เส้นทางเศรษฐีของ(ว่าที่)เชฟเหรียญทอง - ตอนที่ 95 เข้าข้าง
ตอนที่ 95 เข้าข้าง
หลังจากเสี่ยเจียงจากไปแล้ว หวงฟาก็หัวเราะเยาะและขยับคอส่งกรอบแกรบเล็กน้อย ขณะเดียวกันก็หมุนแหวนหยกบนนิ้วนาง
“เสี่ยหวง คุณจะไม่คำนึงถึงทั้งสองกลุ่มนี้จริงๆ เหรอครับ” คุณเถียนเอ่ยถาม
เมื่อได้ยิน หวงฟาหรี่ตาลงเล็กน้อย “เหวินคุ่ย นายติดตามฉันมาหลายปีแล้ว ทำไมนายถึงไม่เข้าใจฉันล่ะ”
คุณเถียนสับสนแล้วพูดว่า “เสี่ยชัดเจนดีครับ ในความคิดของผม คราวนี้…เป็นการเดิมพันจริงๆ แม้ว่าเราอาจชนะแล้วได้ชูธง แต่…ระดับความเสี่ยงไม่น้อยเลยนะครับ”
“เหอะๆ นายยังต้องฝึกฝนอีกนะ ไปเรียกเจ๊หงมาให้ฉัน”
เถียนเหวินคุ่ยชะงักอยู่ครู่หนึ่ง แต่ก็พยักหน้าน้อยๆ แล้วหันหลังเดินออกไป
ในไม่ช้า หลี่ม่านหงก็เดินเข้ามา เนื่องจากธุรกิจหลักของหอหงเยวี่ยคือช่วงกลางคืน อันที่จริงในช่วงกลางวัน ไม่ว่าจะเป็นเจ้าพ่อหรือผู้มีอำนาจทุกวงการล้วนแต่จะอยู่กับธุรกิจของตัวเอง ย่อมไม่เลือกสังสรรค์ในตอนกลางวัน ดังนั้นตอนนี้หลี่ม่านหงยังมีเวลาเพียงพอ
อีกทั้งเมื่อหลี่ม่านหงเดินเข้ามา เถียนเหวินคุ่ยก็ไม่ได้ตามเข้ามาด้วย ตามที่กล่าวกัน มีเจ้าพ่อแต่ละวงการในเมืองตู้เหมินที่อยากจับหลี่ม่านหงอยู่ไม่น้อย แต่ล้วนโดนหลี่ม่านหงรักษาระยะห่างอย่างชาญฉลาด มีเพียงเสี่ยหวงเท่านั้นที่เป็นข้อยกเว้น เสี่ยหวงเคยพูดจากปากตัวเองว่าเคยหลับนอนกับหลี่ม่านหง
แต่หลี่ม่านหงมีหน้ามีตาในเมืองตู้เหมินไม่น้อย กระทั่งมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับทางรัฐบาล จึงไม่มีใครกล้าเผยแพร่ข่าวนี้
เนื่องจากเป็นตอนกลางวัน หลี่ม่านหงจึงแต่งหน้าเบาๆ แต่งตัวเรียบง่าย ไม่มีชุดราตรีหรือกี่เพ้าทั้งนั้น มีเพียงชุดกีฬาสบายๆ คอเสื้อกว้างถึงหน้าอกเผยให้เห็นส่วนเว้าส่วนโค้งสีขาวนวลที่อัดแน่นอยู่ข้างใน ถึงเป็นอย่างนั้นก็ยังคงมีกิริยาท่าทางอันสูงส่ง
หลี่ม่านหงเดินเข้าไปในห้องส่วนตัว พูดด้วยรอยยิ้ม “เสี่ยหวง วันนี้เร็วจังเลยค่ะ คุยธุระกับเสี่ยเจียงเสร็จเร็วขนาดนี้เลยเหรอ”
“เหอะๆ ตาแก่ไม่เชื่อฟัง แค่ให้บทเรียนกับเขาสองประโยคก็ต้องเร็วอยู่แล้ว เธอยังไม่รู้จุดประสงค์หลักที่ฉันมาที่นี่อีกเหรอ” หวงฟากระหยิ่มยิ้มย่อง จากนั้นยืนขึ้นและเดินไปหาหลี่ม่านหง
“คุณน่ะ มีเรื่องให้จัดการทั้งวัน ไม่เห็นต้องมาหาฉันบ่อยๆ เลยค่ะ” หลี่ม่านหงตรงไปนั่งบนโซฟาเดี่ยวที่อยู่ด้านข้าง
หวงฟาโน้มตัวเข้าใกล้หลี่ม่านหง “แต่ฉันทนไม่ไหวน่ะสิ เธอรู้ไหม ในสายตาฉันไม่สนใจใครอื่นนอกจากเธอเลย ยัยปีศาจยั่วสวาท เธอทำให้ฉันหลงมาหลายปีแล้ว”
หลี่ม่านหงเหลือบมองหวงฟา อดไม่ได้ที่จะดยิ้ม “เสี่ยหวงอย่าพูดแบบนี้เลย หลี่ม่านหงรู้ดีว่าคุณเป็นใครในตู้เหมิน สาวน้อยอายุสิบยี่สิบปีที่อยู่ข้างคุณก็ทำให้คุณเพลิดเพลินได้ หญิงแก่วัยสี่สิบอย่างฉัน ไม่กล้าจะ…อ๊าย!”
หลี่ม่านหงยังพูดไม่จบก็ส่งเสียงออกมา หวงฟาเคลื่อนไหวเร็วมากและมาอยู่ตรงหน้าเธอแล้ว ตอนนี้ทั้งสองคนห่างกันประมาณสิบเซนติเมตร แต่ในระยะสิบเซนติเมตรนี้ หวงฟาก็ไม่ได้เข้าใกล้มากขึ้น
หลี่ม่านหงปรับตัวเล็กน้อย จากนั้นก็แหงนหน้ามองเข้าไปในดวงตาของหวงฟาแล้วกล่าว “เสี่ยคะ ฉันไม่ชอบที่คุณทำแบบนี้ มันเหมือนพวกอันธพาล”หวงฟาได้ยินก็กระตุกยิ้ม ค่อยๆ ออกห่างหลี่ม่านหง “เธอน่ะ ทำให้ฉันอยากได้แต่ไม่ได้ แต่ก็เพราะแบบนี้แหละ ฉันถึงหลงเธอมานานหลายปี มาเถอะ วันนี้เสี่ยจะทดสอบเธอ”
“หืม เหอะๆ เสี่ยอยากทดสอบฉันเหรอคะ ได้สิ พูดมาเลยค่ะ!” หลี่ม่านหงนั่งตัวตรงและยิ้มบางๆ ราศีที่แผ่ออกมาของเธอนั้น สาวน้อยอายุสิบยี่สิบปีก็เทียบไม่ได้
จากนั้น หวงฟาก็เล่าถึงบทสนทนาที่เขาเพิ่งคุยกับเสี่ยเจียงแล้วเอ่ยว่า “เธอก็รู้ความเห็นของเหวินคุ่ยแล้ว ฉันอยากฟังความเห็นของเธอบ้าง”
หลี่ม่านหงขมวดคิ้วเล็กน้อยและเม้มปากเล็กๆ ของเธอ ไม่ต้องพูดว่าท่าทางของเธอดูมีสง่าราศีแค่ไหน บนใบหน้าที่บำรุงดูแลทะนุถนอมอย่างดีนั้น ไม่มีแม้แต่ร่องรอยอายุเกินสี่สิบหรือสามสิบปี ราวกับเป็นหญิงสาวที่มีความคิดเป็นผู้ใหญ่เท่านั้น
เมื่อเห็นท่าทางของหลี่ม่านหงเช่นนี้ หวงฟาก็รู้สึกว่าเลือดในร่างกายสูบฉีดอย่างแรง เสี่ยหวงท่องในตู้เหมินมานานหลายปี มีคลื่นลมฝนลูกใหญ่ไหนที่ไม่เคยผ่านไปบ้างล่ะ? จัดการเรื่องราวต้องสงบนิ่งถือเป็นเรื่องปกติ แต่หลี่ม่านหงเพียงคนเดียวกลับสร้างความปั่นป่วนในทุกครั้งที่เจอ
“เสี่ยหวงคะ เห็นได้ชัดเลยว่าคุณพยายามเล่นลูกไม้หน้าด้านๆ” หลี่ม่านหงแสร้งทำเป็นเข้าใจขึ้นมาฉับพลัน
“หืม ยัยปีศาจยั่วสวาท ฉันจะเล่นลูกไม้ได้ยังไง” หวงฟาพูดพลางเผยสีหน้ารักเต็มเปี่ยม
หลี่ม่านหงเชิดหน้าขึ้นเล็กน้อยและพูดอย่างมั่นใจ “เสี่ยคะ คุณมุ่งมั่นที่จะเอาบันทึกหย่งซั่นมาหรือเปล่า”
“ฉันชอบที่เธอฉลาดแบบนี้ พูดต่อสิ” หวงฟาระบายยิ้ม
“คุณรู้ว่าต้าสือไต้ต้องเกี่ยวข้องกับจ้งอัน และ…นามบัตรนั่นก็เป็นของจริงเช่นกัน แต่กลับให้เสี่ยเจียงเข้าใจแบบนั้น ฉันคิดว่าไม่ว่าจะเป็นเสี่ยเจียงหรือเสี่ยซาน สิ่งที่พวกเขาต้องทำคือเอาบันทึกทึกหย่งซั่นมา หรือหาเบาะแสของบันทึกหย่งซั่นแล้วเอามามอบให้เสี่ยหวง”
หวงฟาดูเหมือนจะเพลิดเพลินกับความรู้สึกแบบนี้ เอ่ยพูดด้วยรอยยิ้ม “แล้วไงอีก”
“ยังมีอีกเหรอคะ งั้นก็การตอบโต้ของจ้งอันหรือจวิ้นเซิงกรุ๊ป ไม่ว่าพวกเขาจะเคลื่อนไหวยังไงก็ตาม ฉันเชื่อว่าเสี่ยจะมีวิธีตำหนิติเตียนเสี่ยเจียงและเสี่ยซานได้ทั้งนั้น ถ้านี่ไม่ใช่การเล่นลูกไม้แล้วจะเป็นอะไรคะ”
“ฮ่าๆๆ ยัยปีศาจยั่วสวาทตัวดี เธอคิดว่าแผนที่ฉันวางไว้อย่างรอบคอบทำไมถึงโดนเธอมองออกในแวบเดียวล่ะ เราไปมาหาสู่กันนานหลายปีขนาดนี้ เธอรู้จักฉันดี”
หวงฟาพูดพลางยื่นมือตรงมาจับมือหลี่ม่านหง หลี่ม่านหงคิดจะหลบ แต่อีกฝ่ายออกแรงเพิ่มอีกเล็กน้อยเธอก็หลุดพ้นไปไม่ได้แล้ว
“นี่ไม่เกี่ยวกับการที่รู้จักคุณดี ไม่ว่าในทางราชการหรือทางธุรกิจ ยอดฝีมือล้วนเป็นคนมีคุณธรรม เอารัดเอาเปรียบฉันก็ให้คนอื่นเสียเปรียบด้วยไงคะ”
เมื่อได้ยินดังนั้น หวงฟาออกแรงดึงเพียงครั้งเดียวหลี่ม่านหงก็เข้ามาในอ้อมแขนของตัวเอง ให้เธอนั่งบนตัก และได้กลิ่นหอมจางๆ ของจากตัวหลี่ม่านหง เป็นความสุขที่ไม่อาจบรรยายได้
“ทำไมเธอถึงฉลาดนักนะ ผู้หญิงที่ฉลาดขนาดนี้ทำไมถึงไม่ใช่ของฉันกันนะ”
หลี่ม่านหงรู้ว่าเธอหนีไปไหนไม่พ้น จึงฉีกยิ้มพร้อมกับเข้าใกล้หวงฟา หวงฟารู้สึกว่าตัวเองหายใจช้าลง ดูเหมือนจะเป็นครั้งแรกที่หลี่ม่านหงเริ่มเป็นฝ่ายรุกเข้าใกล้ตัวเองก่อน
“เสี่ยคะ ผู้หญิงที่ฉลาดน่ะ อันตรายที่สุดนะคุณรู้หรือเปล่า”
“อย่างเช่นแบบไหนล่ะ” ขณะที่หวงฟาพูด ใบหน้าของเขาก็เคลื่อนไปข้างหน้าอีกครั้ง
“เช่น…ฉันจะบอกพวกเขาค่ะ!” หลี่ม่านหงแสร้งทำเป็นออดอ้อน
“เธอน่ะเหรอ ไม่เอาน่า ถึงเธอจะไม่เข้าใกล้หวงฟาคนนี้ ก็ไม่มีวันเลือกไอ้สองคนนั้นหรอก ตำแหน่งพวกเขายังไม่ดีพอ”
หลี่ม่านหงเห็นหวงฟาผ่อนแรงก็ดันออกสุดกำลังแล้วยืนขึ้น “คุณดูสิ คนที่ฉลาดไม่ได้มีแค่ฉัน ยังมีเสี่ยอีกคน อันตรายกันทั้งคู่ ฉันไม่กล้าอยู่ต่อแล้วค่ะ เสี่ยนั่งอยู่ที่นี่นะคะ ฉันจะไปเตรียมมื้อกลางวันมาให้”
พูดจบ หลี่ม่านหงก็เดินออกจากไฉ่อวิ๋นเฟย
ขณะที่เธอเดินออกจากประตู หลี่ม่านหงก็มองไปด้านข้างและโบกมือ และพนักงานเสิร์ฟชายในชุดสูทก็วิ่งเข้ามา
“เจ๊หง” พนักงานเสิร์ฟพูดด้วยความเคารพ
“อืม ไปที่ห้องกล้องวงจรปิด ให้พวกเขาส่งวิดีโอครึ่งชั่วโมงแรกในห้องไฉ่อวิ๋นเฟยไปที่คอมพิวเตอร์ของฉัน”
“ครับผม!”
หลี่ม่านหงหันกลับไปมองที่ประตูของไฉ่อวิ๋นเฟย กลอกตามองบนด้วยความรังเกียจแล้วจากไปทันที
……….
เมื่อออกจากหอหงเยวี่ย เสี่ยเจียงก็ตรงไปขึ้นรถของตัวเอง เขานั่งอยู่ที่เบาะหลัง โน้มตัวไปพิงเบาะอย่างแรงแล้วสูดลมหายใจเข้าลึกๆ
หานเต๋อหมิงตรงที่นั่งคนขับหันกลับไปมอง “เสี่ยครับ เสี่ยหวงได้กดดันหรือเปล่าครับ”
เสี่ยเจียงพยักหน้าช้าๆ “ใช่ เขาบอกว่านามบัตรนั่นเป็นของปลอม แล้วเอานามบัตรจริงของจวิ้นเซิงกรุ๊ปให้ฉันดู แล้วยังบอกอีกว่าต้าสือไต้เป็นธุรกิจของคนในจ้งอันเฉยๆ ไม่ใช่ธุรกิจของบริษัท แล้วให้ฉันหาเบาะแสเกี่ยวกับบันทึกหย่งซั่นต่อไป”
หานเต๋อหมิงได้ยินก็เงียบไปครู่หนึ่ง เขาดันแว่นตาขึ้นแล้วถาม “เสี่ยคิดว่ายังไงครับ”
“อย่าอ้อมค้อมกับฉัน บอกความเห็นของนายมา” เสี่ยเจียงพูดด้วยความใจร้อน
“วันนั้นผมจ่ายบิลแทนซ่งจื่อเซวียนไปสองครั้ง แต่ท่าทางของเขาเย็นชามากราวกับว่าสองแสนนั้นไม่อยู่ในสายตาของเขาเลย แค่ดูจากจุดนี้ ผมคิดว่าแม้แต่คนอย่างเสี่ยเคอซานก็ทำไม่สำเร็จหรอกครับ”
“พูดได้ดี อย่าหยุด พูดต่อเลย” เสี่ยเจียงกล่าว
“เพราะงั้นผมเลยคิดว่าชายหนุ่มซ่งจื่อเซวียนคนนี้ไม่ธรรมดาจริงๆ และคนที่ไปตามหาเขาในวันนั้น ผู้ชายกับผู้หญิงที่ให้นามบัตรผมมา ดูจากลักษณะท่าทางแล้วก็ไม่ธรรมดาเหมือนกัน เสี่ย ผมว่านามบัตรนั้นเป็นของจริงครับ” หานเต๋อหมิงเอ่ย
เสี่ยเจียงถอนหายใจ “ใครบอกล่ะว่าไม่ใช่ แต่ในเมื่อเสี่ยหวงพูดแบบนั้น มันก็ต้องเป็นของปลอม แต่…เต๋อหมิง นายว่าทำไมฉันถึงรู้สึกว่าจะต้องเข้าข้างเขา”
ได้ยินเสี่ยเจียงพูดอย่างนี้ หานเต๋อหมิงก็สะดุ้งเฮือกทันที “เอ่อ…เสี่ย หมายความว่าอะไรครับ…”
เมื่อเห็นสายตาเหลือเชื่อของหานเต๋อหมิง เสี่ยเจียงก็สูดหายใจเข้าลึกๆ “ฉันไม่รู้ว่าฉันแก่จนเลอะเลือนไปแล้วหรือเปล่า ฉันรู้สึกอยู่ตลอดว่าครั้งนี้จะมีเรื่องใหญ่เกิดขึ้นในวงการอาหารตู้เหมิน”
หานเต๋อหมิงติดตามเสี่ยเจียงมานานหลายปี เหนือสิ่งอื่นใด สายตาของเสี่ยเจียงไม่เคยมองพลาดมาก่อน เขาครุ่นคิดแล้วพูด “เสี่ยครับ ซ่งจื่อเซวียนมีความสามารถนี้จริงๆ เหรอครับ”
“วันนี้ไม่มี พรุ่งนี้ไม่มี แล้ววันมะรืนใครจะรู้ล่ะ ดาวดวงนี้สว่างเจิดจ้า ที่สำคัญที่สุดคือ… เขาเพิ่งจะอายุสิบกว่าๆ เอง” เสี่ยเจียงจุดบุหรี่แล้วสูบเข้าลึกๆ ส่ายหัวแล้วพูดว่า “น่ากลัวเกินไปแล้ว…”
……
เป็นเหมือนที่ซ่งจื่อเซวียนบอก ต้าสือไต้เปิดเวลาสิบโมงครึ่ง และประมาณสิบเอ็ดโมง ข้าวผัดทั้งยี่สิบที่ก็ขายหมดเกลี้ยง ซึ่งหมายความว่าเขาเลิกงานได้แล้ว
ในเวลานี้ รถของเสี่ยเฉิงปาเพิ่งมาถึงหน้าประตู เสี่ยเฉิงปากำลังจะให้จางเปียวไปสืบสาวราวเรื่อง เขาก็เห็นพวกซ่งจื่อเซวียนสามคนเดินออกมา
ทันทีที่พวกเขาขึ้นรถ สีหน้าของเสี่ยเฉิงปาก็เปลี่ยนไปทันที เขาจ้องมองฟางรุ่ยและขมวดคิ้ว “น้องชาย เกิดอะไรขึ้นกับไอ้หมอนี่”
“หืม เสี่ยปา เขาทำไมเหรอ”
ทันทีที่พูดจบ ซ่งจื่อเซวียนก็นึกได้ว่าเสี่ยเฉิงปาหมายถึงอะไร ครั้งก่อนในหอหงเยวี่ยที่เสี่ยเฉิงปาไปพูดคุยกับเสี่ยซาน ตอนนั้นฟางรุ่ยก็อยู่ด้วย ไม่เพียงเท่านั้น เขายังเป็นหนึ่งในบอดี้การ์ดที่โดดเด่นที่สุดของเคอซาน
“มันเป็นคนของเคอซาน!” ท่าทีของเสี่ยเฉิงปาเห็นได้ชัดว่าเป็นศัตรู โดยเฉพาะเมื่อเขาและเคอซานไม่กินเส้นกันมานานหลายปี เขาจึงปฏิเสธคนของเคอซานโดยสิ้นเชิง
“เสี่ยปาวางใจเถอะ ตอนนี้เขาเป็นคนของผมแล้ว”
“หืม? เหอะๆ น้องชาย แกยังเด็ก ฟังพี่ชายนะ ไอ้เด็กคนนี้ใช้การไม่ได้แล้ว” เสี่ยเฉิงปากล่าวอย่างหนักแน่น
ซ่งจื่อเซวียนคลี่ยิ้ม “ทำไมล่ะ เสี่ยปาอยากเข้ามายุ่งว่าผมจะคบเพื่อนแบบไหนเหรอ”
เสี่ยเฉิงปาชะงัก ในช่วงเวลาไม่กี่วันที่เขาไม่ได้เจอซ่งจื่อเซวียน เขาไม่รู้ว่าทำไมพอเจอ…อีกฝ่ายก็เหมือนจะเปลี่ยนไปแล้ว
หากเป็นเมื่อก่อน แม้ว่าซ่งจื่อเซวียนจะไม่กลัวเสี่ยเฉิงปา แต่อย่างน้อยก็เคารพเขา แต่สิ่งที่เขาพูดในวันนี้…ค่อนข้างท้าทายอยู่ไม่มากก็น้อย
แต่เป้าหมายในตอนนี้ของเสี่ยเฉิงปานั้นชัดเจน นั่นก็คือการหาเงิน และเขาไม่ได้มุ่งเป้าไปที่ซ่งจื่อเซวียน เขาเอ่ย “น้องชาย ฟังฉันนะ ฉันอยู่มาหลายปีแล้ว…”
ก่อนที่เขาจะพูดจบ โทรศัพท์ของเสี่ยเฉิงปาก็ดังขึ้น เขาขมวดคิ้วและมองดู เผยสีหน้าไม่คาดคิด
“เคอซาน…โทรหาฉันทำไม”
……………………………………….