เส้นทางเศรษฐีของ(ว่าที่)เชฟเหรียญทอง - ตอนที่ 98 ซื้อสินค้าที่ผลิตภายในประเทศ
- Home
- All Mangas
- เส้นทางเศรษฐีของ(ว่าที่)เชฟเหรียญทอง
- ตอนที่ 98 ซื้อสินค้าที่ผลิตภายในประเทศ
ตอนที่ 98 ซื้อสินค้าที่ผลิตภายในประเทศ
เถ้าแก่กำลังต้มน้ำเตรียมชงชาให้ซ่งจื่อเซวียน เมื่อได้ยินซ่งจื่อเซวียนถามเช่นนี้ จึงเงยหน้ามองหนึ่งที “อ๋ออันนั้นเหรอ แต่เดิมบ้านของพวกเราอยู่ในเขตชานเมืองตะวันตก หลังจากย้ายบ้านมาอยู่ในเมือง ผมรู้สึกว่าจะทิ้งก็เสียดาย เลยเอามาด้วยน่ะครับ”
“อ้อ อย่างนี้นี่เอง สวยมากนะครับ ฮ่าๆ แต่เสียดายเก่าเกินไป”
เมื่อได้ยินเจ้าของร้านพูดว่าจะทิ้งก็เสียดาย ซ่งจื่อเซวียนจึงมั่นใจ อย่างน้อยเจ้าของร้านไม่ได้มองว่าเป็นของเก่า
“ใช่ครับ ของชิ้นนี้ผมคิดว่าน่าจะมีอายุนานแล้ว อาจจะมีมาตั้งแต่ตอนที่พ่อของผมยังเป็นหนุ่ม ผมเลยมองเป็นของต่างหน้าให้คิดถึงน่ะ” เจ้าของร้านพูดยิ้มๆ
ขณะพูด เจ้าของร้านชงชาเสร็จพอดี ใช้แก้วมัคเทใส่ถ้วยเล็กแล้วยื่นให้ซ่งจื่อเซวียน “มา น้องชาย คุณลองชิมดู อันนี้หกร้อย ถ้าคุณรู้สึกว่าใช้ได้ก็เอาไปครึ่งกิโลกรัมนะ”
ซ่งจื่อเซวียนยิ้มเล็กน้อยแล้วพยักหน้าขอบคุณ จากนั้นจึงชิมหนึ่งที “โอ้ ชานี้ไม่เลวนะครับ หอมมาก”
“แหะๆ ผมเดาว่าถ้าหกร้อยถูกปากของคุณ คุณไม่ต้องซื้อแบบสามพันก็ได้ครับ ชาวบ้านอย่างพวกเราหาเงินไม่ง่าย ที่จริงชาระดับไฮเอนด์มีไว้ให้คนรวยดื่มเท่านั้นแหละ”
พอได้ฟังเช่นนี้ซ่งจื่อเซวียนจึงสบายใจ อย่างน้อยเจ้าของร้านคนนี้ไม่ใจดำ ไม่โกหกลูกค้า
“อืม คุณพูดถูก พวกเราไม่ว่าจะเป็นใคร ก็ไม่ได้มีเงินหล่นมาจากฟ้า อ้อใช่พี่ชาย แจกันดอกไม้อันนี้ทางที่ดีคุณวางไว้ข้างในหน่อยจะดีกว่า เผื่อใครมาดูใบชาแล้วจะเผลอทำแตกน่ะครับ”
“ไม่เป็นไร แตกได้ก็ดี ของแบบนี้…ทิ้งไปผมยังว่าเสียดาย แต่ไม่ทิ้งก็เป็นภาระอยู่บ้าง ทีแรกวางอยู่ใต้หน้าต่างในบ้าน ภรรยาของผมไม่ชอบที่มันเก่า ผมถึงแบกมาไว้ในร้านแทน”
ซ่งจื่อเซวียนได้ยินแล้วจึงพยักหน้า มองไปรอบๆ เอ่ยว่า “ใช่ครับ ร้านคุณเล็ก ไม่มีที่วาง อ้อพี่ชาย คุณคิดว่าแบบนี้ได้ไหมครับ ผมมีเพื่อนสนิทกำลังจะแต่งงาน ผมก็ไม่รู้ว่าจะให้อะไรเขาดี คุณให้แจกันนี้กับผมได้ไหมครับ ผมจะเช็ดให้สะอาดแล้วเอาไปให้เขา”
“หา? เอาของแบบนี้ไปให้ในงานแต่งงาน…ไม่ดีมั้งครับ เดี๋ยวนี้คนเราชอบใช้กระเบื้องเคลือบสีหลิวหลี สวยและดูสะอาด คุณดูสิมันเก่ามากเลยนะครับ” เจ้าของร้านพูดพลางมองแจกันดอกไม้นั่น
“แหะๆ ไม่ต้องกังวลครับ มันเช็ดได้ แถมสีก็สวยดี ให้ความรู้สึกถึงความเก่าแก่ ไม่แน่เขาอาจจะชอบครับ”
“เอ่อ…ก็ได้ครับ ถ้าจะเอาไปให้เป็นของขวัญจริงๆ ก็ถือว่าเป็นลูกค้า เอาไปวางเป็นผลงานศิลปะถือว่าไม่เลว ถ้างั้นเดี๋ยวผมเช็ดให้คุณนะครับ”
เจ้าของร้านพูดจบ ซ่งจื่อเซวียนก็รีบลุกขึ้นทันที เอามือป้องแจกันดอกไม้ “ไม่ต้องๆๆ ครับ คุณชงชาให้ผมแล้ว แถมยังงานยุ่งอีก ผมกลับไปเช็ดเองดีกว่าครับ คุณลอง…เสนอราคามาได้เลยครับ ยังไงก็ต้องให้เงินด้วยไม่ใช่เหรอครับ”
เจ้าของร้านครุ่นคิด “น้องชาย คุณเป็นคนจริงใจและตรงไปตรงมา พี่ชายไม่คิดราคาแพงหรอก คุณให้มาห้าสิบหยวนโอเคไหม น้ำใจเล็กๆ น้อยๆ ก็พอแล้ว ของเก่าขนาดนี้”
ซ่งจื่อเซวียนแทบจะบ้าตาย ห้าสิบหยวนงั้นเหรอ ตัวเองเจอของดี แต่คำพูดของเจ้าของร้านฟังแล้วอุ่นใจแปลกๆ ซ่งจื่อเซวียนรู้สึกไม่ดีอยู่บ้าง
“เอาอย่างนี้แล้วกันพี่ชาย ผมซื้อใบชาของคุณครึ่งกิโลกรัม แล้วคุณก็เอาแจกันนี่ให้ผม”
“อย่างนั้นก็ได้ ก็แค่ราคาของไม่กี่หยวน” เจ้าของร้านพูดพลางบรรจุใบชา
ซ่งจื่อเซวียนรีบพูดขัด “เอ่อพี่ชาย เอาแบบสามพันครับ”
ซ่งจื่อเซวียนรู้ว่าธุรกิจใบชาเป็นธุรกิจทองคำ กำไรสูง ซื้อครึ่งกิโลกรัมสามพันหยวนถือว่าให้กำไรเจ้าของร้านแล้ว อย่างไรก็เยอะกว่าห้าสิบหยวน
“หา? น้องชายจะเอาอันนี้จริงๆ เหรอ”
“ครับ ผมจะเอาไปมอบเป็นของขวัญด้วยกัน ขอบคุณพี่ชายนะครับ”
“ไม่เป็นไรหรอก คุณทำให้ผมรู้สึกเกรงใจเลย ถ้างั้นเอาแบบนี้ เดี๋ยวผมจะเอาแจกันใบนี้ไปเช็ดให้คุณก่อนแล้วกัน ไม่เป็นไรนะครับ แป๊บเดียว!”
“ไม่เป็นไรครับ ผมทำเองดีกว่า ถ้าต้องให้คุณทำด้วย ผมรู้สึกไม่ดีน่ะครับ” ซ่งจื่อเซวียนคิดในใจ ‘ได้ที่ไหนกันล่ะ น้ำยาเคลือบตามธรรมชาตินับร้อยปี ถ้าให้คุณเช็ดออก แจกันใบนี้ก็หมดราคาพอดี’
ในวงการของเก่าเป็นเช่นนี้จริงๆ ของโบราณชิ้นดี มีคนเห็นว่าสกปรกจึงเช็ดทำความสะอาด ทำให้ของจากราคาหลักแสนกลายเป็นของราคาหลักร้อยทันที
อย่างไรของเก่าก็แพงตรงที่ให้ความรู้สึกถึงเวลาที่ยาวนาน น้ำยานับร้อยปีถูกเช็ดออกไป กลายเป็นของชิ้นใหม่ในยุคปัจจุบัน จึงไม่คุ้มค่าคุ้มราคา
หลังจากนั้น ซ่งจื่อเซวียนจึงจ่ายเงิน ถือใบชาครึ่งกิโลกรัมออกมา และยังอุ้มแจกันเคลือบสีดำออกมาจากร้านชา
ซางเทียนซั่วเห็นซ่งจื่อเซวียนเดินออกมาก็เดินเข้าไปรับพลางพูด
“อุ้มไว้ แจกันใบนี้ถ้าแตกล่ะก็ ความเป็นลูกศิษย์อาจารย์ของพวกเราเป็นอันจบสิ้น” ซ่งจื่อเซวียนยัดแจกันเคลือบลายครามเข้าไปในอ้อมอกของซางเทียนซั่ว
ซางเทียนซั่วได้ยินดังนั้นรู้สึกหนักใจทันที เหมือนกับอุ้มภูเขาลูกหนึ่ง “โหอาจารย์ ความสัมพันธ์ของลูกศิษย์กับอาจารย์เปราะบางขนาดนั้นเลยใช่ไหม ยังสู้แจกันดอกไม้อันนี้ไม่ได้ ผมรู้ว่าแล้วว่าทำไมผู้ชายไม่ได้เรื่องถึงโดนว่าเหมือนแจกัน”
ฟางรุ่ยเห็นดังนั้นจึงหัวเราะ “นายท่านรอง แจกันดอกไม้ใบนี้มีค่ามากใช่ไหมครับ”
“เหอะๆ น่าจะใช่ ไปกันเถอะ พวกเราไปเลือกโทรศัพท์กัน”
พวกเขาสามคนกำลังอยู่ที่แผงขายโทรศัพท์หนึ่ง จากนั้นก็มีเสียงดังมาจากข้างๆ “ไอ้หนู นายเก่งจริงๆ เอามาจนได้”
ซ่งจื่อเซวียนได้ยินแล้วจึงรู้ว่าเป็นหวังเฉิงยง เขาพูดตอบโดยไม่หันหน้า “แน่นอนครับ ขอบคุณที่คุณออมมือ”
“หยุดพล่ามไร้สาระ ฉันขอดูหน่อยได้ไหม”
ซ่งจื่อเซวียนส่งสายตาเป็นสัญญาณให้ซางเทียนซั่ว คนหลังจึงยื่นแจกันดอกไม้ให้หวังเฉิงยง
หวังเฉิงยงมองพลางลูบไปด้วย “ของดี เป็นของดีจริงๆ นายจ่ายไปเท่าไร”
ซ่งจื่อเซวียนทำสามนิ้ว หวังเฉิงยงตกตะลึง “สามร้อยงั้นเหรอ เก่งมาก ฉันกะไว้ประมาณสี่ห้าร้อยหยวน”
“สามพันหยวนต่างหากครับ ถือว่าซื้อใบชามา”
“อย่างนั้นก็ได้อยู่ ไม่ขาดทุน ของแบบนี้หายากตามท้องตลาด คาดว่าอย่างต่ำต้องสามแสนถึงห้าแสน แต่นายดันเก็บมาได้ในราคาดี เยี่ยมจริงๆ!” หวังเฉิงยงกัดฟันพูด
“ฮิๆ ได้ของมาก็ดีใจแล้ว จะไปสนเรื่องอื่นทำไมล่ะ” ซ่งจื่อเซวียนพูดพลางหันไปทางหวังเฉิงยง “ในจุดนี้ต้องขอบคุณท่านผู้เฒ่านะครับ คุณวางใจได้ ครั้งหน้าถ้าเจอของดีผมจะหลีกทางให้ครับ”
“ช่างเถอะ เมื่อก่อนถือว่าฉันมองนายผิดไป คิดว่ามีคุณธรรมสูง ไม่คิดว่าเจอของเก่าแล้วจะโหดขนาดนี้ ฉันจะบอกนายให้นะ คราวหน้าถ้าเห็นฉันเจอของดี รีบอยู่ห่างๆ ฉันเลยได้ยินไหม”
“ขอรับ!” ซ่งจื่อเซวียนทำท่าคุกเข่าคารวะข้างหนึ่งแบบสมัยราชวงศ์ชิง จากนั้นจึงรับแจกันดอกไม้กลับมาแล้วส่งให้ซางเทียนซั่ว
หวังเฉิงยงกลอกตาใส่เขาหนึ่งที ทันใดนั้นก็ชี้ไปที่โทรศัพท์แล้วเอ่ยว่า “พ่อค้า หยิบมือถืออันนั้นมาให้หน่อย”
เจ้าของร้านหยิบโทรศัพท์ยื่นให้เขา หวังเฉิงยงมองแล้วเอ่ยว่า “ไอ้หนู ซื้ออันนี้เถอะ ของแท้ ใหม่มาก”
“เรื่องนี้คุณก็รู้เหรอครับ” ซ่งจื่อเซวียนถามด้วยความแปลกใจ
“ของแบบนี้ก็พอรู้บ้าง เชื่อฉันไม่พลาดแน่นอน คิดจะจ่ายเท่าไรเท่าไรล่ะ”
“อืม…สองพันได้ไหมครับ” ซ่งจื่อเซวียนจงใจพูดราคาต่ำ ไม่ว่าอย่างไรดูแล้วตาเฒ่าคนนี้เหมือนจะเข้าใจจริงๆ บางทีพูดไปเช่นนี้เขาอาจจะช่วยเสนอราคาให้ตัวเองได้บ้าง
หวังเฉิงยงพยักหน้า “โอเค ฉันจะช่วยพูดให้นาย”
“อาจารย์ ไม่งั้นซื้อมือถือแอปเปิ้ลก็ได้ครับ ของที่ผลิตในประเทศมัน…”
“ถุย ไอ้หนูนายประสาทเหรอ เดี๋ยวนี้ของที่ผลิตในประเทศดีจะตาย ซื้อของนอกทำไม ต้องซื้อของที่ผลิตในประเทศสิ”
ไม่รอให้ซางเทียนซั่วพูดจบ หวังเฉิงยงก็บ่นไปหนึ่งประโยค ซ่งจื่อเซวียนหัวเราะ “เชื่อคุณครับ ถ้างั้นก็ซื้ออันนี้”
หวังเฉิงยงต่อราคา พ่อค้าถึงแม้จะเผยสีหน้าขาดทุน แต่หวังเฉิงยงเหมือนจะเข้าใจตลาดโทรศัพท์จริงๆ พูดสองสามประโยคอีกฝ่ายก็ทำอะไรไม่ได้แล้ว
“โอเค ผมจะเพิ่มราคาให้คุณอีกหน่อย คุณขายให้ผมเถอะ เหมือนของเถื่อนแบบนี้ขายไม่ค่อยออกใช่ไหม” สิ่งที่เรียกว่าของเถื่อนก็คือขโมยหรือไปแย่งมา
“อย่างนั้นคุณเสนอราคามาได้เลย”
“หนึ่งพันหกร้อยหยวน ไม่ขายก็ไม่เอา แล้วเดี๋ยวผมจะไปประกาศว่าคุณขายของเถื่อน”
“อย่านะ ทำไมคุณถึงโหดขนาดนี้ ขายให้คุณก็ได้ เอาเงินมา!”
ซ่งจื่อเซวียนรีบหยิบเงินออกมาอย่างมีความสุข หวังเฉิงยงหยิบโทรศัพท์มาให้แล้วเอ่ยว่า “ไอ้หนู โทรศัพท์เครื่องนี้เป็นรุ่นใหม่ล่าสุด มีคนใช้รุ่นนี้ไปถ่ายหนังโดยเฉพาะ กลับไปนายลองไปถ่ายแฟนของนายดูสิ ถ่ายรูปของเธอสองสามรูปรับรองว่าเธอจะต้องดีใจยิ้มไม่หุบแน่นอน”
“ฮิๆ ได้ครับ ต้องขอบคุณคุณด้วยนะครับ วันนี้คุณยอมปล่อยของให้ผม และยังช่วยผมซื้อโทรศัพท์ ผมจะขอบคุณคุณยังไงดีครับ”
“ไร้สาระ ฉันไม่สนใจเรื่องพวกนี้หรอก ครั้งหน้าพวกนายพาฉันไปเลี้ยงเหล้าก็พอ”
ซ่งจื่อเซวียนหัวเราะ “เอาแบบนี้แล้วกันครับ ผมไปร่วมลงทุนเปิดร้านอาหารแถวเขตเฉิงตง อีกสามวันก็จะเปิดร้านแล้ว ถ้าคุณยินดี ผมอยากจะเชิญไปดื่มที่ร้านของพวกเราตอนเย็นน่ะครับ”
“ก็ดีเหมือนกัน ฉันจะให้เบอร์โทรไว้ ถึงตอนนั้นก็โทรมานัดฉันนะ อย่าลืมล่ะว่าล่วงหน้าสามวัน!”
พูดจบ หวังเฉิงยงจึงหมุนตัวเดินออกไป สองมือไพล่หลัง เดินเล่นในตลาดต่อ
มองดูแผ่นหลังของเขา ซ่งจื่อเซวียนก็หัวเราะออกมา ตาเฒ่าคนนี้…พิถีพิถันเยอะจริง
ในย่านตู้เหมินและปักกิ่งมีหลักการพูดอย่างหนึ่ง เชิญล่วงหน้าสามวัน ซึ่งหมายถึงเลี้ยงข้าวต้องบอกล่วงหน้าสามวัน ถ้าจะเลี้ยงวันนั้นแล้วบอกวันนั้นเลย ก็เหมือนลากคอเขาไปดื้อๆ ดูไม่มีมารยาท
“อาจารย์ คนคนนี้เป็นใครกันแน่ ดูลึกลับมาก อ้อใช่ โทรศัพท์เครื่องนั้นทางที่ดีเอาไปเช็กก่อนเถอะ ถ้าซื้อของก๊อปมา พวกเราขาดทุนพอดี”
ซ่งจื่อเซวียนหัวเราะ “ไม่เป็นไร ฉันคิดว่าซื้อถูกแล้ว”
……………
เขตเฉิงตง ร้านอาหารเหล่าปา
ชื่อนี้แค่ฟังก็รู้ว่าเป็นร้านอาหารของเสี่ยเฉิงปา ร้านไม่ใหญ่มาก มีห้องส่วนตัวสามสี่ห้อง ในห้องโถงมีโต๊ะกลมสองตัว โต๊ะเหลี่ยมสี่ตัว ต่อให้คนนั่งเต็มก็ทำเงินได้ไม่เยอะเท่าไร
ภายในห้องส่วนตัว ควันหมุนวนเป็นเกลียวอยู่ภายในอากาศ กลิ่นเหล้าและอาหารผสมปนเปกัน เคอหงเทากับเสี่ยเฉิงปานั่งคนละฝั่ง ทั้งสองคนพาลูกน้องติดตามมาแค่คนเดียว และมองออกว่าวันนี้เคอหงเทาไม่ได้มาหาเรื่อง
อย่างไรเขตเฉิงตงก็เป็นถิ่นของเสี่ยเฉิงปา เคอหงเทาจึงกล้าพาคนมาแค่คนเดียว และเขาก็มีความมั่นใจมากพอ ไม่อย่างนั้นเขาคงไม่กล้ามาจริงๆ
ส่วนเสี่ยปาเดิมทีพาจางเปียวกับเหลยจื่อมาด้วยกัน เมื่อเห็นข้างกายเคอหงเทามีลูกน้องคนเดียว จึงเรียกเหลยจื่อไปช่วยงานที่เคาน์เตอร์แทน เหลือจางเปียวอยู่ข้างกายเพียงคนเดียว
“เสี่ยปา รสชาติในร้านอาหารเล็กๆ นี่เป็นรสดั้งเดิมจริงๆ เหอะๆ ร้านอาหารแบบนี้คุณมีอยู่หลายร้าน น่าจะทำกำไรมากใช่ไหม” เคอหงเทาพูดพลางยกแก้วเหล้าขึ้นมา
เสี่ยเฉิงปาถือแก้วเหล้าชนแก้วกับเขา แล้วจึงเงยหน้าดื่มหมดรวดเดียว “ทำกำไรอะไร ต่อให้อร่อยยังไงก็เป็นร้านอาหารเล็กๆ ราคาถูก ได้กำไรเยอะไหมเสี่ยเคอซานไม่รู้ได้ยังไง เสี่ยซาน พวกเราอย่าพูดอ้อมค้อมเลย พูดมาเถอะว่าวันนี้มาหาผมมีธุระอะไร”
“ฮ่าๆๆ เสี่ยปาก็คือเสี่ยปา พูดตรงไปตรงมา โอเค เสี่ยปา ช่วงนี้คุณ…สนิทกับซ่งจื่อเซวียนมากเลยใช่ไหม”
เสี่ยเฉิงปาได้ยินดังนั้นจึงหรี่ตาเล็กน้อย “ถูกแล้ว ทำไมเหรอ เสี่ยซานอยากจะยุ่งเรื่องภายในของผมด้วยเหรอ”
“ไม่กล้าหรอกครับ เสี่ยปาคุณอย่าเข้าใจผิด ผมไม่ได้มาก่อกวนคุณ แต่…มาเกลี้ยกล่อมคุณ อยู่ใกล้ซ่งจื่อเซวียนมากเกินไป เกรงว่าจะต้องผิดใจกับใครบางคนนะ” เคอหงเทาพูดพลางเผยรอยยิ้มที่มีความหมายลึกซึ้ง
……………………………………