เส้นทางเศรษฐีของ(ว่าที่)เชฟเหรียญทอง - ตอนที่ 94 อานุภาพของเสี่ยหวง
ตอนที่ 94 อานุภาพของเสี่ยหวง
จวิ้นเซิงกรุ๊ป หนึ่งในกลุ่มบริษัทอาหารที่ใหญ่ที่สุดในจีน ไม่เพียงแต่มีร้านอาหารที่มีแบรนด์ทั่วทุกหนแห่งเท่านั้น ขณะเดียวกันยังทรงอิทธิพลในอาหารฟาสต์ฟู้ดอีกด้วย
ช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา เนื่องจากแผนกวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีของจวิ้นเซิงกรุ๊ป ได้เปิดตัวพวกบะหมี่กึ่งสำเร็จรูป บะหมี่แห้ง อาหารแบบอุ่น ออกมา บริษัทจึงมีอิทธิพลติดห้าร้อยอันดับแรกในองค์กรชั้นนำของจีน
ในมุมมองของเสี่ยเจียง องค์กรดังกล่าวเป็นสิ่งที่เขาปรารถนาที่สุด และตอนนี้มีคนของจวิ้นเซิงต้องการเอาตัวซ่งจื่อเซวียนออกไป เขาจะต้องมองชายหนุ่มคนนี้ใหม่เสียแล้ว
“เอาอย่างนี้น้องชาย ดูเหมือนว่าเพื่อนนายจะรอไม่ไหวแล้ว ถ้าอย่างนั้น…นายกลับไปก่อน เมื่อมีเวลาเราค่อยนัดกันอีกครั้ง นายคิดว่าไง” ดูเหมือนเสี่ยเจียงจะไม่มีทางเลือก พูดตามจริงเขาไม่เต็มใจที่จะล่วงเกินจวิ้นเซิงกรุ๊ปเพื่อเสี่ยหวง
ซ่งจื่อเซวียนยืนขึ้นอย่างไม่รีบร้อนพร้อมคลี่ยิ้ม “ถ้าอย่างนั้นผมก็ขอขอบคุณเสี่ยเจียงสำหรับความมีน้ำใจในวันนี้ ถ้ามีโอกาสเราก็มานั่งคุยกันอีกนะครับ”
ซ่งจื่อเซวียนพูดจบก็เดินออกไปโดยไม่หันกลับมามอง ทิ้งเสี่ยเจียงไว้เพียงด้านหลัง
เห็นซ่งจื่อเซวียนจากไป เสี่ยเจียงก็เหม่อลอยสติไม่อยู่กับเนื้อกับตัว ชายสวมแว่นตาที่อยู่ข้างๆ ไม่กล้าพูดอะไร จังหวะที่เห็นนามบัตรของจวิ้นเซิงกรุ๊ป เขาก็ตกใจสุดขีด
“เต๋อหมิง ที่นายพูดมาเมื่อกี้คือจวิ้นเซิง ฉันได้ยินไม่ผิดใช่ไหม” เสี่ยเจียงหรี่ตาลงเล็กน้อยพูดกับหานเต๋อหมิงที่อยู่ข้างกาย
“เสี่ยครับ เป็นจวิ้นเซิง ดูนี่สิครับ ผู้ชายคนที่อยู่นอกประตูเอาให้ผม”
หานเต๋อหมิงยื่นนามบัตรให้กับเสี่ยเจียง
เสี่ยเจียงก้มหน้าลงแล้วอ่านดู ‘ไต้ทง ผู้ช่วยอาวุโสธุรกิจอาหารจวิ้นเซิงกรุ๊ป’
แม้ว่าเขาจะไม่เคยเห็นนามบัตรพนักงานของจวิ้นเซิงกรุ๊ปมาก่อน แต่หลังจากลองพิจารณานามบัตรนี้แล้ว ลวดลายบนบัตรค่อนข้างคมชัด การผลิตก็ละเอียดอ่อน ดูไม่เหมือนของปลอม
“มีบางเรื่อง…ฉันต้องคิดดูสักหน่อยแล้ว”
เสี่ยเจียงเอนกายพิงโซฟา หมดแรงจะเอ่ยคำใด เขาเหม่อลอยราวกับกำลังจมดิ่งอยู่ในความคิดตัวเอง…
ซ่งจื่อเซวียนออกมาจากห้องส่วนตัวก็เจอถังหย่าฉีกับไต้ทงยืนอยู่หน้าประตู โดยเฉพาะถังหย่าฉีที่สีหน้าดูกระวนกระวายใจ
เมื่อเห็นซ่งจื่อเซวียนเดินออกมา ไต้ทงก็กล่าว “เหอะๆ หย่าฉีที่ผมพูดก็ไม่ผิดเลยใช่ไหม พอเห็นนามบัตรพวกเขาก็จะปล่อยคนออกมา”
ถังหย่าฉีเมินและวิ่งตรงไปที่ซ่งจื่อเซวียนพลางเอ่ยถาม “จื่อเซวียนไม่เป็นอะไรใช่ไหม พวกเขาทำอะไรนายหรือเปล่า”
“ไม่เป็นไร เธอเห็นไหมว่าฉันยังสบายดี” พอซ่งจื่อเซวียนระบายยิ้ม ดวงตาของเขาก็เต็มไปด้วยความนุ่มนวลอ่อนโยน
เห็นสายตาของซ่งจื่อเซวียน จู่ๆ ถังหย่าฉีก็รู้สึกเหมือนมัวเมาบางอย่าง มีผู้ชายที่แสดงความรักต่อเธออยู่ไม่น้อย แต่คนที่ใช้สายตาอ่อนโยนมองเธอแบบนี้ เพิ่งจะมีครั้งแรก
บางครั้งก็แปลกจริงๆ มีบางคนแม้จะอ่อนโยนแค่ไหน แต่ถังหย่าฉีไม่ได้รู้สึกถึงมันเลยสักครึ่งเดียว รำคาญเสียด้วยซ้ำ แต่กับดวงตาของซ่งจื่อเซวียนนั้นดูนุ่มนวลกว่าเล็กน้อย ทำให้เธอรู้สึกว่าถูกโอบล้อมไปด้วยความอ่อนโยนละมุนละไม บางทีนี่…คงเป็นโชคชะตาฟ้าลิขิตล่ะมั้ง
“ไม่เป็นไรก็ดีแล้ว เรารีบไปจากที่นี่กันเถอะ” เกิดเรื่องกะทันหันแบบนี้ทำให้ถังหย่าฉีกังวลถึงขีดสุดและอยากออกจากอ่าวชิงหลงทันที
จากนั้น พวกเขาก็เดินกลับไปที่รถแล้วออกรถจากไป จวบจนได้ออกจากบริเวณอ่าวชิงหลง ถังหย่าฉีจึงถอนหายใจหนึ่งเฮือกด้วยความโล่งอก
ระหว่างทางขากลับภายในรถเงียบกริบ ไม่เหมือนตอนมาที่ทั้งสองคุยกันจนไม่มีอะไรให้พูด อาจเป็นเพราะสนุกจนเพลียหรืออาจเพราะวิตกกังวล หรือบางที…อาจเป็นความอ่อนโยนกะทันหันนั้นที่ทำให้ถังหย่าฉียากจะเอื้อนเอ่ยออกมา
เมื่อกลับมาถึงบ้านในคืนนั้น หลังจากซ่งจื่อเซวียนถูกพี่สาวซักไซ้ ก็หาทางรอดพ้นไปได้ในที่สุดและเตรียมพักผ่อนเข้านอน
การทำน้ำแกงเกล็ดปลาทองห้าสายกลายเป็นเมนูเร่งด่วนที่สุดสำหรับเขาในตอนนี้อย่างไม่ต้องสงสัย อันที่จริงหลังจากพยายามปรุงอาหารจานอื่นล้มเหลวในครั้งก่อน ก็ส่งผลต่อความมั่นใจของซ่งจื่อเซวียนอยู่บ้าง ดังนั้นตอนนี้เขาจึงร้อนใจอยากลองปรุงน้ำแกงเกล็ดปลาทองห้าสาย แม้มันจะไม่ได้ผลแต่นับว่ายังได้เตรียมความพร้อมอยู่
ถ้าตามปกติเขาคงจะคิดหาวิธีทำอาหารนี้ทั้งคืน อย่างไรซ่งจื่อเซวียนก็สนใจเมนูในสูตรอาหารเต็มเปี่ยม แต่วันนี้…ดูต่างออกไปเล็กน้อย เมื่อนึกถึงอาหารครู่หนึ่ง ท่าทางของถังหย่าฉีก็จะปรากฏขึ้นในหัวสมองของเขา
ซ่งจื่อเซวียนรู้ตัวเองดีว่าเขามีใจให้ถังหย่าฉี เขาบังคับตัวเองให้คิดถึงเรื่องอาหารต่อไป แต่ทุกครั้งที่คิดไปสักพัก เขาก็เริ่มคิดถึงถังหย่าฉีอีกครั้ง และทุกครั้ง…เขาจะเผยรอยยิ้มออกมา จนกระทั่งเข้าสู่ห้วงแห่งความฝัน
เช้าวันรุ่งขึ้น ซ่งจื่อเซวียนตื่นนอน ทานอาหารง่ายๆ แล้วออกจากบ้าน อันที่จริงแม่กับพี่สาวก็อยู่ที่บ้านแล้ว เขาไม่จำเป็นต้องกินข้าวเช้านอกบ้านเหมือนแต่ก่อนแล้ว
แต่ทันทีที่เขาออกไป ก็เห็นฟางรุ่ยรออยู่ที่หน้าบ้าน
“รุ่ยจื่อ ทำไมนายถึงมาอยู่ที่นี่” ซ่งจื่อเซวียนถาม
ฟางรุ่ยมีรอยยิ้มไร้เดียงสาบนใบหน้า “แหะๆ นายท่านรอง ผมรู้ว่าคุณตื่นเช้าเลยกลัวว่าจะตามคุณไม่ทัน พอตื่นนอนผมก็มาที่นี่เลย”
“เมื่อวานนายพักที่ไหนน่ะ”
“โรงแรมเล็กๆ นอกตรอกน่ะครับ เมื่อวานคุณไม่อยู่ ผมกับเทียนซั่วเดินเตร็ดเตร่ไปมาแล้วก็กลับ เลยเข้านอนไว”
ซ่งจื่อเซวียนพยักหน้าช้าๆ “เอาเถอะ อยู่แบบนี้ไปก่อน อีกหน่อยฉันจะช่วยดูว่ามีบ้านเช่าใกล้ๆ บ้างหรือเปล่า นายรอหน่อยแล้วกัน”
พูดจบ ซ่งจื่อเซวียนก็เดินกลับเข้าบ้าน ไม่ช้าเขาก็ออกมาพร้อมถือถุงพลาสติกเล็กๆ ในนั้นมีหมั่นโถว ไข่ไก่และผักดองนิดหน่อย
“เอาไว้ค่อยกินในรถ วันนี้ลมแรงมากอย่าให้ลมพัดไปล่ะ ไปกันเถอะ!”
หลังจากมื้อเช้า ฟางรุ่ยรู้สึกอบอุ่นหัวใจถึงกับรู้สึกแสบจมูกจะร้องไห้ ช่วงปีที่ผ่านมาไม่มีใครใจดีกับเขาขนาดนี้ แม้ว่าเขาจะอยู่ในกองกำลังพิเศษ แต่เพราะเขามีนิสัยค่อนข้างน่าเบื่อจึงไม่ค่อยมีเพื่อนมากนัก
“ขะ…ขอบคุณครับนายท่านรอง”
ซ่งจื่อเซวียนส่ายหัวอย่างช่วยไม่ได้ “เราคนกันเอง คราวหลังไม่ต้องพูดคำพิธีรีตองแบบนี้อีก ไปเถอะ บางทีถ้าไปถึงเร็วนายอาจจะได้เพิ่มพลังอีกชามหนึ่ง เกี๊ยวน้ำแถวประตูทางเข้าต้าสือไต้อร่อยใช้ได้ เทียนซั่วชอบกินบ่อยๆ”
“โอเค!” ฟางรุ่ยกัดฟันกลั้นน้ำตา แต่หัวใจของเขากลับรู้สึกอบอุ่นเป็นอย่างมาก
เวลาเช้าตรู่ มีคนเข้าแถวหน้าร้านต้าสือไต้แล้วไม่น้อย เมื่อมองจากระยะไกล ฟางรุ่ยก็กล่าว “นายท่านรอง เอ่อ…ทำไมคนเยอะจังล่ะ ประตูยังไม่ได้เปิดใช่ไหม”
ซ่งจื่อเซวียนคลี่ยิ้ม “ดูเหมือนว่าวันนี้เราจะได้เลิกงานเร็วนะ รุ่ยจื่อ นับดูสิว่ามีกี่คน”
ขณะที่ทั้งสองเดินไป ฟางรุ่ยก็นับและพูดว่า “รวมแล้วก็สิบเจ็ดคน”
ซ่งจื่อเซวียนได้ยินก็อึ้งไป ถ้าไม่มีเรื่องอะไรเกิดขึ้น ประเดี๋ยวรอแค่ต้าสือไต้เปิดประตูเขาก็สามารถเริ่มเปิดเตาผัดข้าวจำนวนยี่สิบที่ได้เลย
เมื่อเดินถึงประตูใหญ่ ซ่งจื่อเซวียนสังเกตเห็นกระดาษสีชมพูแผ่นหนึ่งติดอยู่ที่ประตู ‘เชฟหยุดพักสองวัน ข้าวผัดจักรพรรดิเริ่มขายอีกครั้งในวันที่สามสิบ’
เห็นแล้วซ่งจื่อเซวียนก็ขำ นี่น่าจะเป็นฝีมือของโจวเผิง เพราะข้าวผัดจักรพรรดิเป็นจุดขายของต้าสือไต้ ลูกค้าที่มาส่วนใหญ่ก็มาเพื่ออาหารจานนี้ หากไม่ได้แจ้งวันที่ไว้ก็เลี่ยงไม่ได้ที่ลูกค้าจะโวยวาย
วันนี้คือวันที่สามสิบพอดี เหล่าลูกค้าย่อมตั้งใจมาวันนี้กัน
ทันทีที่เขาเดินเข้าไป ซ่งจื่อเซวียนก็เห็นหลัวลี่ลี่กำลังจัดการบิลต่างๆ บนโต๊ะที่แผนกต้อนรับ และซางเทียนซั่วมาถึงเร็วกำลังพูดเจี๊ยวจ๊าวอยู่ข้างหลัวลี่ลี่…
เมื่อเห็นซ่งจื่อเซวียนเดินเข้ามา ซางเทียนซั่วก็เก็บอาการเล็กน้อยแล้วพูดอย่างรวดเร็ว “อรุณสวัสดิ์อาจารย์ วันนี้ข้างนอกหนาวมากๆ ผมเลยเข้ามารอ”
ซ่งจื่อเซวียนยิ้มอย่างจนใจ “นายแค่เห็นหลัวลี่ลี่มาถึงเร็วเลยเข้ามาล่ะสิ”
“อะแฮ่ม…อาจารย์ เรื่องบางเรื่องรู้แล้วก็ไม่ควรจะพูดสิ”
ทุกคนเดินเข้าไปในครัวด้านหลัง ซ่งจื่อเซวียนให้ฟางรุ่ยนั่งตรงที่เขานั่งเป็นประจำ ถึงอย่างไรฟางรุ่ยก็ไม่เข้าใจงานในครัวจึงช่วยอะไรไม่ได้มาก
หลังจากเตรียมตัวง่ายๆ ครู่หนึ่ง ซ่งจื่อเซวียนก็รอเวลาเปิดกิจการ ซางเทียนซั่วพูด “อาจารย์ ข้างนอกมีคนต่อคิวกันเยอะมาก วันนี้เราก็เลิกงานเร็วอีกแล้วล่ะนะ”
ซ่งจื่อเซวียนยกยิ้มพลางพูด “ก่อนสิบเอ็ดโมงเตรียมเลิกงานได้เลย!”
ฟางรุ่ยไม่รู้ว่าทำไมพวกเขาถึงเลิกงานเร็วนัก แต่ก็ไม่ได้ถามออกไป อย่างไรงานของเขาคือติดตามและปกป้องนายท่านรอง
ยังไม่ทันถึงเวลาเปิดร้าน โทรศัพท์ซ่งจื่อเซวียนก็ดังขึ้น เมื่อเห็นว่าเป็นจางเปียวโทรเข้ามา เขาก็ระบายยิ้ม ดูเหมือนว่าทางเสี่ยเฉิงปาจะมีข้อมูลบางอย่าง
“พี่จาง”
“นายท่านซ่งไม่ต้องถ่อมตัว เสี่ยปาให้ฉันโทรหาคุณ เราปรับปรุงตกแต่งที่นั่นเกือบจะเสร็จแล้ว เสี่ยปาให้คุณมาดูตอนบ่าย”
“ฮ่าๆ เสี่ยปาจะไปเมื่อไร”
“ขึ้นอยู่กับคุณ คุณทำงานเสร็จแล้วเราจะไปรับ” คำพูดของจางเปียวนั้นสุภาพเป็นที่สุด ท้ายที่สุดหลังจากที่เขาทำสิ่งนั้นกับฉินซินเจี๋ยครั้งที่แล้ว เขาก็มั่นใจและเลื่อมใสในตัวซ่งจื่อเซวียนอย่างแน่นอน
“คืออย่างนี้พี่จาง พวกพี่มาตอนนี้เลยก็ได้ ทางนี้มีสามคน จัดที่นั่งให้ด้วยนะ”
ซ่งจื่อเซวียนคลี่ยิ้ม “ใกล้เลิกงานแล้ว!”
หลังจากวางสายจางเปียวก็สับสน ตอนนี้เพิ่งจะกี่โมงเอง ทำไมใกล้จะเลิกงานแล้วล่ะ แต่เขาไม่ได้คิดอะไรมาก หลังจากบอกเสี่ยเฉิงปาพวกเขาก็รีบขับรถไปที่ต้าสือไต้
ณ หอหงเยวี่ย ห้องส่วนตัวไฉ่อวิ๋นเฟย
เสี่ยหวงหยิบถ้วยชาขึ้นมาจิบ จากนั้นสูดลมหายใจเข้าเฮือกหนึ่งแล้วกล่าว “เสี่ยเจียง ฉันว่านายยิ่งแก่ยิ่งขี้ขลาดตาขาว แค่นามบัตรใบเดียวทำให้นายหวาดกลัวแบบนี้ได้ยังไง”
“เสี่ยหวง คุณล้อเล่นหรือเปล่า ถ้าเป็นแค่นามบัตรธรรมดาผู้เฒ่าอย่างผมก็คงปล่อยผ่านไป แต่…คุณก็รู้ว่าจวิ้นเซิงกรุ๊ปไม่ใช่กิจการท้องถิ่นนะ” เสี่ยเจียงพูดด้วยสีหน้าลำบากใจ
อันที่จริงก่อนที่จะมาเขาได้เตรียมใจไว้แล้ว เสี่ยหวงคงหัวเราะกับความขี้ขลาดตาขาวของเขาอย่างแน่นอน ถึงจะพูดให้กำลังใจอะไรทำนองนั้น แต่น้ำโคลนนี้เขาไม่กล้าลุยลงไปจริงๆ…
“เหอะๆ จวิ้นเซิงกรุ๊ป…”
หวงฟาแสยะยิ้ม โยนนามบัตรลงบนโต๊ะน้ำชาทันทีแล้วกล่าว “เสี่ยเจียงนายดูให้ละเอียดอีกครั้งก่อน จวิ้นเซิงกรุ๊ปเป็นหนึ่งในกลุ่มที่ใหญ่ที่สุดในวงการอาหารของจีน นายช่วยบอกหน่อยว่าตำแหน่งผู้ช่วยอาวุโสนี้คืออะไร”
“เอ่อ…” เสี่ยเจียงไม่รู้จะพูดอะไรอยู่ครู่หนึ่ง เขาหยิบนามบัตรขึ้นมาดูอีกครั้ง มันดูแปลกๆ อยู่นิดหน่อย อันที่จริงปกตินามบัตรทั่วไป นอกจากชื่อบริษัทก็จะมีเขียนแผนกและตำแหน่งไว้ด้วย แต่นี่มีแค่ ‘ผู้ช่วยอาวุโส’ เท่านั้น…
จากนั้นหวงฟาก็หยิบนามบัตรอีกใบออกมาจากกระเป๋า โยนมันลงบนโต๊ะน้ำชา “แล้วลองดูใบนี้”
เสี่ยเจียงหยิบมันขึ้นมาแล้วมองดู ‘ธุรกิจอาหารจวิ้นเซิงกรุ๊ป แผนกวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยี ผู้จัดการเฉิงอวิ๋นเหล่ย’
“เสี่ยเจียง นี่เป็นความรู้ทั่วไปนะ นี่คือนามบัตรของผู้จัดการจวิ้นเซิงกรุ๊ปที่แท้จริง ลองดูของนายอีกครั้ง ถึงจะทำมาคล้ายกันมาก แต่เราต้องมีไหวพริบมากกว่านี้ เห็นแล้วอย่าตีตนไปก่อนไข้ ให้วิเคราะห์ก่อนแล้วค่อยพูด!”
เมื่อเจอถ้อยคำเช่นนั้น เสี่ยเจียงก็หน้าซีดเป็นไก่ต้ม เขาพยักหน้าหงึกๆ “ครับ เสี่ยหวง แต่ว่า…ตามที่ซ่งจื่อเซวียนบอก คนที่อยู่เบื้องหลังต้าสือไต้คือจ้งอันกรุ๊ป แถมกลุ่มธุรกิจใหญ่ทั้งสองนี้ก็เกี่ยวข้องกับเขา ผมไม่รู้ว่าควรรับมือยังไงจริงๆ ถ้าเกิดปัญหาขึ้น เกรงว่าจะจบไม่สวย”
“ฮ่าๆ ฉันว่านายแก่จนเลอะเลือนไปแล้ว จ้งอันกรุ๊ป นั่นคือกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ เริ่มทำธุรกิจอาหารตั้งแต่เมื่อไรกัน”
“เอ่อ…” เสี่ยเจียงพูดไม่ออกอีกครั้ง
หวงฟาจ้องไปที่เสี่ยเจียงและพูดต่อ “ฉันอธิบายแทนนายแล้วกัน ฉันได้ตรวจสอบเรื่องนี้แล้ว ในจ้งอันกรุ๊ปมีผู้บริหารระดับสูงชื่อซุนโส่วเหวิน ต้าสือไต้นี้เป็นธุรกิจส่วนตัวของเขา ในเมื่อเป็นเรื่องส่วนตัวก็ไม่เกี่ยวอะไรกับจ้งอัน เข้าใจหรือยัง”
“ครับ ครับ เสี่ยหวง ผมเข้าใจแล้ว”
“ถ้าเข้าใจแล้วมีอะไรทำก็ไปทำเถอะ ฉันต้องการผลลัพธ์!” หวงฟาตะโกนเสียงดัง ในเวลานี้เขาไม่มีกิริยาท่าทางเหมือนในงานชุมนุมอาหารตู้เหมินตอนนั้นอีกต่อไป เขาเบิกตาโพลงแสดงอานุภาพของตัวเองทันที
…………………………………………