แม่ปากร้ายยุค 80 - ตอนที่ 1001 ตกหลุมพราง
ตอนที่ 1001 ตกหลุมพราง
ตอนที่ 1001 ตกหลุมพราง
เมื่อมาถึงสหรัฐอเมริกา หลินม่ายพาฟางจิ้งเสียนและสามีไปยังวิลล่าที่มีลักษณะเหมือนปราสาท ซึ่งป้าของฟางจั๋วหรานทิ้งไว้ให้
ลุงฝูผู้เป็นพ่อบ้านแปลกใจมากที่เห็นหลินม่าย จึงตำหนิเธอที่ไม่โทรมาก่อนที่ล่วงหน้า
หลินม่ายยิ้มและบอกว่าเธอยุ่งมาก
ลุงฝูถามอีกครั้งว่าเมื่อไหร่จะพานายน้อยมาอเมริกาเพื่อให้ทุกคนได้พบเขา
หลินม่ายกล่าวว่าจะพามาเร็ว ๆ นี้
เธอไม่ได้พูดเล่น เนื่องจากเธอกำลังวางแผนสนับสนุนนักเรียนดีเด่น 30 คนให้มาศึกษาที่สหรัฐอเมริกา และเธอก็วางแผนที่จะติดตามมาด้วย
ไม่ใช่เพื่อควบคุมใคร แต่เพื่อเรียนรู้เพิ่มเติมด้วยตนเอง
การเรียนที่สหรัฐอเมริกาไม่ได้ใช้เวลาเพียงหนึ่งสัปดาห์หรือหนึ่งเดือน และเธอจะพาเสี่ยวมู่ตงมาที่สหรัฐอเมริกาอย่างแน่นอน
เดิมทีหลินม่ายวางแผนที่จะตามหาสวี่เมิ่งหลังอาหารกลางวัน แต่ฟางจิ้งเสียนและสามีกังวลเกินไป พวกเขาต้องการไปยังมหาวิทยาลัยไก่ป่าที่สวี่เมิ่งกำลังศึกษาอยู่ทันที
หลินม่ายไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องติดตามพวกเขาไป และขอให้ลุงฝูช่วยหารถให้ทันทีโดยยังไม่ได้กินข้าว
ลุงฝูจัดหารถมายบัคให้เธอทันทีพร้อมด้วยคนขับและผู้คุ้มกัน
หลินม่ายรีบโบกมือ “เรากำลังตามหาใครคนหนึ่ง อย่าทำตัวโดดเด่นเลยค่ะ ขอรถธรรมดา ๆ ให้ฉันหน่อย”
ลุงฝูขอให้คนขับรถเมอร์เซเดส-เบนซ์ออกไป “นี่เป็นรถที่ใช้บ่อยที่สุดในครอบครัวเลยครับ”
หลินม่ายขอให้คนขับลงมา แล้วเธอก็ขึ้นไปนั่งแทน
ลุงฝูพูดว่า “กฎหมายจราจรในสหรัฐอเมริกาแตกต่างจากกฎหมายในจีนอย่างมาก นอกจากนี้คุณไม่มีใบขับขี่ของอเมริกา ดังนั้นคุณจึงขับรถด้วยตัวเองไม่ได้ คุณต้องมีคนขับ”
หลินม่ายไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากยอมแพ้ แต่เธอไม่ต้องการผู้คุ้มกัน เนื่องจากมันดูโดดเด่นเกินไป!
หลังจากขับรถไปหนึ่งชั่วโมง ในที่สุดหลินม่ายและทุกคนก็มาถึงโรงเรียนที่สวี่เมิ่งกำลังศึกษาอยู่
แม้ว่าโรงเรียนนี้จะไม่เป็นที่รู้จักมากนัก แต่สิ่งที่ทำให้หลินม่ายประหลาดใจก็คือ แท้จริงแล้วมันเป็นมหาวิทยาลัยทั่วไป!
ฟางจิ้งเสียนรู้สึกตื่นเต้นมาก หล่อนจับแขนของหลินม่ายด้วยมือทั้งสองข้างและพูดด้วยความดีใจเล็กน้อย
“ม่ายจื่อ ทุกคนบอกว่าเมิ่งเมิ่งเป็นขยะ โกหกฉันและลุงของเธอที่หาเงินมาอย่างยากลำบาก เพื่อใช้ชีวิตอย่างมีความสุขในอเมริกา แต่ดูเหมือนว่ามันจะไม่ได้เป็นแบบนั้น เมิ่งเมิ่งเรียนอย่างหนักในอเมริกา ไม่เช่นนั้นเธอจะเข้ามหาวิทยาลัยปกติแห่งนี้ได้อย่างไร?”
มันเป็นเรื่องง่ายดายสำหรับชาวอเมริกันที่จะเข้าศึกษาในมหาวิทยาลัย แต่เป็นเรื่องยากสำหรับนักศึกษาชาวจีน ไม่น่าแปลกใจเลยที่ฟางจิ้งเสียนจะตื่นเต้นมาก
หลินม่ายไม่ได้มองโลกในแง่ดีนัก เธอพูดอย่างใจเย็นว่า “เข้าไปด้านในเพื่อหาคำตอบกันเถอะค่ะ”
เมื่อพวกเขามาถึงสำนักงานของมหาวิทยาลัย เจ้าหน้าที่ก็ค้นหาทะเบียนอยู่นาน แต่ไม่พบชื่อของสวี่เมิ่งเลย
ฟางจิ้งเสียนปฏิเสธที่จะเผชิญกับความจริง “เป็นไปได้ยังไง? ทุกคนที่ฉันเขียนจดหมาย ฉันจะส่งจดหมายไปตามที่อยู่นี้ เมิ่งเมิ่งได้รับจดหมายทั้งหมดแล้ว และจดหมายตอบกลับทั้งหมดของเธอมีที่อยู่ทางไปรษณีย์เดียวกันกับโรงเรียนแห่งนี้”
หลินม่ายวิเคราะห์ “อาจเป็นเพราะหล่อนใช้ที่อยู่ของมหาวิทยาลัยก็ได้ค่ะ”
การใช้ที่อยู่ของโรงเรียนเพื่อส่งจดหมายโดยไม่ได้ศึกษาในโรงเรียนนี้นับว่าไม่ผิดกฎหมาย
ฟางจิ้งเสียนตัวแข็งทันที และถามหลินม่ายด้วยความงุนงง “แล้วควรทำอย่างไรดี?”
หลินม่ายคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วพูดว่า “ลองสอบถามแถว ๆ นี้ดูค่ะ สวี่เมิ่งเลือกมหาวิทยาลัยแห่งนี้เพื่อส่งและรับจดหมาย หล่อนควรจะอาศัยอยู่ใกล้ ๆ ไม่อย่างนั้นหล่อนต้องเดินทางไกลทุกครั้งที่ส่งและรับจดหมาย และถ้าอาศัยอยู่ห่างไกลตราประทับบนจดหมายที่ส่งออกไป มันจะไม่ใช่ที่อยู่ไปรษณีย์ของโรงเรียน ซึ่งจะเผยให้เห็นจุดน่าสงสัย”
คนทั้งสามสอบถามไปทั่วมหาวิทยาลัยในตลอดบ่าย แต่ไม่พบเบาะแสที่มีประโยชน์ใดเลย ดังนั้นทั้งสามจึงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องกลับบ้าน
หลินม่ายไม่ชอบอาหารตะวันตกมากนัก แต่การวิ่งไปรอบ ๆ ตลอดช่วงบ่ายโดยไม่ได้กินข้าวกลางวันก็ทำให้อาหารมื้อนี้อร่อยเป็นพิเศษ
แต่ฟางจิ้งเสียนและสามีไม่มีความอยากอาหารสักนิด
หลินม่ายปลอบใจพวกเขาและพูดว่า “ฟ้าย่อมมีทางออกให้คนเราเสมอ พรุ่งนี้ฉันจะเสนอรางวัลในหนังสือพิมพ์รายใหญ่เพื่อค้นหาสวี่เมิ่ง เราจะพบหล่อนแน่นอน”
ฟางจิ้งเสียนเงยหน้าขึ้นและขอร้อง “ม่ายจื่อ เธอช่วยติดต่อหนังสือพิมพ์ตอนนี้และเผยแพร่ประกาศผู้สูญหายในวันพรุ่งนี้ได้ไหม?”
หล่อนอธิบายว่า “ฉันไม่มีความตั้งใจอื่น ฉันแค่อยากตามหาเมิ่งเมิ่งให้เร็วที่สุด” หลังจากนั้นก็เริ่มร้องไห้
หลินม่ายเห็นด้วย และขอให้ลุงฝูจัดการเรื่องนี้ทันที
เธอบอกกับลุงฝูว่า ตราบใดที่การแจ้งผู้สูญหายของสวี่เมิ่งสามารถเผยแพร่ได้ในวันพรุ่งนี้ มันไม่สำคัญว่าจะต้องจ่ายเงินเพิ่มหรือไม่
ฟางจิ้งเสียนและสามีของเธอต่างรู้สึกขอบคุณและสะเทือนใจ
ก่อนหน้านี้พวกเขาไม่แยแสกับหลินม่าย โดยเฉพาะฟางจิ้งเสียนที่ชวนทะเลาะเพื่อขอยืมเงินจากเธอ แต่หลินม่ายกลับพยายามอย่างดีที่สุดเพื่อช่วยพวกเขาตามหาลูกสาวโดยไม่คำนึงถึงอดีต
วันรุ่งขึ้น ข่าวการสูญหายของสวี่เมิ่งได้รับการตีพิมพ์ในตำแหน่งที่โดดเด่นในหนังสือพิมพ์ท้องถิ่นหลายฉบับ ซึ่งมียอดจำหน่ายจำนวนมาก
ไม่นานก็มีคนโทรมาแจ้งข่าว โดยบอกว่าเป็นเพื่อนร่วมห้องของสวี่เมิ่ง และก็รู้ทุกอย่างเกี่ยวกับสวี่เมิ่ง
ผู้แจ้งเบาะแสที่อ้างว่าเป็นเพื่อนร่วมห้องของสวี่เมิ่งบอกกับหลินม่ายถึงที่อยู่ซึ่งเป็นที่อยู่ของสวี่เมิ่งก่อนที่หล่อนจะหายตัวไป และขอให้หลินม่ายไปพบหล่อนพร้อมเงินรางวัล
ฟางจิ้งเสียนดีใจมากและขอร้องให้หลินม่ายจัดเตรียมรถ เพื่อพาพวกเขาไปที่บ้านของสวี่เมิ่งในสหรัฐอเมริกา
อย่างที่หลินม่ายคาดเดาไว้ก่อนหน้านี้ สวี่เมิ่งอาศัยอยู่ใกล้มหาวิทยาลัยที่หล่อนใช้ที่อยู่ในการส่งจดหมาย
ตามปากคำของแจ้งเบาะแส หลินม่ายได้พาฟางจิ้งเสียนและสามีไปที่ประตูห้องใต้ดิน
ฟางจิ้งเสียนผงะแล้วพูดอย่างลำบากใจ “เมิ่งเมิ่งอยู่ที่นี่เหรอ?”
หลินม่ายไม่สนใจหล่อนและยกมือขึ้นเพื่อกดกริ่งประตู ในไม่ช้าหญิงสาวผิวดำทำทรงผมเดรดล็อคก็แง้มประตูให้ครึ่งหนึ่ง
เธอมองหลินม่ายและคนอื่น ๆ ตั้งแต่หัวจรดเท้า ก่อนถามด้วยรอยยิ้มว่า “คุณคือครอบครัวสวี่ใช่ไหม?”
โดยทั่วไปคนอเมริกันจะเรียกคนจีนด้วยนามสกุล
ทั้งสามคนนี้ มีเพียงหลินม่ายเท่านั้นที่รู้ภาษาอังกฤษ เธอพยักหน้ารับ จากนั้นแปลบทสนทนาระหว่างทั้งสองให้กับพวกฟางจิ้งเสียน
หญิงสาวผิวดำถามหลินม่ายว่า “นำเงินรางวัลมาหรือเปล่า?”
หลินม่ายตอบ “ฉันยังไม่ได้รับการยืนยันว่าคำพูดของคุณเป็นจริงหรือไม่ คุณกลับถามหาเงินรางวัลแล้วเหรอ? ไม่ต้องห่วง ฉันได้เสนอเงินรางวัลทางหนังสือพิมพ์แล้ว หากคุณให้เบาะแสที่มีประโยชน์กับเรา แต่ฉันไม่จ่ายเงินรางวัลตอบแทน คุณสามารถฟ้องร้องฉันในข้อหาฉ้อโกงได้”
หญิงสาวผิวดำไม่โกรธและชวนพวกหลินม่ายเข้ามาในบ้านอย่างกระตือรือร้น
หลินม่ายบอกฟางจิ้งเสียนและสามีว่า เจ้าของบ้านอนุญาตให้เราเข้าไปในบ้าน
ฟางจิ้งเสียนและสามีกล่าวขอบคุณเป็นภาษาอังกฤษ จากนั้นพวกเขาก็เข้าไปในบ้าน
เพื่อที่จะมาที่สหรัฐอเมริกาและค้นหาลูกสาวของพวกเขา ฟางจิ้งเสียนและสามีในวัยกลางคนได้เรียนรู้คำศัพท์ภาษาอังกฤษที่มีประโยชน์สองถึงสามคำจากหลินม่ายในระหว่างการเดินทาง
แม้ว่าการออกเสียงของพวกเขาจะไม่ถูกต้องก็ตาม
หลินม่ายรอให้ทั้งสองเดินเข้าบ้านก่อน จากนั้นเธอจึงเดินตามเข้าไป
ทันทีที่เธอเข้าไปในบ้าน ประตูก็ปิดตามหลังเธอ
หลินม่ายหันศีรษะไปมอง เห็นหญิงสาวผิวดำยืนยิ้มให้
ผิวสีเข้มทำให้ฟันของหล่อนดูขาวโดดเด่น ซึ่งดูน่าขนลุกเล็กน้อย
เมื่อเห็นว่ามีสองห้อง ฟางจิ้งเสียนจึงหันไปหาหลินม่ายและพูดว่า “ถามหญิงผิวดำคนนั้นหน่อย ห้องไหนเป็นของเมิ่งเมิ่ง?”
หลินม่ายแปลคำพูดให้หญิงสาวผิวดำ
หญิงสาวผิวดำชี้ไปที่ห้องหนึ่งแล้วพูดว่า “นั่นห้องของคุณสวี่”
ฟางจิ้งเสียนและสามีผลักประตูให้เปิดออก ก่อนเดินเข้าไป เมื่อเห็นว่าห้องเต็มไปด้วยของจิปาถะ พวกเขาจึงหันหน้ากลับมาด้วยความสงสัย
แต่ทันใดนั้นก็พบว่าชายผิวดำคนหนึ่งกำลังเล็งปืนมาที่ด้านหลังศีรษะของหลินม่าย ขณะที่หญิงผิวดำเผยยิ้มอย่างน่ากลัวให้พวกเขา
ฟางจิ้งเสียนถามด้วยท่าทางหวาดกลัว “นะ… นี่มันเรื่องอะไรกัน?”
อาเขยพูดด้วยความตื่นตระหนก “ปล่อยเธอออกมานะ!”
หญิงสาวผิวดำถามหลินม่ายว่าฟางจิ้งเสียนและสามีพูดอะไร จากนั้นหลินม่ายจึงแปลให้เธอฟังด้วยสีหน้าไม่แสดงอารมณ์
หญิงสาวผิวดำยิ้มและพูดกับทั้งสองว่า “ให้ปล่อยหล่อนไปไม่ใช่เรื่องยากหรอก แค่ต้องจ่ายค่าไถ่มา 50,000 ดอลลาร์สหรัฐ”
ฟางจิ้งเสียนและสามีไม่เข้าใจภาษาอังกฤษ พวกเขาจึงมองหน้ากันด้วยความหวาดกลัว
หญิงสาวผิวดำเดินไปหาหลินม่าย ยกเท้าขึ้นเตะเธอและตะคอกอย่างดุเดือด “แปลคำพูดของฉันให้พวกมันฟัง!”
จู่ ๆ หลินม่ายก็ตะโกนออกมาเป็นภาษาอังกฤษ “ตำรวจ!”
ชายหญิงผิวดำทั้งสองต่างมองไปทางประตูโดยสัญชาตญาณ
หลินม่ายฉวยโอกาสขณะที่พวกเขากำลังตกใจ รีบหันหลังกลับอย่างรวดเร็วและคว้าปืนจากมือของชายผิวดำ
ชายผิวดำมีกำลังแข็งแกร่ง แม้หลินม่ายจะลอบโจมตีเขา แต่เธอก็ไม่สามารถแย่งปืนมาจากเขา ได้
มีโอกาส แต่กลับล้มเหลว!
หญิงสาวผิวดำได้สติ คว้าเก้าอี้ตัวหนึ่งแล้วฟาดไปที่ศีรษะของหลินม่าย
ฟางจิ้งเสียนกรีดร้องด้วยความหวาดกลัว เตือนหลินม่ายให้ระวัง
ขณะที่ต้องต่อสู้อย่างเอาเป็นเอาตายกับชาวผิวดำ เธอไม่ได้ตระหนักถึงอันตรายที่กำลังตรงเข้ามาด้วยซ้ำ
โชคดีที่อาเขยสวี่เป็นผู้ชาย จึงยังมีประโยชน์ในช่วงเวลาวิกฤติ
เขากระโจนตัวออกไปกอดเอวหนาเหมือนถังน้ำของหญิงผิวดำ โยนหล่อนลงพื้นแล้วเรียกภรรยาของเขาให้ช่วย
หญิงสาวผิวดำดูแข็งแกร่งเกินกว่าเขาจะต้านทานได้คนเดียว
ฟางจิ้งเสียนรีบหยิบเก้าอี้ขึ้นมา มองดูสามีและหญิงผิวดำที่ต่อสู้กันพัลวันบนพื้นและไม่กล้าลงมือชั่วขณะ เพราะกลัวว่าจะทำร้ายผิดคน
อาเขยสวี่กระตุ้นหล่อนให้ลงมือโดยเร็ว เพราะหลินม่ายและเขาอาจทนไม่ไหวอีกต่อไปถ้าหล่อนไม่ลงมือ
ฟางจิ้งเสียนไม่มีทางเลือกอื่น นอกจากเล็งเป้าอย่างแม่นยำ และโจมตีหญิงสาวผิวดำอย่างดุเดือด
เกิดเสียงกระทบดังตุ้บ เก้าอี้ฟาดลงด้านหลังศีรษะอาเขยสวี่ กระทั่งเขาหมดสติลงทันที
ฟางจิ้งเสียนตกตะลึงทันที ตัวแข็งค้างราวกับรูปปั้นหิน
หญิงสาวผิวดำผลักอาเขยสวี่ที่นอนอยู่ด้านข้างออกและพูดด้วยรอยยิ้ม “หล่อนกล้าดียังไงถึงมาตีฉัน! เราได้เห็นดีกันแน่!”
จากนั้นฟางจิ้งเสียนก็กลับมามีสติสัมปชัญญะอีกครั้ง หล่อนถอยหลังออกมาด้วยความหวาดกลัวพลางตะโกนขึ้น “อย่าเข้ามานะ อย่าเข้ามา!”
หญิงสาวผิวดำต้อนอีกฝ่ายให้จนมุม หล่อนยื่นแขนออกไปรัดคอฟางจิ้งเสียนและออกแรงรัดมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง
ฟางจิ้งเสียนพยายามดิ้นรนอย่างสุดชีวิตด้วยความเจ็บปวด แต่ก็ไม่เกิดประโยชน์ใด
หลินม่ายเห็นว่าอาเขยสวี่หมดสติ ขณะที่อาหญิงกำลังตกอยู่ในอันตราย ส่วนความแข็งแกร่งทางร่างกายเธอนั้นยังเทียบกับชายผิวดำคนนี้ไม่ได้เลย
ทันใดนั้นเธอฉุกคิดถึงประโยคที่อาจารย์เคยกล่าวไว้ เมื่อเผชิญหน้ากับคู่ต่อสู้ที่มีความแข็งแกร่งทางร่างกายมากกว่า เราควรมุ่งเป้าไปที่การโจมตีร่างกายส่วนล่าง
เธอเหยียดเท้าออกและเกี่ยวขาชายผิวดำจนเขาเสียศูนย์
ชายผิวดำล้มลงกับพื้นพร้อมกับเธอ
ชายผิวดำตัวใหญ่มาก เมื่อเขาล้มลงกับพื้นบ้าน บ้านทั้งหลังก็สั่นสะเทือน
ด้วยการล้มอย่างกะทันหัน ปืนที่อยู่ในมือของชายผิวดำกระเด็นออกไปโดยไม่ตั้งใจ
หลินม่ายรีบวิ่งไปคว้าปืนนั้นไว้
ทันทีที่เธอคว้าปืน ชายผิวดำก็กระโจนตัวเข้ามาคว้าปืนพร้อมกับเธอด้วย
หลินม่ายดำเนินการอย่างรวดเร็วและเด็ดขาด โดยไม่ได้คำนึงถึงผลที่ตามมา เธอลั่นกระสุนทั้งหมดออกจากปืนในครั้งเดียว
มันไม่สำคัญว่ากระสุนจะไปอยู่ที่ไหน ตราบใดที่กระสุนในปืนถูกยิงทั้งหมด อาวุธปืนก็จะไม่เป็นอันตรายต่อเธอได้อีก
แล้วยังเป็นสัญญาณเตือนพี่ถังและพี่จินที่แอบคุ้มกันทั้งสามอยู่ด้านนอก เผื่อเกิดเรื่องไม่คาดฝันขึ้นกับพวกเขา
บังเอิญมีกระสุนนัดหนึ่งพุ่งออกไปโดนด้านหลังของหญิงสาวผิวดำ
ร่างกายของหล่อนกระเด็นและล้มลงอย่างแรง
ฟางจิ้งเสียนล้มลงกับพื้นพร้อมกับหล่อน
เสี่ยวถังและเสี่ยวจินที่คอยคุ้มกันทั้งสามอยู่ด้านนอกพลันได้ยินเสียงปืนจากด้านใน พวกเขารีบถีบประตูเสียงดังลั่น ก่อนเห็นหลินม่ายกำลังลุกขึ้นจากพื้น ชาวผิวดำกุมเป้ากางเกงพลางบิดตัวด้วยความเจ็บปวด และบนพื้นมีร่างคนสามคนนอนนิ่งไม่ไหวติง
หลินม่ายหน้าแดงเมื่อเผชิญกับดวงตาที่น่าสงสัยของเสี่ยวถังและเสี่ยวจิน ก่อนที่เธอจะหันหน้าหนีอย่างเงียบงัน
ใช่แล้ว ตามที่ทั้งสองคนจินตนาการ เธอไม่สามารถอดทนได้อีกต่อไปและไม่สามารถเอาชนะชายผิวดำได้ ดังนั้น… เธอไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากยื่นมือออกไปบีบไข่ของชายผิวดำคนนั้น…
ช่างน่าละอายเหลือเกิน~
เธอรู้สึกละอายใจได้เพียงสามวินาที ก่อนจะปรับอารมณ์ของตัวเองอย่างรวดเร็ว และรีบเข้าไปตรวจสอบสถานการณ์ของฟางจิ้งเสียนและสามีของหล่อน
ทั้งสองยังคงหายใจอยู่
เสี่ยวถังเดินไปหาอาเขยสวี่ เขานั่งยอง ๆ ตบหน้าเพื่อปลุกอีกฝ่ายให้ตื่นได้สำเร็จ
เสี่ยวจินทำเช่นเดียวกันและปลุกฟางจิ้งเสียนให้ตื่นขึ้นมา
หลินม่ายตกตะลึง เธอไม่มีความกล้าที่จะปลุกทั้งสองด้วยวิธีเช่นนี้ ท้ายที่สุดพวกเขาเป็นอาเขยและอาหญิงของฟางจั๋วหราน
ทันทีที่ทั้งคู่ตื่นขึ้น พวกเขารีบเลื่อนสายตามองหาหลินม่าย จากนั้นจึงโล่งใจหลังเห็นว่าเธอสบายดี
แต่เมื่อฟางจิ้งเสียนเห็นหญิงสาวผิวดำนอนจมกองเลือด หล่อนก็ตกใจมากจนกรีดร้องลั่นเสียงดังเสียดแทงแก้วหูทุกคน
………………………………………………………………………………………………………………………….
สารจากผู้แปล
มาถึงต่างแดนก็มีเรื่องให้ต้องเอาตัวรอดเสียแล้ว แถมคู่ต่อสู้ก็แรงเยอะด้วย
ไหหม่า(海馬)