบอยู่บ้าง ตราบใดที่ราคาของฉวินกวงพลาซ่าต่ำกว่ากำไรสุทธิ เราจะไม่ลดราคาแข่งขัน และคงราคาไว้ที่เดิม การทำเช่นนี้จะช่วยให้เราควบคุมราคาผลิตภัณฑ์ของฉวินกวงพลาซ่าได้อย่างเหนียวแน่น ทำให้พวกเขาต้องสูญเสียเงินไปตลอดทาง แม้ว่าเราจะไม่ได้กำไร แต่อย่างน้อยผลิตภัณฑ์ของเราก็จะไม่ขาดทุน ท้ายที่สุดแล้วต้องดูว่าใครจะสามารถยืนหยัดได้ยาวนานกว่ากัน!”
หลินม่ายพยักหน้าเห็นด้วย “วิธีนี้ใช้ได้เลยค่ะ”
จินฉี่คังคิดอยู่พักหนึ่งและกล่าวเสริม “หากเราต้องการทำสงครามราคาจริง ๆ เราคงไม่อาจทำเงินได้มาก เรามีผลิตภัณฑ์บางอย่างที่ฉวินกวงพลาซ่าไม่มี เราสามารถส่งเสริมการขายกับผลิตภัณฑ์เหล่านี้และยังคงทำกำไรได้ ทำให้ห้างสรรพสินค้าเปิดทำการได้ตามปกติ และท้ายที่สุดฉวินกวงพลาซ่าต้องเป็นฝ่ายพังทลายลง”
หลินม่ายเห็นด้วย “สิ่งที่คุณพูดมีเหตุผลมากค่ะ ดังนั้นสิ่งที่เรามี แต่ฉวินกวงพลาซ่าไม่มี เราจะส่งเสริมการขายตามปกติ”
หลินม่ายยังชี้แนะต่อว่า “วันปีใหม่สากลและช่วงก่อนเทศกาลปีใหม่เป็นช่วง ที่จัดแต่งงานกันคึกคัก เราควรมุ่งเน้นส่งเสริมเครื่องใช้ไฟฟ้าในบ้าน ลูกอม และเครื่องประดับทอง”
เธอเน้นย้ำถึงการส่งเสริมการขายโทรทัศน์และตู้เย็นจากโรงงานเซิงซื่อของฟางจั๋วเยวี่ย รวมถึงผลิตภัณฑ์ใหม่อย่างเครื่องซักผ้าและหม้อหุงข้าว ซึ่งปัจจุบันเครื่องใช้ไฟฟ้าในบ้านเหล่านี้ได้รับความนิยมอย่างมากในตลาด
หลินม่ายทำเช่นนี้ ไม่ใช่เพราะช่วยเหลือกิจการเครื่องใช้ไฟฟ้าเซิงซื่อที่ผลิตจากโรงงานของน้องสามีแต่อย่างใด
หลินม่ายดำเนินธุรกิจอย่างเป็นกลางและเป็นมืออาชีพเสมอ
ที่เธอแนะนำเครื่องใช้ไฟฟ้าในบ้านจากโรงงานของเขา เนื่องจากเครื่องใช้ไฟฟ้าจากโรงงานเซิงซื่อนั้นมีคุณภาพดีและเป็นที่นิยมทั่วประเทศ
เพื่อสร้างชื่อเสียงที่ดีให้กับซิงกวงพลาซ่า จึงจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องมีผลิตภัณฑ์คุณภาพสูงมาขาย โดยเฉพาะเครื่องใช้ไฟฟ้าในบ้าน
ปัจจุบันเครื่องใช้ไฟฟ้าในบ้านหลายยี่ห้อในประเทศจีนยังไม่มีคุณภาพ และอาจจะพังทันทีที่ผู้บริโภคซื้อไป
แต่ในยุคนี้แทบไม่มีเครื่องใช้ไฟฟ้าจากต่างประเทศเข้ามาสู่ตลาดภายในประเทศเลย
ถึงแม้จะมี แต่คนธรรมดาก็ไม่สามารถซื้อได้
เครื่องใช้ไฟฟ้าในบ้านของรัฐได้รับการคุ้มครองจากสถาบัน และมีการแข่งขันน้อย จึงมีการรับประกันตลาด แต่มักขาดการบริการหลังการขาย
หากเครื่องใช้ไฟฟ้าในบ้านชำรุด จำเป็นต้องส่งไปยังร้านซ่อมเครื่องใช้ไฟฟ้าเพื่อทำการซ่อมแซมเท่านั้น
ที่สำคัญคือ จะมีสักกี่คนที่รู้วิธีซ่อมเครื่องใช้ไฟฟ้าในบ้านจริง ๆ?
ส่งผลให้คุณภาพของร้านซ่อมเครื่องใช้ไฟฟ้าในบ้านแตกต่างกันไป ตั้งแต่ดีไปถึงแย่ และถึงแม้ค่าธรรมเนียมอาจสูง แต่ก็ไม่ได้การันตีว่าจะซ่อมได้
แม้ว่าจะซ่อมแซมไม่สำเร็จ แต่ก็ไม่ได้ลดค่าใช้จ่ายลงแม้แต่หยวนเดียว
ซึ่งเรื่องนี้เป็นสิ่งที่คนธรรมดาทั่วไปมักร้องเรียน
ฟางจั๋วเยวี่ยไม่ได้เป็นผู้เดินทางข้ามเวลา แม้ว่าเครื่องใช้ในบ้านของเขาจะมีคุณภาพดีเยี่ยม แต่เขาก็ไม่มีบริการหลังการขาย ถึงอย่างนั้นก็ไม่มีคู่แข่งไหนที่สามารถเทียบเทียมเขาได้
หลินม่ายโทรหาฟางจั๋วเยวี่ยทันที และขอให้เขาดำเนินการบริการหลังการขาย
ฟางจั๋วเยวี่ยเชื่อมั่นในพี่สะใภ้ของเขาอย่างเต็มที่ และตอบตกลงโดยง่ายดาย
แต่จะให้บริการหลังการขายอย่างไร คงต้องให้หลินม่ายเป็นคนวางแผนแทนเขา
หลังจากที่หลินม่ายเขียนแผนการเสร็จ เธอก็ส่งแฟกซ์ไปให้เขา
เมื่อลองอ่านดูคร่าว ๆ ฟางจั๋วเยวี่ยก็ต้องอ้าปากค้าง พี่สะใภ้ของเขาเป็นอัจฉริยะทางธุรกิจจริง ๆ
ด้วยการเปิดตัวบริการหลังการขาย ยอดขายเครื่องใช้ไฟฟ้าจากโรงงานของเขาจะพุ่งทะยานขึ้นอย่างไม่ต้องสงสัย
เขาสั่งให้ผู้ช่วยดูแลแผนบริการหลังการขายทั่วประเทศ
ผู้ช่วยของเขาลังเล “เราจะรับสมัครช่างซ่อมเครื่องใช้ไฟฟ้ามากมายขนาดนั้นจากที่ไหนครับ?”
ฟางจั๋วเยวี่ยคิดอยู่ครู่หนึ่ง “ไปที่โรงงานผลิตเครื่องใช้ไฟฟ้าของรัฐและเปิดรับสมัคร จ้างช่างเทคนิคที่เกษียณอายุแล้ว รวมถึงคนงานตามร้านซ่อมเครื่องใช้ที่ประกอบอาชีพอิสระ แต่เราควรรับผู้ที่มีทักษะที่แท้จริงเท่านั้น อย่าจ้างใครก็ตามที่ไม่มีความเชี่ยวชาญมาโดยเด็ดขาด!”
………………………………………………………………………………………………………………………….
สารจากผู้แปล
เริ่มสู้กันทางธุรกิจแล้ว ใครอ่อนแอเสียเปรียบก็แพ้ไปอะ
ไหหม่า(海馬)