เส้นทางเศรษฐีของ(ว่าที่)เชฟเหรียญทอง - ตอนที่ 97 แจกันดอกไม้เคลือบสีดำ
ตอนที่ 97 แจกันดอกไม้เคลือบสีดำ
พอได้ยินดังนี้ ซ่งจื่อเซวียนรู้สึกอายเล็กน้อย เขาแค่พาเพื่อนสองคนออกมาซื้อโทรศัพท์ ที่พูดว่าเป็นลูกศิษย์กับอาจารย์จริงๆ แล้วมีเพียงซางเทียนซั่วเท่านั้น ทำไมถึงกลายเป็นลูกศิษย์กับอาจารย์สามคนไปได้ แถมยังขาดม้าอีกหนึ่งตัว…คิดว่าเป็นไซอิ๋วหรือไง
“สามคนเหรอ อาจารย์ มันต้องสี่คนไม่ใช่เหรอ” ซางเทียนซั่วถามทันที
หวังเฉิงยงขำหนักกว่าเดิม พลางหัวเราะพูดว่า “โอ้ เป็นอาจารย์จริงๆ ด้วย ไอ้หนูนายแน่มาก เล่นบทลูกศิษย์อาจารย์รักกันลึกซึ้งอย่างนั้นเหรอ แต่ฉันจะบอกนายให้นะ หลายปีมานี้ลูกศิษย์อาจารย์หลอกกันเองเยอะแยะ บางคนถึงขั้นสวมเขาให้กันก็มี”
“แม่งเอ๊ย ไอ้แก่แกพูดของอะไรของแก!” ซางเทียนซั่วชี้หน้าหวังเฉิงยง
“นายก็อย่าเพิ่งพูด ที่นายถามเรื่องลูกศิษย์อาจารย์สี่คนฉันจะบอกนายจริงๆ ก็ได้ นายสองคนคนหนึ่งเป็นลิงอีกคนเป็นหมู ตอนนี้กำลังตามอาจารย์ของนายไปหาเหล่าซา[1]แล้ว” หวังเฉิงยงไม่สนใจคำเตือนของซางเทียนซั่ว และพูดเยาะเย้ยต่อ
“แก…” ซางเทียนซั่วโกรธแล้ว เมื่อก่อนกู่เสี่ยวเป่าล้อเล่นเขาแต่ก็ทำอะไรไม่ได้ เพราะพออีกฝ่ายเป่านกหวีดแก๊งขอทานก็จะมาในทันที และยังเคยช่วยเขาไว้อีกด้วย แต่ไอ้แก่คนนี้…เขาทนไม่ไหวแล้วจริงๆ เขาง้างมืออยากจะต่อย “ฉันจะต่อยแก!”
“เทียนซั่ว!” ซ่งจื่อเซวียนรีบตวาด ถึงแม้เขาจะไม่ค่อยรู้จักหวังเฉิงยงมากเท่าไร แต่ไม่กี่ครั้งที่ได้เจอก็รู้ว่าอีกฝ่ายเป็นคนปากร้าย ทว่าเขามีความสามารถจริงๆ ไม่ว่าจะเรื่องอาหารหรือของโบราณ นับว่ามีสายตาหลักแหลม
ซางเทียนซั่วได้ยินดังนั้นจึงหยุดมือ แต่หวังเฉิงยงกลับหน้าบึ้งทันที “ทำไมจะหาเรื่องเหรอ อยากลงมือเหรอ”
ตาเฒ่าหวังเฉิงยงหัวเราะดีใจฮ่าๆๆ แต่ทันใดนั้นก็เคร่งขรึมขึ้นมา พร้อมกับมีมาดเผด็จการที่ยากจะอธิบาย ถึงขนาดที่ซ่งจื่อเซวียนก็เพิ่งเคยเห็นด้านนี้ของเขาเป็นครั้งแรก
“เหอะๆ ท่านผู้เฒ่า พี่น้องของผมไม่ค่อยชอบล้อเล่นครับ เขาไม่ได้คิดร้ายอะไร”
“ไม่ชอบล้อเล่นก็ไม่บอก ไอ้เด็กไม่รู้เรื่อง” พูดประโยคนี้จบ หวังเฉิงยงก็เดินเข้าไปในตลาดอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์
ซ่งจื่อเซวียนเห็นดังนั้นจึงเดินตาม “ท่านผู้เฒ่า คุณมาที่นี่ทำไมครับ มาซื้อโทรศัพท์เหมือนกันเหรอ”
“เปล่า ฉันมาเดินเล่น นายไม่ต้องเดินตามฉัน พวกนายเดินของพวกนายเอาเอง” หวังเฉิงยงกล่าว
ซ่งจื่อเซวียนเขินอายเล็กน้อย ดูเหมือนตาเฒ่าผู้นี้จะโกรธซางเทียนซั่ว เขาจึงหัวเราะเดินตามไป “แหะๆ ไม่เป็นไรผมไม่รีบ เดินคุยเล่นกับคุณก่อนได้ครับ”
หวังเฉิงยงขมวดคิ้วใส่ “ฉันบอกแล้วไงว่าอย่าเดินตามฉัน ฉันไม่อยากคุยด้วย รีบไปซื้อโทรศัพท์เถอะ”
“ครับ…” ซ่งจื่อเซวียนกำลังคิดจะเดินออกไป ทันใดนั้นก็หันหน้ามาพูดว่า “อ้อใช่ผู้เฒ่าหวัง คุณรู้ไหมครับว่ามีร้านไหนขายยาจีนบ้าง”
หวังเฉิงยงดูเหมือนตกใจคำพูดนี้ ตัวโอนเอนเล็กน้อย สักพักจึงกลับมาสู่ความนิ่งเฉย “อ้อ ยาจีนเหรอ ออกประตูเลี้ยวขวามีร้านขายยาอยู่ ร้านนั้นมีครบทุกอย่าง นายเดินไปสักพักเดี๋ยวก็ถึง ถ้าไม่มีอะไรฉันขอตัวก่อน อย่าเดินตามฉันมาอีก”
หวังเฉิงยงพูดจารีบร้อนมาก ทำให้ซ่งจื่อเซวียนรู้สึกแปลกใจเล็กน้อย เขาพยักหน้า เดินแยกออกไป แต่หันกลับมามองเป็นระยะ เขารู้สึกว่าตาแก่คนนี้แปลกพิลึก
ทว่าสิ่งที่เขาแปลกใจคือ หวังเฉิงยงหันกลับมามองเขาหนึ่งที สองคนสบตากันในวินาทีนั้น แต่หวังเฉิงยงรีบหลบตาทันที
“อาจารย์ ตาแก่นั่นเป็นใคร พูดจาหยาบคายขนาดนั้น ตื่นเช้ามากินขี้หรือไง” ซางเทียนซั่วพูดด้วยความฉุนเฉียว เมื่อครู่ซ่งจื่อเซวียนเป็นคนห้ามไว้ ตอนนี้เขากำลังอดกลั้นความโมโหอยู่
“นับว่าเป็นผู้อาวุโสคนหนึ่งแล้วกัน ไม่ใช่แค่เข้าใจเรื่องของโบราณ ยังเข้าใจเรื่องอาหาร ไม่ธรรมดา”
“เก่งขนาดนั้นเชียว เข้าใจจริงๆ หรือเข้าใจหลอกๆ ล่ะ ดูเขาแต่งตัวไม่เหมือนเลย เหมือนปู่สี่ของกู่เสี่ยวเป่ามากกว่า” ซางเทียนซั่วสบถพูดหนึ่งประโยค
ซ่งจื่อเซวียนกลั้นขำไม่อยู่ “อย่าพูดซี้ซั้ว ยังไงเขาก็เป็นผู้ใหญ่ ถ้าลงไม้ลงมือไปนายก็คือคนผิด”
ขณะพูด ซ่งจื่อเซวียนหันกลับไปมองอีกครั้ง หวังเฉิงยงกำลังยืนอยู่หน้าร้านแห่งหนึ่ง มองซ้ายแลขวาแล้วจึงเดินเข้าไป รู้สึกเหมือนทำตัวลับๆ ล่อๆ
“อาจารย์เห็นตาแก่นั่นไหม เข้าไปในร้านเหมือนหัวขโมย ผมเดาว่าเขาต้องทำเรื่องไม่ดีแน่นอน”
“หืม ที่นี่ทำเรื่องไม่ดีได้ด้วยเหรอ”
“เฮ้ย อาจารย์ไม่รู้ซะแล้ว บางสถานที่ เปิดหน้าร้านทำเป็นขายของปกติ แต่จริงๆ แล้วขายบริการทางเพศอยู่ข้างใน ผมว่าตาแก่คนนี้เป็นพวกตาแก่ลามก”
พรูด…ซ่งจื่อเซวียนแอบขำจินตนาการของซางเทียนซั่ว
“นายท่านรอง คุณดูโทรศัพท์เครื่องนี้สิ แค่หนึ่งพันกว่าหยวน คล้ายๆ กับของผม” ฟางรุ่ยไม่ได้สนใจบทสนทนาของคนทั้งสอง เขาช่วยซ่งจื่อเซวียนเลือกโทรศัพท์อย่างตั้งใจ
“นายจะไปเข้าใจอะไร โง่หรือเปล่า นั่นมันของก๊อป ซื้อไปสองสามวันก็พังแล้ว!” ซางเทียนซั่วกล่าว
ซ่งจื่อเซวียนกลับไม่สนใจคำพูดของทั้งสองคน ด้วยความอยากรู้อยากเห็น เขาก้าวเดินไปยังร้านที่หวังเฉิงยงเข้าไป
ซางเทียนซั่วกับฟางรุ่ยเห็นดังนั้น จึงไม่เถียงกันอีก แล้วเดินตามไป
ซ่งจื่อเซวียนหยุดเดินตรงที่ห่างจากร้านนั้นระยะหนึ่ง ป้ายร้านนั้นมีชื่อว่า ‘ร้านชาชิงหยวน’ เป็นร้านขายใบชาในตลาดอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ คงจะมีเพียงร้านนี้ร้านเดียว
การตกแต่งภายในร้านถือว่าเรียบหรู การจัดวางสิ่งของถึงแม้จะไม่เยอะ แต่พื้นที่ก็มีไม่มาก ถือว่าใช้พื้นที่ได้อย่างคุ้มค่า
โต๊ะเก้าอี้เลียนแบบยุคโบราณ แจกันกระเบื้องเคลือบจัดวางได้พอเหมาะพอดี โดยเฉพาะลิ้นชักใบชาที่อยู่ข้างหลังเถ้าแก่ถูกเช็ดเป็นเงาแวบ สะอาดเป็นอย่างมาก
ตอนนี้ หวังเฉิงยงกำลังก้มหน้ามองใบชาแต่ละชนิด และพูดกับเถ้าแก่เป็นบางครั้ง แต่เพราะแบบนี้ สายตาของซ่งจื่อเซวียนจึงมองไปที่แจกันดอกไม้บนโต๊ะพอดี
แจกันดอกไม้ใบนั้นทำจากกระเบื้องเคลือบอย่างเห็นได้ชัด ลวดลายบนนั้นสีขาวดำแบ่งกันชัดเจน ถึงแม้มองไกลๆ จะไม่ค่อยโดดเด่น แต่ลำพังแค่ความงามของแจกันใบนั้น ซ่งจื่อเซวียนก็มั่นใจทันทีว่าเป็นของเก่า!
ในแวดวงของโบราณสิ่งที่เรียกว่าของเก่า ย่อมหมายถึงของแท้ ส่วนของใหม่นั้นก็คืองานศิลปะหรืองานลอกเลียนแบบยุคใหม่ แน่นอนว่า ของที่เลียนแบบของเก่าก็มีอยู่เยอะแยะมากมาย อย่างเช่นพวกราชวงศ์หมิงเลียนแบบราชวงศ์ซ่ง ราชวงศ์ชิงเลียนแบบราชวงศ์หมิง ถึงแม้จะเป็นของเลียนแบบ แต่เนื่องจากให้ความรู้สึกถึงของเก่า จึงถูกมองว่าเป็นของเก่าเช่นกัน
และเครื่องลายครามนี้สำหรับซ่งจื่อเซวียนแล้ว โดยทั่วไปมองปราดเดียวก็รู้ เขาจึงหัวเราะขึ้นมา ไม่แปลกใจเลยที่หวังเฉิงยงรีบแยกตัวจากตัวเองเหลือเกิน ที่แท้ก็เจอของเก่าแถวตลาดอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์นั่นเอง
เมื่อมองหวังเฉิงยงอีกที ซ่งจื่อเซวียนแทบจะขำออกมา หากมองผิวเผินตาแก่คนนี้เหมือนกำลังดูใบชา แต่แท้จริงแล้วกำลังเหลือบตามองเครื่องลายครามใบนั้น อายุปูนนี้แล้วยังแสร้งทำเหมือนไม่มีอะไร น่ารักอยู่บ้างจริงๆ
คราวที่แล้วตอนที่อยู่ตลาดโบราณ หวังเฉิงยงรู้ว่าซ่งจื่อเซวียนเป็นคนในวงการ ตอนนี้กำลังจะได้ของแต่เจอซ่งจื่อเซวียนเสียก่อน แน่นอนว่าจึงต้องหลบก่อนเป็นธรรมดา ไม่มีใครจะคว้าโอกาสไว้ต่อหน้าเพื่อนร่วมวงการหรอก
นึกถึงตรงนี้ ซ่งจื่อเซวียนจึงบอกให้ฟางรุ่ยกับซางเทียนซั่วรออยู่ข้างนอก ส่วนตัวเองเดินเข้าไปในร้านด้วยความดีใจ
“สวัสดีครับ ดูใบชาใช่ไหมครับ” เถ้าแก่ทักทายอย่างกระตือรือร้น
“ขอลองดูไปเรื่อยๆ ก่อนครับ!” ซ่งจื่อเซวียนยิ้มพลางเดินเข้าไป
เมื่อได้ยินเสียงของซ่งจื่อเซวียน หวังเฉิงยงรู้สึกว่าตัวเองขนลุกขึ้นมา ไม่ใช่ขยะแขยง แต่เป็นหวาดกลัว และรู้สึกว่าทำไมถึงสลัดไอ้หมอนี่ออกยากจริง
ซ่งจื่อเซวียนเท้าแขนที่เคาน์เตอร์ทันที “เถ้าแก่ ใบชาของคุณมีเยอะเลยนะครับ”
เห็นหวังเฉิงยงไม่พูดอะไร ซ่งจื่อเซวียนจึงรู้ว่าอีกฝ่ายไม่อยากให้เถ้าแก่รู้ว่าพวกเขารู้จักกัน ตนจึงพูดเสียงดังไปเสียเลย
หวังเฉิงยงตกใจ เหลือบตามองทางซ้ายหนึ่งที “คุณเสียงเบาหน่อย ผมกำลังดูใบชาอยู่นะ ร้านนี้เงียบอยู่ดีๆ คุณเสียงดังแบบนี้ใครจะทนไหว”
“เหอะๆ ผมก็ดูใบชาเหมือนกันครับ ถ้าคุณเหนื่อยแล้วก็หลีกทางหน่อยครับ ผมจะดูใบชาทางนี้”
ซ่งจื่อเซวียนพูดแล้วเบียดหวังเฉิงยงออกไป ก่อนจะยืนตรงตำแหน่งเมื่อครู่ของเขาแทน แจกันลายครามสีดำใบนั้นก็อยู่ข้างมือของตัวเองพอดี
อย่างไรก็เป็นคนในวงการเหมือนกัน หวังเฉิงยงรู้จุดประสงค์ที่ไอ้หนูคนนี้มาทันที พุ่งมาหาแจกันดอกไม้ชัดๆ
พอนึกได้หวังเฉิงยงก็แอบเสียใจ พลางคิดในใจว่า ‘เมื่อกี้รีบร้อนเกินไป น่าจะรอให้ไอ้หมอนี่เดินไปก่อนแล้วค่อยว่ากัน ไอ้หมอนี่ฉลาดเป็นกรด วันนี้ทำเสียเรื่องแน่นอน…’
หวังเฉิงยงขมวดคิ้วเล็กน้อยอยู่สองสามวินาที จากนั้นรีบเดินไปข้างหน้าเบียดซ่งจื่อเซวียนออกไป “คุณไม่รู้เหรอว่าใครมาก่อนได้ก่อน ผมมายืนตรงนี้ก่อน”
ซ่งจื่อเซวียนได้ยินแล้วจึงหัวเราะ “ฮิๆ คุณตลกจังนะครับ มาซื้อใบชายังต้องแยกว่ายืนตรงไหนด้วยเหรอ”
คำถามนี้ทำเอาหวังเฉิงยงอึ้งไป เขาอาศัยจังหวะตอนที่เถ้าแก่หันไปเทใบชา พูดเสียงต่ำว่า “ไอ้หนู ฉันรู้นะว่านายมาทำไม”
“ฮิๆ คุณมาทำไมผมก็รู้!” ซ่งจื่อเซวียนพูดยิ้มๆ
“นายเบาเสียงหน่อย” หวังเฉิงยงมองเถ้าแก่ครู่หนึ่ง “ไม่ต้องพูดไร้สาระ แจกันนี่ฉันเห็นก่อน”
“ถ้างั้นผมก็ไม่สน ของดีใครได้ก็เป็นของคนนั้น” ขณะพูด ซ่งจื่อเซวียนมองเครื่องเคลือบลายครามนั้นอีกครั้ง แววตาแทบจะพุ่งแสงสีเขียวออกมา “ไม่อย่างนั้นใครก็อย่าได้ไป”
“อ้าวไอ้หนูนี่ นายคิดจะสู้กับฉันเหรอ นายรู้เหรอถึงจะเอาไป”
“ทำไมจะไม่รู้ล่ะครับ แจกันเคลือบสีดำสองสี เป็นของสมัยราชวงศ์ซ่งใต้ และมาจากเตาของราชสำนัก” ซ่งจื่อเซวียนกล่าว
หวังเฉิงยงได้ยินแล้วจึงหัวเราะ “นายอย่ามาหลอกคนรุ่นหลัง สายตาดีที่ไหน นี่มันของยุคราชวงศ์ถัง!”
ซ่งจื่อเซวียนกลอกตาหนึ่งที “ไม่ว่าจะเป็นยุคไหน ของชิ้นนี้พวกเราก็ต้องแข่งกันด้วยความยุติธรรม ของชิ้นนี้ไม่ใช่ว่าใครมาก่อนได้ก่อน”
“แข่งขันกันอย่างยุติธรรมงั้นเหรอ นายบ้าหรือเปล่า โอ้ ถ้างั้นพวกเราบอกเถ้าแก่ว่าแจกันใบนี้เป็นของเก่า ขอพวกเราเสนอราคากันอย่างเป็นธรรมได้ไหมงี้เหรอ…สมองนายมีปัญหาใช่ไหม ถึงจะมาทำลายกฎนี้น่ะ!”
ซ่งจื่อเซวียนกลอกตา แสร้งทำเป็นไม่สนใจ เห็นได้ชัดว่าไม่คิดจะหลีกทาง
“นาย…ไอ้เด็กคนนี้หน้าด้านใช่ไหม ได้ วันนี้ถือว่าฉันซวย ให้นายห้าร้อยหยวน นายรีบไปเลย”
หวังเฉิงยงพูดพลางควักเงินห้าร้อยหยวนออกมายื่นให้ซ่งจื่อเซวียน
“ให้เงินห้าร้อยหยวนแบบไม่มีเหตุผลงั้นเหรอ เรื่องดีแบบนี้ก็มีด้วย โอเคงั้นให้อีกสองเท่า ผมให้คุณหนึ่งพันหยวน คุณออกไป!”
ซ่งจื่อเซวียนควักเงินหนึ่งพันหยวนยื่นให้หวังเฉิงยง
เวลานี้ เจ้าของร้านเทใบชาเสร็จแล้วจึงหันกลับมา มองด้วยความงุนงง ช่วงที่ตัวเองเทใบชาสองคนนี้กลับตกลงซื้อขายกันเองเหรอ
“ไอ้หยาลูกค้าทั้งสองท่านทำอะไรกันครับ ไม่ซื้อใบชาของผม แต่แอบตกลงซื้อขายกันเองเหรอ” เจ้าของร้านแซวอย่างตลก
หวังเฉิงยงเห็นดังนั้นจึงขึงตาใส่ซ่งจื่อเซวียนหนึ่งที พูดเสียงต่ำ “ได้ ไอ้หนูแกมันร้ายมาก!”
พูดจบ เขาก็แย่งเงินหนึ่งพันหยวนจากในมือของซ่งจื่อเซวียนแล้วออกจากร้านชาไป วงการนี้ก็เป็นเช่นนี้ ไม่ว่าใครทำให้เจ้าของสินค้ารู้ว่าของชิ้นนี้เป็นของเก่าถือว่าทำผิดกฎ และยังเสียชื่อเสียง วันนี้เจอซ่งจื่อเซวียนตัวดี หวังเฉิงยงจึงทำอะไรไม่ได้
อย่างไรเขาก็มองออกว่าไอ้เด็กคนนี้ไม่ยอมถอยแน่นอน เสียเวลาต่อไปก็ไม่มีประโยชน์ จึงหยิบเงินหนึ่งพันหยวนมา ไม่เสียเวลากับเขาอีกแล้วเดินออกไป
ซ่งจื่อเซวียนเห็นดังนั้นจึงหัวเราะเล็กน้อย รู้สึกสบายใจเป็นอย่างยิ่ง เขาหันไปพูดว่า “เถ้าแก่ ใบชานี้ แล้วก็อันนี้ เท่าไรครับ”
“อันนี้สามพัน อันนี้หกร้อย คุณลองชิมได้นะครับ”
“ได้ครับ คุณช่วยชงให้ผมชิมหน่อยนะครับ” ซ่งจื่อเซวียนพูด แสร้งทำเป็นมองไปที่แจกันลายครามอย่างไม่ตั้งใจ “เอ๊ะเถ้าแก่ แจกันดอกไม้อันนี้ทำไมถึงไม่มีดอกไม้ล่ะครับ”
………………………………………..
[1] เหล่าซาในที่นี้คือซัวเจ๋ง อีกตัวละครในเรื่องไซอิ๋ว