เส้นทางเศรษฐีของ(ว่าที่)เชฟเหรียญทอง - ตอนที่ 96 อาจารย์ลูกศิษย์ทั้งสามคน
ตอนที่ 96 อาจารย์ลูกศิษย์ทั้งสามคน
เมื่อได้ยินว่าเคอซานโทรมา ซ่งจื่อเซวียนก็กลัดกลุ้มใจ จะว่าไปแล้วเคอซานกับเฉิงปาเป็นปรปักษ์กัน แต่วันนี้ทำไมถึงเป็นฝ่ายโทรมาหาล่ะ
เสี่ยเฉิงปาเผลอกวาดตามองฟางรุ่ยหนึ่งที พลางเอ่ยว่า “น้องชาย แกคิดว่ารับสายหรือไม่รับดี ถ้าพูดต่อหน้าเขา…”
เขาที่เสี่ยเฉิงปาพูดย่อมหมายถึงฟางรุ่ย ฟางรุ่ยได้ยินดังนั้นก็กระอักกระอ่วนเล็กน้อย อยากจะลงรถเพื่อหลบไปก่อน แต่ซ่งจื่อเซวียนกลับแอบดึงชายเสื้อของเขาไว้ก่อนเอ่ยว่า “ไม่เป็นไรครับ เสี่ยปา คุณรับได้เลย”
เสี่ยเฉิงปาได้ยินดังนั้นจึงพยักหน้า แล้วกดปุ่มรับสายพร้อมกับกดเปิดลำโพง
“เสี่ยซาน เหอะๆ หายากจริงที่คุณจะโทรหาผมน่ะ” เฉิงปาพูด
“ฮ่าๆๆ เสี่ยปาคุณเกรงใจไปแล้ว คุณอายุมากกว่าผมสองสามปี ผมเป็นฝ่ายโทรหาคุณก่อนก็สมควรแล้ว”
“เสี่ยซาน ปกติคุณงานยุ่งมากนี่ ไม่น่าจะมีเวลาว่างมาคุยเล่นกับผมหรอกใช่ไหม” เฉิงปายักไหล่พูดยิ้มๆ
เคอหงเทานิ่งไปพักหนึ่ง เอ่ยว่า “เสี่ยปา ผมได้ยินมาว่า…ตอนนี้คุณสนิทกับซ่งจื่อเซวียนมากเลยใช่ไหม”
เมื่อได้ยินประโยคนี้ เสี่ยเฉิงปาเงยหน้ามองซ่งจื่อเซวียนหนึ่งที แต่ซ่งจื่อเซวียนกลับนิ่ง ยิ้มบางๆ เพื่อสื่อให้เสี่ยปาพูดต่อ
“ก็สนิทพอตัวอยู่ ทำไมเหรอ หรือว่าเสี่ยซานคิดจะสนใจด้วย” เสี่ยเฉิงปาพูดอย่างไม่ค่อยพอใจ
“ฮ่าๆๆ เสี่ยปาก็คือเสี่ยปา ตรงไปตรงมา แต่นิสัยแบบนี้เหมาะที่จะคบเป็นสหายมาก เสี่ยปา วันนี้คุณว่างไหม พวกเราพี่น้องเจอหน้ากันหน่อยเป็นไง”
ประโยคนี้ของเคอหงเทาทำให้เสี่ยปาตกตะลึง เจอหน้ากัน แปลกมาก ครั้งที่แล้วที่หอหงเยวี่ยถือว่าจากกันโดยไม่สู้ดีนัก ถึงขนาดลงไม้ลงมือกัน ผ่านไปยังไม่นานแต่อยากนัดเจออีก…
ซ่งจื่อเซวียนพยักหน้า เสี่ยปาจึงตอบไปว่า “ได้เลย ในเมื่อเสี่ยซานอยากนัดพบ เสี่ยปาจะไม่ไปได้ยังไง พูดมาเลยเจอที่ไหน”
“ถ้าเป็นเขตเมืองตะวันตกเสี่ยปาต้องไม่สบายใจแน่นอน เอาแบบนี้ ผมจะไปหาคุณเอง หาร้านสักที่เป็นไง”
เสี่ยเฉิงปาครุ่นคิดก่อนจะหัวเราะพูดเบาๆ “ได้เลย ผมมีร้านอาหารแห่งหนึ่งช่วงถนนหมายเลขสิบเจ็ด เสี่ยซานไปที่นั่นตอนเย็นก็แล้วกัน”
“ได้เลย ตอนเย็นหกโมงครึ่ง พวกเราไม่เจอไม่เลิกรา”
พอวางสาย เสี่ยเฉิงปาก็สงสัยไม่หยุด เอ่ยว่า “เคอซานคนนี้เป็นอะไร ไม่น่าเชื่อว่าจะนัดฉันกินข้าว”
“เหอะๆ เสี่ยปาคอยสังเกตการณ์ก็พอ ถ้าผมเดาไม่ผิด…เย็นนี้เคอซานน่าจะสอนบทเรียนให้คุณ!”
“สอนบทเรียนงั้นเหรอ”
ซ่งจื่อเซวียนยิ้มแต่ไม่พูด เสี่ยเฉิงปากลับงุนงงไปหมดแล้ว
ในไม่ช้า รถก็มาจอดที่ร้านอาหารบนถนนเฉิงหลิน เมื่อเทียบกับร้านหม้อไฟสองชั้นก่อนหน้านี้ การตกแต่งได้ผลดีไม่น้อย พอปรับปรุงใหม่แล้วก็เหมือนอีกร้านหนึ่งไปเลย
ซ่งจื่อเซวียนเงยหน้ามองป้ายร้าน เอ่ยยิ้มๆ “ร้านอาหารร่ำรวย จริงๆ ตอนนี้พอฟังแล้ว…ก็ไม่เลวเหมือนกัน”
ซางเทียนซั่วก็ดีใจ เอ่ยว่า “อาจารย์ไม่มีทางอื่นแล้ว ไม่งั้นจะทำยังไงล่ะ”
ซ่งจื่อเซวียนกลอกตาใส่เขาหนึ่งที แล้วจึงเดินเข้าไปข้างใน แต่ยังไม่ทันเดินเข้าไปก็ได้ยินเสี่ยปาพูดว่า “แกเข้าไปไม่ได้!”
ซ่งจื่อเซวียนหันมามองหนึ่งที เสี่ยเฉิงปาขมวดคิ้วมองไปที่ฟางรุ่ย เห็นได้ชัดว่าในสายตาของเขา ฟางรุ่ยเป็นคนของเคอหงเทา จะปล่อยให้อีกฝ่ายเข้าไปในร้านของตัวเอง…เขาไม่ไว้ใจ
“เสี่ยปา นี่หมายความว่ายังไง” ซ่งจื่อเซวียนถาม
“น้องชาย ฉันพูดตรงๆ ฉันไม่รู้ว่าแกเป็นเพื่อนกับเขาได้ยังไง แต่ฉันไม่เชื่อใจเขา พวกเรามาตกลงกัน เย็นนี้หลังจากฉันไปเจอเคอซานแล้ว เขาจะเข้ามายังไงฉันก็จะไม่สน ตกลงไหม”
ซ่งจื่อเซวียนพยักหน้า ความจริงที่เสี่ยเฉิงปาพูดก็มีเหตุผล ไม่ว่าเป็นใครก็ต้องระวังคนประเภทนี้อยู่แล้ว
“ก็ได้ครับ รุ่ยจื่อ ถ้างั้นนายรออยู่ข้างนอกสักพักหนึ่งแล้วกัน”
“ครับ นายท่านรอง!”
“นายท่านรองงั้นเหรอ” เสี่ยเฉิงปาแปลกใจ “น้องชาย ทำไมเขาเรียกแกว่านายท่านรองล่ะ”
ซ่งจื่อเซวียนเอ่ยยิ้มๆ “เสี่ยปา ผมอยู่ในบ้านเป็นลูกรอง และเทียนซั่วก็จะให้เขาเรียกผมแบบนี้ให้ได้…”
“อ้อ ที่แท้ก็เป็นแบบนี้นี่เอง ถูกต้องแล้ว ในวงการนี้การเรียกใครเป็นเสี่ยหรือนายท่านมีวิธีการพูดอยู่สามอย่าง อย่างแรกเรียกตามนามสกุล อย่างที่สองเรียกตามลำดับอาวุโส อย่างที่สามเรียกตามลำดับในครอบครัว เพราะงั้นเรียกแบบนี้ก็ได้อยู่ เปียวจื่อ เหลยจื่อ ต่อไปเรียกนายท่านรองได้ยินไหม!”
“ครับ เสี่ยปา!”
ซ่งจื่อเซวียนยิ้มอย่างจนใจ แล้วจึงเดินเข้าไปในร้าน
แต่เมื่อเห็นการตกแต่งภายในร้าน ซ่งจื่อเซวียนก็ตกตะลึงจริงๆ คิดไม่ถึงว่าเสี่ยปาจะตกแต่งเหมือนหอหงเยวี่ย รายละเอียดการตกแต่งทุกจุดถึงแม้ไม่สามารถเหมือนหอหงเยวี่ยทุกประการ แต่สไตล์กลับคล้ายกันเป็นอย่างมาก
“เสี่ยปา ที่นี่…”
“ฮ่าๆๆ น้องชาย รู้สึกคุ้นมากใช่ไหม”
“ครับ หอหงเยวี่ย!”
“ตาแหลมมาก ฉันตกแต่งตามหอหงเยวี่ย แต่ระยะแรกพวกเรามีงบจำกัด ฉันเลยเลือกใช้วัสดุตกแต่งราคาถูกที่สุดแต่ได้ผลลัพธ์เหมือนกัน!” เสี่ยเฉิงปาเอ่ยยิ้มๆ
“เสี่ยปา แบบนี้เข้ากันมากแล้วครับ เหมือนสุดๆ”
ซ่งจื่อเซวียนคิดไม่ถึงว่า เสี่ยเฉิงปาคนหยาบกร้านจะมีความละเอียดอยู่ในตัว สามารถใช้วัสดุราคาย่อมเยาตกแต่งออกมาได้เช่นนี้ เขารีบเดินขึ้นบันไดทันที ตอนที่เดินเหยียบตัวบันไดก็ไม่ได้สั่นคลอนเหมือนก่อนหน้านั้นแล้ว เวลาเดินจึงมั่นคงมากขึ้น
และตัวบันไดก็ทาสีเคลือบโบราณไว้ ดูแล้วสะอาดมากขึ้น ณ จุดนี้จะเห็นถึงความใส่ใจของเสี่ยปา
โถงทางเดินชั้นสองตกแต่งอย่างเรียบง่าย มีราวบันไดข้างหนึ่ง สามารถมองเห็นชั้นหนึ่งได้ ส่วนอีกด้านหนึ่งเป็นกำแพงสีขาวเรียบๆ เรียบง่ายแต่หรูหรา
เมื่อเดินเข้าไปในห้องส่วนตัว ซ่งจื่อเซวียนอดลอบสำรวจไม่ได้ ถึงแม้จะเรียบง่าย แต่ก็ไม่ล้าสมัย โดยเฉพาะยังปลูกต้นไม้ใส่กระถางราคาถูกที่มุมกำแพงไว้ด้วย ทำให้บรรยากาศยิ่งหรูหรามากขึ้น
“โอเคไหมน้องชาย ฉันรู้สึกว่าช่วงแรกพวกเราตกแต่งแบบนี้ไปก่อน ต่อไปพอมีเงินแล้ว พี่ชายจะตกแต่งให้แกหรูๆ หน่อย” เสี่ยเฉิงปากล่าว
ซ่งจื่อเซวียนส่ายหน้าหัวเราะ “เสี่ยปา พื้นฐานแบบนี้ก็ถือว่าดีสุดๆ แล้ว ไม่ต้องตกแต่งเพิ่มแล้วครับ ผมรู้สึกว่าจะเปิดร้านตอนไหนก็ได้ คุณเตรียมติดต่อพนักงานของร้านาได้เลยครับ ขอแค่เปิดร้าน ผมก็มาได้ตลอดเวลา”
“โอเค รอคำนี้ของแกเท่านั้นแหละ ไป พวกเราไปจิบน้ำชากัน มีคนเอาชาเตียนหงมาให้ฉันเมื่อสองสามวันก่อน แกลองชิมดู” เสี่ยเฉิงปาพูดด้วยความดีใจ อย่างไรเขารู้ว่าซ่งจื่อเซวียนเป็นคนมีรสนิยมอยู่บ้าง ส่วนเขาเป็นคนบ้านๆ ดังนั้นถึงแม้ครั้งนี้จะเลือกการตกแต่งในราคาถูก แต่เขาจัดวางอย่างตั้งใจ พอได้รับคำชมจากซ่งจื่อเซวียน เขาจึงดีใจเป็นธรรมดา
พวกเขาลงมาถึงชั้นล่าง เสี่ยปาเรียกจางเปียวให้ยกน้ำชาเตียนหงมาหนึ่งกา เอ่ยว่า “น้องชาย แกรู้ดีกว่าฉัน ลองชิมดูว่าเป็นยังไงบ้าง”
ซ่งจื่อเซวียนพยักหน้า ยกถ้วยน้ำชาขึ้นมาจิบหนึ่งคำ ก่อนจะพูดยิ้มๆ “เสี่ยปา ชานี้ไม่เลวเลย น่าจะครึ่งกิโลกรัมห้าร้อยหยวน”
“หา? แม่ง โหวเลี่ยงไอ้ชาติหมา เอาชาถูกมาหลอกขายฉัน เหลยจื่อ โทรไปหาเขา บอกเขาว่าไม่ต้องตกแต่งแล้ว เปิดร้านแถวร้านของฉัน อยากตายหรือไง!”
ซ่งจื่อเซวียนฟังแล้วจึงเข้าใจทันที คนที่ชื่อโหวเลี่ยงคนนั้นอยากจะมาเปิดร้านแถวร้านอาหารของเสี่ยปา จึงเอาใบชามาให้เพื่อขอทางผ่าน ใครจะรู้ว่าเสี่ยปาดูถูกครึ่งกิโลกรัมห้าร้อยหยวนนี้ ยิ่งทำผลกลับยิ่งแย่
“เสี่ยปา ใบชาครึ่งกิโลกรัมห้าร้อยหยวนนี้ก็โอเคอยู่ คนทั่วไปดื่มน้ำชาแค่สิบกว่าหยวนไม่งั้นก็หนึ่งร้อยสองร้อยหยวนเท่านั้น ผมคิดว่าเถ้าแก่โหวก็ไม่มีเงินเหมือนกัน ทำไมต้องไปทำให้เขาลำบากใจด้วยล่ะ”
เสี่ยปาได้ยินดังนั้นก็ลองครุ่นคิด “ก็จริงนะ ถ้างั้นเอาแบบนี้แล้วกัน เหลยจื่อ บอกเขาว่าเอาทุนคืนให้ได้ในครึ่งปีแรก และอีกหกเดือนให้หลังฉันจะคิดส่วนแบ่งยี่สิบเปอร์เซ็นต์”
“เข้าใจแล้วครับเสี่ยปา!”
จางเปียวที่อยู่ข้างๆ แอบชูนิ้วโป้งขึ้นมา นายท่านซ่งก็คือนายท่านซ่ง พูดจาดีและยังมีมารยาทอีก น่าเลื่อมใสจริงๆ!
ซ่งจื่อเซวียนก็สังเกตเห็นสีหน้าชื่นชมของจางเปียวเช่นกัน ครั้งนี้ เขาถือว่าได้ใจของจางเปียวมาแล้วแน่นอน…
“อ้อใช่น้องชาย ไอ้หมอนั่นแกก็ต้องระวังหน่อย ตอนนี้เคอซานรู้ว่าแกกับฉันสนิทกันมาก ฉันเองก็ประกาศไปแล้วว่าจะปกป้องแก แต่เขายังไม่รู้เรื่องร้านนี้ ไอ้หมอนั่นมันจะ…”
ซ่งจื่อเซวียนเข้าใจความหมายของเสี่ยปา เป็นเถ้าแก่ของร้านอาหารนี้ ถ้าหากไม่มีใครรู้ก็จะสามารถเติบโตได้อย่างราบรื่น แต่ถ้ามีคนรู้เรื่อง ว่าเฉิงปากับซ่งจื่อเซวียนเปิดร้านร่วมกัน เกรงว่าคนที่เข้ามาก่อกวนจะมีมากขึ้น
และด้วยกำลังของเสี่ยเฉิงปาก็ย่อมไม่มีใครเข้ามาก่อกวนทั้งๆ ที่รู้อยู่แล้ว ทว่าคนที่แอบก่อกวนลับหลังก็ยากที่จะพูด และสิ่งที่ร้านอาหารกลัวมากที่สุดก็คือเรื่องพวกนี้ มากินแล้วเจอแมลงสาบหรือเจอเส้นผม ชื่อเสียงของร้านก็จะเสียหายทันที
ซ่งจื่อเซวียนมองฟางรุ่ยที่ยังยืนอยู่นอกร้าน เอ่ยว่า “เสี่ยปา ผมคิดว่าไม่มีอะไรที่เชื่อไม่ได้ ผมซ่งจื่อเซวียนคนนี้เคยมองคนเคยพลาดเหรอ แต่เรื่องนี้เอาตามที่คุณพูด หลังจากคุณกับเคอซานกินข้าวเรียบร้อยแล้ว ผมจะให้เขาเข้ามาในร้าน”
เมื่อคำแนะนำไม่เป็นผล เสี่ยเฉิงปาจึงถอนหายใจด้วยความจนใจ “โอเค ในเมื่อน้องชายมั่นใจขนาดนี้ ฉันก็จะไม่พูดแล้ว อ้อใช่น้องชาย แกคิดว่า…ที่วันนี้เคอซานอยากให้บทเรียนกับฉัน มันหมายความว่ายังไง”
“เหอะๆ เสี่ยปาคุณไม่ต้องตื่นเต้นเกินไป เย็นนี้คุณออกมาเมื่อไรก็แจ้งผมด้วย ผมจะช่วยคุณวิเคราะห์ดีไหมครับ”ซ่งจื่อเซวียนยิ้ม พูดอย่างสบายใจ
“ได้ ถ้างั้นก็ตามนี้ ฉันเป็นคนถ่อย สู้แกไม่ได้ ต่อไปพวกเราร่วมมือกัน…แกออกความคิด ส่วนฉันมีลูกน้อง”
ซ่งจื่อเซวียนเพียงแค่ยิ้มไม่ได้พูดอะไร หากพูดเรื่องวัฒนธรรมเขาสู้เด็กมหาวิทยาลัยในยุคนี้ไม่ได้ แต่พูดถึงเรื่องลูกน้อง…ทุกวันนี้ ซ่งจื่อเซวียนก็ไม่คิดว่าจะทำอะไรก็ต้องอาศัยโลกใต้ดินไปทุกอย่าง
จากนั้น ซ่งจื่อเซวียนจึงกำชับเสี่ยเฉิงปาหนึ่งประโยคให้รีบจัดพนักงานเข้ามาในร้าน รีบเปิดร้านไวๆ แล้วจึงกลับไป
อย่างไรเขายังมีธุระอื่นต้องจัดการ หนึ่งคือซื้อโทรศัพท์แบบทัชสกรีน อีกอย่างคือซื้อยาจีน ตอนนี้จะลองทำน้ำแกงเกล็ดปลาทองห้าสาย ยาจีนเป็นวัตถุดิบที่จำเป็น
เมื่อออกจากร้านอาหารร่ำรวย ซ่งจื่อเซวียนไมได้ให้เสี่ยเฉิงปามาส่ง แต่เรียกรถแท็กซี่ไปตลาดตู้เหมินซึ่งเป็นย่านที่มีชื่อเสียงเรื่องสินค้าอิเล็กทรอนิกส์กับซางเทียนซั่วและฟางรุ่ย
บนถนนเส้นนี้ นอกจากห้างสรรพสินค้าใหญ่ หรือศูนย์รวมของอุปกรณ์คอมพิวเตอร์แล้ว ยังมีตลาดอีกมากมาย ล้วนขายอุปกรณ์อิล็กทรอนิกส์ทั้งสิ้น
เดิมทีระดับความคึกคักของที่นี่ไม่แพ้พวกห้างร้านและร้านขายเสื้อผ้าเท่าไร แต่เนื่องจากหลายปีที่ผ่านมาการค้าขายทางออนไลน์แพร่หลาย จึงทำให้ตลาดซบเซาลงอย่างชัดเจน
“นายท่านรอง เมื่อก่อนผมเคยได้ยินคนพูดว่า ตลาดทางนั้นถูกกว่า ของก็เหมือนกันแต่ถูกกว่าห้างสรรพสินค้าใหญ่หนึ่งพันกว่าเชียว พวกเราไปถูกทางนั้นเถอะ” ฟางรุ่ยกล่าว
“เดี๋ยวเหอะ แกไม่รู้เรื่องอะไร อย่าพูดมั่วซั่ว อุปกรณ์แถวนั้นอาจจะไม่ใช่ของแท้ มีของหนีภาษี บางอย่างก็เป็นของก๊อป เหมาะสมกับฐานะของอาจารย์พวกเราไหม” ซางเทียนซั่วขมวดคิ้วพูด
“แต่นายท่านรองอยากได้ของถูกไม่ใช่เหรอ…” ฟางรุ่ยพูดอย่างกระอักกระอ่วนเล็กน้อย
“แบบนั้นก็ไม่ได้ ผมออกเงินเอง ไปกันอาจารย์ ซื้อของใหม่เลย!” ซางเทียนซั่วกล่าว
ซ่งจื่อเซวียนครุ่นคิด แล้วจึงเอ่ยว่า “จริงๆ ก็ไม่จำเป็นนะ ฟังฟางรุ่ยก็ได้ ซื้อของถูกเถอะ แค่โทรศัพท์เครื่องเดียวใช้เงินเยอะแยะทำไม”
ซางเทียนซั่วหมดคำพูด เอ่ยว่า “อาจารย์ โทรศัพท์เครื่องเดียวไม่แพงหรอก ผมซื้อให้โอเคไหม”
“ฉันก็มีเงินทำไมต้องใช้ของนาย ไปกันเถอะ ไปตลาด”
ขณะพูด ซ่งจื่อเซวียนก็เดินไปทางตลาด แต่เดินไปได้สองสามก้าว ก็เห็นร่างเงาหนึ่งที่คุ้นเคย
ซ่งจื่อเซวียนยิ้ม รีบเดินไปตบไหล่คนคนนั้นทันที “ผู้อาวุโสหวัง!”
เมื่อคนคนนั้นได้ยินจึงหันมา “อ้าวนึกว่าใคร นายก็มาเหรอ ยังไงล่ะ มาซื้อของเหรอ”
“ใช่ครับ มาเลือกโทรศัพท์ บังเอิญจริงๆ ได้เจอคุณด้วย” ซ่งจื่อเซวียนกล่าว เขาเจอหวังเฉิงยงคนที่กินข้าวผัดจักรพรรดิแล้วไม่จ่ายเงินในตอนแรก
หวังเฉิงยงกำลังจะพูดอะไรบางอย่างต่อ แต่เห็นฟางรุ่ยกับซางเทียนซั่วอยู่ข้างหลังซ่งจื่อเซวียน เขาจึงพิจารณามองครู่หนึ่งก่อนเอ่ยว่า “นี่มันเกิดอะไรขึ้นเนี่ย ออกจากบ้านก็ต้องมีลูกน้องตามสองคนงั้นเหรอ ช่วงนี้นายรุ่งแล้วใช่ไหม”
“หา? พวกเขาเป็นเพื่อนของผมน่ะ” ซ่งจื่อเซวียนตอบ
หวังเฉิงยงอดไม่ได้ที่จะหัวเราะขึ้นมา “เพื่อนอะไรกัน อย่าให้พูดเลย พวกนายเดินด้วยกันเหมือนอาจารย์กับลูกศิษย์สามคนมากกว่า ขาดก็แต่ม้าหนึ่งตัว…”
…………………………………………….