เส้นทางเศรษฐีของ(ว่าที่)เชฟเหรียญทอง - ตอนที่ 99 สู้ไปกับผม!
ตอนที่ 99 สู้ไปกับผม!
เสี่ยเฉิงปาได้ยินประโยคนี้ มือที่ยกแก้วเหล้าก็หยุดทันที เหลือบดวงตาทั้งสองข้างมองไปยังเคอหงเทา
“คุณหมายความว่ายังไง”
“เหอะๆ เสี่ยปาเป็นคนฉลาด พูดแบบนี้คุณเข้าใจใช่ไหมครับ” เคอหงเทากลับมีมารยาท ยิ้มเล็กน้อย ยกแก้วเหล้าขึ้นมาดื่ม
เสี่ยเฉิงปาเงียบไปครู่หนึ่ง ดวงตาสองข้างจ้องมองแก้วเหล้าในมือของเคอหงเทา เอ่ยว่า “ผิดใจกับใครเหรอครับ”
“เสี่ยหวง!”
คำตอบนี้ ไม่เพียงแต่เสี่ยเฉิงปาเท่านั้น แม้แต่จางเปียวที่อยู่ข้างๆ เขาก็ยังตกตะลึง
เสี่ยหวง ผู้ยิ่งใหญ่ในวงการอาหารแห่งตู้เหมิน ไม่เพียงแต่ทำธุรกิจอาหารได้ดี ประเด็นสำคัญคือเขามีเส้นสายที่น่ากลัวเป็นอย่างมาก
ไม่ว่าจะเป็นรัฐบาลหรือใต้ดิน กระทั่งท่านเป่ยเล่อแห่งปักกิ่งยังเป็นเพื่อนของเสี่ยหวง ลำพังแค่ความสัมพันธ์เช่นนี้ จะมีใครเทียบได้บ้าง
ในแวดวงนี้ของตู้เหมินมีประโยคที่พูดอย่างเกินจริงว่า คนที่กล้าหาเรื่องเสี่ยหวงคงยังไม่เกิดเลยด้วยซ้ำ
“เสี่ยเคอซาน คุณล้อเสี่ยปาเล่นเหรอ เสี่ยหวงกับซ่งจื่อเซวียนมีความสัมพันธ์อะไรกัน” เสี่ยเฉิงปาหรี่ตาทั้งสองข้าง
“ฮ่าๆๆ เสี่ยปาคุณไม่รู้เสียแล้ว ในมือของซ่งจื่อเซวียนมีของที่เสี่ยหวงต้องการ เมื่อก่อนคุณอยากปกป้องซ่งจื่อเซวียน คิดว่าดูท่าทีผมก็พอแล้ว แต่ตอนนี้…เหอะๆ เกรงว่าคุณต้องถามเสี่ยหวงก่อน!”
ประโยคนี้ทำให้เสี่ยเฉิงปาสะอึกในใจจริงๆ ไม่ต้องสงสัยเลย ในตู้เหมินมีไม่กี่คนที่กล้าหาเรื่องกับเสี่ยหวง รวมทั้งตัวเขาก็ไม่ใช่ข้อยกเว้น
ถ้าหากบอกว่าเฉิงปาใช้ชีวิตในแวดวงนี้ได้ไม่เลว เมื่อเทียบกับเสี่ยหวงเกรงว่าไม่มีค่าควรที่จะพูดถึง คุณแค่ขายของมีกิจการขนาดเล็ก แต่อีกฝ่ายมีทรัพยากรมหาศาล
“ในมือของซ่งจื่อเซวียนมีของที่เสี่ยหวงต้องการได้ยังไง เสี่ยเคอซาน คุณขู่ผมเหรอ”
“ขู่หรือเปล่าเสี่ยปาเองน่าจะรู้อยู่แก่ใจ ผมเสี่ยเคอซานต่อให้เก่งแค่ไหนก็ไม่กล้าเอาเรื่องของเสี่ยหวงมาพูดเล่น เสี่ยปา คุณว่าไง”
เคอหงเทาพูดจบก็ยิ้มบางๆ เอนหลังพิงเก้าอี้ เห็นได้ชัดว่าเตรียมตัวมาดี เพื่อรอดูการตอบสนองของเฉิงปา
เสี่ยเฉิงปาไม่รู้จะพูดอะไรไปชั่วขณะ เขาเอามือลูบหนวดสองข้างเหนือริมฝีปาก แล้วจึงลูบศีรษะล้านของตัวเอง เห็นได้ชัดว่าลนลานแล้ว
เคอหงเทาหัวเราะ “เสี่ยปา คุณไม่จำเป็นต้องกลัวอะไรหรอก ยังไงก็…เหอะๆ ตอนนี้เตะซ่งจื่อเซวียนออกไปก็ยังทัน คุณปกป้องเขามาตลอด ผมกลัวว่าคุณจะดูแลไม่ไหว!”
พูดถึงตอนท้ายสุด เคอหงเทาแทบจะกัดฟันพูด ถลึงตาทั้งสองข้างใส่
“คุณ…หึ เสี่ยเคอซาน อย่าเอามุกนี้มาพูดกับเสี่ยปา คุณจะเอาเสี่ยหวงมาข่มผมงั้นเหรอ”
“ไม่กล้าหรอก ของที่เสี่ยหวงต้องการอยู่กับซ่งจื่อเซวียนเป็นเรื่องจริง คุณไม่เชื่อลองไปถามด้วยตัวเองก็ยังได้ หรือไม่ก็ไปถามเสี่ยหวง เสี่ยหวงได้พูดไปที่งานชุมนุมอาหารตู้เหมินแล้ว!”
ได้ยินประโยคนี้ เสี่ยเฉิงปาก็หัวเราะเสียงดังขึ้นมา “ฮ่าๆๆ งานชุมนุมอาหารตู้เหมิน เสี่ยเคอซาน งานชุมนุมอาหารตู้เหมินฉันก็ไปร่วมงาน ทำไมไม่ได้ยินเสี่ยหวงพูดเลย”
เคอหงเทาส่ายหน้าพลางหัวเราะ “แน่นอนอยู่แล้ว เสี่ยปาคุณไม่รู้แน่นอน สองสามวันก่อน แค่สองสามวันก่อนหน้านั้นเอง พวกเราได้จัดงานชุมนุมอาหารตู้เหมินที่หอหงเยวี่ย และคนที่ร่วมงานในครั้งนี้มีเพียงห้าคนเท่านั้น!”
“อะไรนะ”
เสี่ยเฉิงปารู้สึกกระวนกระวายใจ ไม่รู้ว่าเสี่ยเคอซานพูดจริงหรือโกหก แต่จากน้ำเสียงดูเหมือนจะพูดจริงไม่หลอกลวง
ตัวเขาไม่กล้าไปถามเรื่องเหล่านี้กับเสี่ยหวง ไม่ว่าใครก็อยากใช้ชีวิตสงบสุข ถ้าไม่ต้องหาเรื่องพี่ใหญ่ได้ก็พยายามอยู่เงียบๆ ดีกว่า แต่คำพูดนี้…เขาไม่สามารถเชื่อได้ทั้งหมด
“เสี่ยเคอซาน ในเมื่อเสี่ยหวงเรียกไปประชุมแค่ห้าคน แล้วคุณยังกล้ามาบอกผมอีกเหรอ” เสี่ยเฉิงปาย้อนถาม
“เพราะว่าผมต้องทำงานไงล่ะ งานที่เสี่ยหวงสั่งผมต้องทำตาม แต่คุณขวางทางอยู่…เป็นอุปสรรคจริงๆ!”
เวลานี้ บนใบหน้าของเสี่ยเคอซานไม่มีรอยยิ้มตามมารยาทอีกแล้ว แต่เป็นความเคร่งขรึมและความเย็นชาเข้ามาแทน
อยู่ในเขตเฉิงตง อีกทั้งยังเป็นถิ่นของตัวเอง เสี่ยเฉิงปาไม่กลัวเคอหงเทาแน่นอน แต่เขากลัวเสี่ยหวงที่อยู่ข้างหลังเคอหงเทาจริงๆ
ถ้าหากสิ่งที่เคอหงเทาพูดเป็นความจริง เช่นนั้นน้ำขุ่นนี้ต่อให้เขาอยากลงไปลุยก็ไม่มีกำลัง!
เมื่อเห็นเสี่ยเฉิงปาไม่พูดอะไรอีก เคอหงเทาจึงยิ้มเล็กน้อย เงยหน้าพูด “เสี่ยปานะเสี่ยปา คุณเป็นคนฉลาดมาตลอด ครั้งนี้…เหอะๆ หวังว่าคุณจะไม่ตายอยู่ในนั้น เอาล่ะ สิ่งที่ควรพูดผมก็พูดไปแล้ว ขอบคุณเหล้าของเสี่ยปาด้วย ไม่ต้องไปส่งนะครับ!”
พูดจบ เคอหงเทาก็ลุกขึ้นแล้วเดินออกไป คนที่สามารถเดินออกจากถิ่นของเสี่ยเฉิงปาได้ง่ายๆ หลังจากทำตัวกร่างเช่นนี้แล้ว เสี่ยเคอซานนับได้ว่าเป็นอันดับหนึ่ง!
หลังจากเคอหงเทาออกไปแล้ว เสี่ยเฉิงปาไม่พูดอยู่นาน จนกระทั่งจางเปียวที่อยู่ข้างๆ ถามว่า “เสี่ยครับ เสี่ยเคอซานพูดจริงเหรอ”
“ไม่รู้” เสี่ยเฉิงปาพูดเสียงต่ำ ดวงตาสองข้างยังคงจ้องมองเบื้องหน้า เหมือนกำลังคิดอะไรอยู่
“ถ้าเป็นเรื่องจริง…งั้นพวกเราควรจะทำยังไงดีครับ เราหาเรื่องเสี่ยหวงไม่ได้เลย ใครๆ ก็รู้ว่า เสี่ยหวงกับท่านเป้ยเล่อแห่งปักกิ่งถือเป็นพี่เป็นน้องกัน”
จางเปียวเพิ่งจะพูดจบ เสี่ยเฉิงปาก็ลุกขึ้นพรวด หยิบแก้วเหล้าขึ้นมาแล้วเขวี้ยงลงพื้นอย่างแรง
แก้วเหล้าแตก กระเด็นไปรอบด้าน จางเปียวลุกขึ้นด้วยความตกใจ
“เสี่ยอย่าโกรธไปเลย ผมเชื่อว่านายท่านซ่ง อ้อไม่สิ นายท่านรองไม่คิดเป็นอื่นกับพวกเราแน่นอน เรื่องนี้พวกเราต้องคิดหาวิธี”
เสี่ยเฉิงปาสูดลมหายใจเข้าลึกๆ หนึ่งที “ใช่แล้ว ตอนนี้ฝ่ายหนึ่งคือเสี่ยหวง ฝ่ายหนึ่งคือเงิน เลือกยากจริงๆ”
“เงินเหรอครับ”
“แน่นอนสิ ราคาข้าวผัดจักรพรรดิหนึ่งที่ไม่อาจประเมินมูลค่าได้เลย ซ่งจื่อเซวียนก็คือต้นไม้ผลิตเงินนะ เปียวจื่อ โทรหาเขา บอกให้เขามาหาเดี๋ยวนี้ ฉันจะถามต่อหน้าเขาเอง”
“ครับเสี่ย!”
…
ณ ร้านปิ้งย่างริมทาง เนื่องจากใกล้จะเข้าฤดูหนาวแล้ว โต๊ะเก้าอี้นอกร้านปิ้งย่างจึงเก็บไปแล้ว คนที่ชอบกินปิ้งย่างเสียบไม้ดื่มเบียร์ส่วนใหญ่จะเข้าไปนั่งข้างใน
ไม่เพียงเท่านี้ นอกจากปิ้งย่างเสียบไม้กับเบียร์แล้ว ยังมีหม้อดินร้อนปุดหลายชุดวางอยู่บนโต๊ะจำนวนไม่น้อย
ซางเทียนซั่วดื่มเบียร์หนึ่งแก้ว พูดขึ้นว่า “โอ้โห รสชาตินี้สุดยอดจริงๆ ทำไมกินแล้วไม่รู้จักพอกันนะ อาจารย์รู้ไหม ที่บ้านน่ะพ่อผมไม่ให้กินของพวกนี้หรอกนะ เขาบอกว่าไม่สะอาด”
“อะไรคือสะอาดไม่สะอาด อร่อยก็พอแล้ว” ฟางรุ่ยกินปิ้งย่างเสียบไม้หมดทั้งอันในคำเดียว เคี้ยวไปพลางพูดไปพลาง
ซ่งจื่อเซวียนพยักหน้าเบาๆ “รุ่ยจื่อพูดถูก ชีวิตคนเราต้องใช้ให้เต็มที่ อีกอย่างนะ พวกเราตอนเด็กก็กินของข้างทางเยอะแยะไม่เห็นเคยเจ็บเคยป่วยเลย ตอนนี้รัฐบาลได้ควบคุมร้านริมทางไปหมดแล้ว ทำให้รสชาติไม่อร่อยเหมือนก่อน”
“ใช่แล้ว บางครั้งกินของก็นึกถึงอดีต ตอนนี้ความเจริญของตู้เหมินเหมือนกับในเมืองใหญ่ไปแล้ว ทางรัฐบาลจึงเอาไปทำผลงานความดีความชอบ แต่ความสุขของพวกเราไม่มีแล้ว วันนั้นผมอยากหาร้านกินเจียนปิ่ง[1] แต่งงมากที่หาร้านรถเข็นไม่เจอ” ซางเทียนซั่วกล่าว
“ถูกต้อง เจียนปิ่งต้องหาตามร้านรถเข็น ที่ขายในร้านรสมันไม่ถูกต้อง!” ซ่งจื่อเซวียนยกแก้วเหล้าขึ้นมา
เนื่องจากวันนี้รู้ว่าเสี่ยเฉิงปาจะมาหาตนเองตอนเย็น ซ่งจื่อเซวียนจึงไม่รีบกลับบ้าน และตั้งใจนัดทั้งสองคนออกมากินปิ้งย่าง และยังอยู่ในเขตเฉิงตงพอดี
ซ่งจื่อเซวียนพอจะรู้นิสัยของเคอหงเทาอยู่แล้ว เย็นนี้เขาจะต้องพูดคุยกับเสี่ยเฉิงปาเรื่องที่ไม่เป็นประโยชน์ต่อตัวเองแน่นอน แต่จุดประสงค์นั้น…ก็ไม่อาจรู้ได้
ขณะที่กำลังกินอยู่ โทรศัพท์ของซ่งจื่อเซวียนก็ดังขึ้นมา เมื่อเห็นว่าเป็นจางเปียว เขาจึงยิ้มอย่างดีใจ “โอเค ทางเสี่ยปาน่าจะดื่มกันเสร็จแล้ว ถึงเวลาคุยกับฉันเสียที”
“นายท่านรอง คุณแน่ใจว่าเขาจะมาหาคุณแบบนี้เลยเหรอ” ฟางรุ่ยถามอย่างสงสัย
ซ่งจื่อเซวียนยิ้ม สื่อให้พวกเขาอย่าเพิ่งพูดอะไร แล้วจึงกดรับสาย
เป็นดังคาด จางเปียวบอกซ่งจื่อเซวียนว่าเสี่ยเฉิงปาอยากเจอเขา และส่งที่อยู่มาให้ เพื่อให้พวกเขาไปหาเดี๋ยวนี้
ซ่งจื่อเซวียนดูที่อยู่ก่อนจะเอ่ยว่า “เหอะๆ ไม่ไกล เดินไปก็ได้!”
“พอดีเลย เดินเล่นย่อยอาหาร” ซางเทียนซั่วหัวเราะพูด
ข้างๆ ร้านอาหารเหล่าปามีห้องว่างห้องหนึ่ง เนื่องจากไม่มีเจ้าของ ในตอนนั้นเสี่ยเฉิงปาจึงทุบมันให้เดินทะลุกับร้านอาหารได้ ตอนแรกอยากทำเป็นห้องส่วนตัว แต่ก็จำเป็นต้องตกแต่งโถงทางเดินด้วย เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ต้องจ่ายเงินเพิ่มจึงปล่อยว่างแบบนั้น
ต่อมาภายหลัง เสี่ยเฉิงปาจัดวางโต๊ะเก้าอี้เข้าไปข้างใน ทำเป็นห้องบัญชี ตอนนี้ เขาชงน้ำชาเสร็จแล้วรอซ่งจื่อเซวียนมาอยู่
เนื่องจากซ่งจื่อเซวียนชอบความสง่างามและเรียบหรู เสี่ยเฉิงปาจึงใส่ใจเป็นอย่างมาก โดยปกติแล้ว ทุกครั้งที่เจอซ่งจื่อเซวียน เขาเลือกที่จะชงน้ำชาแทนการดื่มเหล้า
ในไม่ช้า พวกซ่งจื่อเซวียนก็เดินเรื่อยๆ มาถึงร้านอาหาร จางเปียวพาพวกเขาเดินไปที่ห้องด้านหลัง
เมื่อเห็นซ่งจื่อเซวียนเดินเข้ามา เสี่ยเฉิงปารีบยิ้มทันที “น้องชาย มาๆๆ พวกเราดื่มน้ำชากันก่อน”
ถึงแม้ในใจจะรีบร้อนมาก แต่เสี่ยเฉิงปาก็ไม่แน่ใจว่าที่เคอหงเทาพูดเป็นเรื่องจริงหนึ่งร้อยเปอร์เซ็นต์หรือไม่ ดังนั้นจึงพยายามข่มจิตตัวเองให้ใจเย็น
ซ่งจื่อเซวียนยิ่งไม่ร้อนใจแต่อย่างใด ตามความเข้าใจของเขา สุดท้ายเสี่ยเฉิงปาจะทนไม่ไหวจนต้องพูดออกมาก่อนเอง
ดื่มน้ำชาแล้วเขาก็พยักหน้าเบาๆ “ดอกมะลิ คนตู้เหมินชอบมากที่สุด ถึงแม้จะราคาถูก แต่ดื่มแล้วสดชื่น”
“ฮ่าๆๆ ถูกแล้ว ชาดอกไม้ไม่แพงแต่ดื่มกันจนชินแล้ว คนตู้เหมินดื่มชาดอกไม้มาตั้งแต่เด็ก น้องชาย เป็นคนวงในจริงๆ”
ซ่งจื่อเซวียนยิ้มให้แต่ไม่พูดอะไร สายตากวาดมองเฉิงปาเป็นระยะ
เสี่ยเฉิงปาเห็นซ่งจื่อเซวียนไม่พูด จึงจัดการอารมณ์ของตัวเองก่อนเอ่ยว่า “น้องชาย ฉันมีเรื่องอยากถามแก”
“เสี่ยปาไม่ต้องเกรงใจ พูดมาได้เลยครับ”
“เอ่อ…เฮ้อ ขอถามนิดหน่อย ก็คือ…แกรู้จักเสี่ยหวงไหม”
ซ่งจื่อเซวียนได้ยินก็ตกตะลึงไปเล็กน้อย “ผมไม่เคยได้ยินชื่อเสี่ยคนนี้มาก่อนเลย”
“หืม ไม่เคยได้ยินงั้นเหรอ ช่างเถอะน้องชาย แกก็รู้ว่าฉันเสี่ยปาไม่ชอบพูดจาอ้อมค้อม ฉันจะพูดกับแกตามตรง”
จากนั้น เสี่ยเฉิงปาจึงเล่าบทสนทนาที่พูดกับเคอหงเทาวันนี้ให้ซ่งจื่อเซวียนฟังอีกหนึ่งรอบ โดยพื้นฐานแล้วไม่มีการใส่สีตีไข่ อย่างไรเขาในตอนนี้ก็อยากรู้ว่าเป็นเรื่องจริงหรือไม่
แต่เมื่อคำพูดเหล่านี้เข้าหูของซ่งจื่อเซวียนแล้ว เขาก็เข้าใจในทันที เสี่ยหวงคนนี้มีตัวตนอยู่จริง และเรื่องนี้ก็น่าจะเป็นเรื่องจริง
ทว่าของที่อยู่ในมือของเขา…ถ้าหากตัวเองเดาไม่ผิดล่ะก็ น่าจะหมายถึงส่วนผสมของข้าวผัดจักรพรรดิ ต่อให้ไม่ใช่ก็น่าจะเกี่ยวกับเรื่องนี้
ดูท่าวงการอาหารจะอันตรายกว่าที่ตัวเองจินตนาการไว้มาก รวมถึงเสี่ยเจียงคราวก่อนด้วย แม้แต่คนที่ยังไม่เคยเจอหน้ากันก็คิดถึงเขาเสียแล้ว
นึกถึงตรงนี้ เขาอดหัวเราะอย่างขมขื่นออกมาไม่ได้ ดูท่าจะต้องไปขอให้หลินเทียนหนานช่วยเหลือตัวเองอีกครั้งถึงจะผ่านด่านนี้ไปได้ ที่ตู้เหมินนี้ เกรงว่าจะมีเพียงคนที่มีตำแหน่งอย่างหลินเทียนหนานเท่านั้นถึงจะเอาคนอย่างเสี่ยหวงอยู่
แต่นี่จะเป็นนิสัยของซ่งจื่อเซวียนไปได้อย่างไร ไปขอให้หลินเทียนหนานช่วยแก้ปัญหาน่ะเหรอ ไม่ไปหาจะดีกว่า ตัวฉันไม่เชื่อว่าจะยืนด้วยลำแข้งตัวเองได้งั้นเหรอ
จู่ๆ เขาก็มองไปที่เฉิงปา พร้อมกับความมั่นใจที่ลุกโชน
“เสี่ยปา ผมซ่งจื่อเซวียนขอพูดกับคุณจากใจจริงหนึ่งประโยค!” ซ่งจื่อเซวียนกำหมัดคารวะ
“น้องชาย แกพูดมาได้เลย!” เสี่ยปากำหมัดตอบกลับเช่นกัน
“ถ้างั้นขอโทษที่ต้องพูดล่วงเกินนะครับ เสี่ยปา คุณสู้ไปกับผมเถอะ!”
……………………………………….
[1] เจียนปิ่ง คือ เครปจีน