เส้นทางเศรษฐีของ(ว่าที่)เชฟเหรียญทอง - ตอนที่ 93 จวิ้นเซิงกรุ๊ป
ตอนที่ 93 จวิ้นเซิงกรุ๊ป
เมื่อเห็นชายแปลกหน้าตรงหน้า ซ่งจื่อเซวียนก็หรี่ตามองดูเขาเล็กน้อย เขาสวมชุดสูทลำลอง บวกกับมีรอยยิ้มเสแสร้ง แต่กลับดูไม่เหมือนคนจากวงการใต้ดิน
เมื่อรวมกับการประเมินก่อนหน้านี้ของซ่งจื่อเซวียน คนคนนี้เป็นไปได้มากว่าจะเป็นคนของหลินเทียนหนาน
แต่ทำไมหลินเทียนหนานถึงใช้วิธีนี้มาตามเขา ไม่ว่าจะโทรสายตรงหรือให้ซุนโส่วเหวินติดต่อเขาก็ได้ทั้งนั้น ทำไมเขาถึงเลือกให้คนแปลกหน้ามาตามเขา ทั้งยังต้องเจอกันที่อ่าวชิงหลง
ซ่งจื่อเซวียนยังไม่ได้เปิดปาก ถังหย่าฉีก็เดินอ้อมจากหน้ารถมาถามว่า “จื่อเซวียน เกิดอะไรขึ้น”
ซ่งจื่อเซวียนส่ายหัวและมองไปที่ชายคนนั้นทันที “ใครสั่งให้คุณมาหาผม”
ชายหนุ่มยิ้มเล็กน้อย “คุณซ่ง คุณจะรู้ตอนไปถึงที่นั่น อยู่ตรงหน้านี้เองครับ” ชายหนุ่มชี้ไปที่ตึกอิฐสีเทาสองชั้นที่ไม่มีป้ายด้านหน้า
ซ่งจื่อเซวียนเงียบไปครู่หนึ่ง “พวกคุณช่วยผมจ่ายบิลคืนนี้ใช่ไหม”
ชายคนนั้นยิ้มและไม่เอ่ยอะไร
ถังหย่าฉีขมวดคิ้วและมองไปที่ชายคนนั้น ดูเหมือนเธอจะเข้าใจเรื่องที่เกิดขึ้น “จื่อเซวียน เรา…ไปกันเถอะ”
ซ่งจื่อเซวียนยืนอยู่ที่เดิมและคิดอยู่ครู่หนึ่ง “เหอะๆ ผมไม่ใช่คนสำคัญอะไร จะพบผมทำไมต้องทำลับๆ ล่อๆ”
“ฮ่าๆ คุณซ่งถ่อมตัวจริงๆ ในแง่ของคนสำคัญ…คุณคือเบอร์หนึ่งในตู้เหมินแน่นอน เชิญเถอะครับ!” ขณะที่พูดก็ผายมือออกท่าทางเชื้อเชิญอย่างสุภาพ
“จื่อเซวียน อย่าไปนะ ยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเขาเป็นใคร…”
ซ่งจื่อเซวียนสูดลมหายใจเข้าลึกๆ “หย่าฉี ฉันจะไปดูหน่อย ถ้าฉันเดาไม่ผิด คนขับรถของเธอเพิ่งบอกว่าเราถูกสะกดรอยตาม น่าจะเป็นพวกเขานี่แหละ”
“ไม่ได้นะ ถ้าอย่างนั้นนายก็ยิ่งไปไม่ได้ ฉันไม่ให้นายไป!” ถังหย่าฉีพูดพร้อมเอื้อมไปจับมือของซ่งจื่อเซวียนไว้
ในความทรงจำของซ่งจื่อเซวียน นี่เป็นครั้งแรกที่ถังหย่าฉีเป็นฝ่ายเริ่มจับมือของเขา ความอบอุ่นและความนุ่มนวลจากนิ้วของเธอที่แผ่มายังฝ่ามือของเขา ทำให้เขาอารมณ์อ่อนลงทันที
ซ่งจื่อเซวียนมองถังหย่าฉีด้วยรอยยิ้มน้อยๆ “วางใจเถอะ ไม่มีอะไรเกิดขึ้นหรอก”
เมื่อพูดจบ เขาก็ค่อยๆ ปล่อยมือของถังหย่าฉี จากนั้นก็เดินไปทางที่ชายคนนั้นชี้ทันที
“จื่อเซวียน!”
ถังหย่าฉีขมวดคิ้วและตะโกนด้วยความโกรธ แต่เมื่อซ่งจื่อเซวียนยืนกราน เธอก็หันตัวกลับมาแล้วสั่ง ”ไต้ทง ลงจากรถ!”
ไต้ทงพยักหน้า ดับรถและเดินออกจากที่นั่งคนขับ “หย่าฉี เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับเรานะครับ”
“ตอนนี้เกี่ยวแล้ว เราจะไปที่นั่นด้วย!”
ถังหย่าฉีพูดพลางคิดจะตามซ่งจื่อเซวียนห่างๆ เมื่อชายสวมแว่นตาเห็นเข้าก็ขวางถังหย่าฉีเอาไว้ “คุณหนู เกรงว่า…เราอยากพบแค่คุณซ่งคนเดียวเท่านั้นครับ!”
“ฮ่าๆ ตลกจริงๆ ครอบครัวนายเป็นเจ้าของอ่าวชิงหลงนี้หรือไง ฉันว่านายไม่มีกำลังมากพอนะ!” พูดจบ ถังหย่าฉีก็ปัดมือชายคนนั้นออกแล้วเดินหน้าต่อไป ชายคนนั้นยังอยากจะพูดอะไรต่อ แต่ไต้ทงก็ตามมาและยกมือกดลงบนหน้าอกของชายคนนั้นแล้ว
“ระวังไว้นะ คนอื่นฉันไม่สนใจ ถ้าแตะต้องเธอล่ะก็…วันนี้แกจะไม่ได้ออกจากอ่าวชิงหลง!”
ภายใต้คำเตือนของไต้ทง ชายหนุ่มก็ชะงัก ดูเหมือนพวกเขาจะรู้สึกได้ทันทีว่าตัวตนถังหย่าฉีนั้นไม่ธรรมดา ไม่อย่างนั้นผู้หญิงคนไหนจะพาบอดี้การ์ดมาด้วยเวลาออกมาข้างนอก
แต่เขาไม่ได้คิดมาก รีบวิ่งตามซ่งจื่อเซวียนทันทีและพาเขาไปยังทางเข้าประตูชั้นสอง
อ่าวชิงหลงเป็นสถานที่เปิดและไม่มีการคุ้มกันทางเข้าออกประตู ทั้งสองเดินตรงเข้าไปและหยุดฝีเท้าที่ประตูห้องหนึ่ง
“คุณซ่ง เสี่ยเจียงอยู่ข้างใน คุณแค่เข้าไปข้างในครับ”
“เสี่ยเจียง เสี่ยเจียงไหนผมไม่รู้จัก” ซ่งจื่อเซวียนเอ่ย
ชายหนุ่มไม่ตอบ ได้แต่ยิ้มและเปิดประตู
ซ่งจื่อเซวียนหันมองเข้าไปข้างใน กลิ่นหอมของชากระทบหน้าเขาทันที และเขายังสังเกตเห็นสไตล์การตกแต่งที่นี่ ซึ่งให้ความรู้สึกเหมือนหอหงเยวี่ยเล็กน้อย
ในเมื่อเป็นสถานที่สาธารณะ ซ่งจื่อเซวียนจึงไม่คิดมาก เดินมุ่งตรงเข้าไป สุดท้ายแล้วเขาก็อยากรู้ว่าใครยินดีจ่ายบิลเกือบสองแสนให้เขาในคืนนี้กันแน่
ทันทีที่ซ่งจื่อเซวียนเดินเข้าไป ก็เห็นชายสวมแว่นตาปิดประตู เขาหันกลับไปมองห้องส่วนตัวด้านใน พื้นที่ขนาดใหญ่มีโซฟาไม้แดงและโต๊ะน้ำชาชุดหนึ่ง ส่วนอีกด้านหนึ่งเป็นโต๊ะชงชาตัวหนึ่งขนาดกว้างหนึ่งร้อยยี่สิบเซนติเมตร
ชายผมหงอกนั่งอยู่บนโซฟา สวมชุดคลุมคอจีนสีม่วง ดูมีภูมิฐานเล็กน้อย ที่สำคัญที่สุดคือเขาถือไม้เท้าหัวมังกรอยู่ในมือ ดูสะดุดตามาก ซ่งจื่อเซวียนชำเลืองมองก็ดูออกว่าเป็นไม้เท้าเนื้อไม้บ็อกซ์วูดที่ละเอียดและปราณีต
“คุณซ่ง ในที่สุดเราก็ได้พบกัน” เสี่ยเจียงพูดด้วยรอยยิ้มพร้อมกับลุกขึ้น “มาเถอะ มานั่งดื่มชาคุยกัน”
ซ่งจื่อเซวียนไม่ได้พูดอะไร เขาเดินไปนั่งตรงข้ามกับเสี่ยเจียง
เมื่อเห็นซ่งจื่อเซวียนนั่งลง เสี่ยเจียงก็แสดงท่าทีไม่พอใจผ่านสายตาของเขา แวบขึ้นมาแล้วก็หายไป แต่ถึงอย่างนั้นซ่งจื่อเซวียนก็ยังสังเกตเห็นพอดี
ปฏิกิริยาแรกที่ซ่งจื่อเซวียนมีต่อคนคนนี้คือเขาอาจจะมาเพื่อข้าวผัดจักรพรรดิ
สุดท้ายแล้วไม่มีทางเลยที่คนแปลกหน้ามีฐานะจะติดต่อหาเขาได้ นอกจากมีเรื่องข้าวผัดจักรพรรดิ
“คุณซ่ง คืนนี้ที่อ่าวชิงหลง…คุณสนุกหรือเปล่า”
ซ่งจื่อเซวียนเอนกายบนโซฟาแล้วพยักหน้าเล็กน้อย “ก็ไม่เลว แต่ก็ต้องขอบคุณเสี่ยเจียง เราไม่เคยรู้จักกันมาก่อน คุณใจกว้างขนาดนี้ผมเกรงใจจริงๆ”
ซ่งจื่อเซวียนพูดอย่างรอบคอบ ถึงแม้เขาจะกล่าวขอบคุณ แต่ก็ไม่ได้บอกว่าจะตอบแทนแต่อย่างใด ในเมื่อคุณเต็มใจเลี้ยงผมในคืนนี้ แน่นอนว่าไม่จำเป็นต้องชดใช้หนี้บุญคุณ
เสี่ยเจียงกระตุกยิ้ม “คุณซ่งเกรงใจเกินไปแล้ว เหตุผลที่ผมทำอย่างนี้ก็เพราะอยากเป็นเพื่อนกับคุณ เงินเล็กๆ น้อยๆ แค่นี้ไม่เป็นไรเลย คราวหน้าถ้าคุณซ่งมาอ่าวชิงหลงก็ติดต่อผมได้ตลอดเวลา”
“แหะๆ ดูเหมือนเสี่ยเจียงจะร่ำรวยมาก แล้วผมซ่งจื่อเซวียนจะรู้สึกผิดขนาดไหนล่ะครับ วันนี้ผมไม่รู้ ถ้าเป็นคราวหน้าอาจไม่กล้ารับน้ำใจจากคุณแล้วล่ะครับ” แม้ว่าคำพูดของซ่งจื่อเซวียนจะมีความเกรงใจ แต่ก็แฝงการปฏิเสธอย่างสุภาพอยู่ในนั้นชัดเจน
เสี่ยเจียงก็เป็นคนเก๋าในวงการนี้ ย่อมเข้าใจความหมายนี้แน่นอน เขาอึ้งไปชั่วขณะหนึ่ง อันที่จริงเขาคิดไม่ถึงว่าชายหนุ่มที่ดูอายุน้อยกว่ายี่สิบปีตรงหน้าเขาจะพูดได้ไหลลื่นไม่มีช่องโหว่เลยสักนิด แต่ไม่นานเขาก็ยังเผยรอยยิ้มออกมา
“น้องชาย คำพูดนี้เหินห่างนะ วงการใต้ดินในเมืองตู้เหมินนี้ สิ่งที่พึ่งพาได้ในวงการใต้ดินก็คือมิตรสหาย ทำไมต้องแบ่งแยกชัดเจนขนาดนั้น ไม่แน่ว่าน้องชายอาจทำประโยชน์ให้ผมได้ในสักวันหนึ่ง”
ซ่งจื่อเซวียนแอบยิ้มกริ่ม จิ้งจอกเฒ่าเจ้าเล่ห์ตัวนี้อยากได้ข้าวผัดจักรพรรดิยังจะมาพูดอ้อมค้อม หมายความว่าไงที่อาจมีประโยชน์ แถมยังเรียกฉันว่าน้องชายด้วย ฉันเพิ่งจะอายุเท่านี้รับไม่ได้จริงๆ
“ฮ่าๆๆ เสี่ยเจียงสุภาพเกินไปแล้ว คนตัวเล็กๆ อย่างผมจะทำประโยชน์ให้คุณได้ยังไงครับ เสี่ยเจียงต้องมีธุรกิจใหญ่แน่ๆ ถ้าวันหนึ่งคุณต้องการผมจริงๆ ก็คงไม่ใช่เรื่องดี”
ซ่งจื่อเซวียนพูดแล้วจิบชา ต้องบอกว่าชานี้ดีจริงๆ ชาเหมาเจียนของปีมีกลิ่นหอมมาก!
“หา คงไม่ใช่เรื่องดีงั้นเหรอ เหอะๆ น้องชายหมายความว่าอะไร” ใบหน้าของเสี่ยเจียงเผยร่องรอยความสงสัย
ซ่งจื่อเซวียนคลี่ยิ้ม “คุณลองคิดดูสิ คุณควรจะติดต่อคนที่มีอำนาจบาตรใหญ่ทางรัฐบาลพวกนั้นถึงจะถูก ถ้าวันหนึ่งแม้แต่ข้าน้อยผู้ต่ำต้อยอย่างผมมีประโยชน์ จะเกิดอะไรขึ้นกับคุณล่ะ ผมว่าไม่ล้มละลายก็ถูกทวงหนี้”
เสี่ยเจียงได้ยินแบบนี้ในใจก็เริ่มมีน้ำโห ไอ้เด็กนี่สติฟั่นเฟือนจริงๆ ยอกย้อนด่าฉันเหรอ คืนนี้ผู้เฒ่าใช้เงินไปเกือบสองแสน ไม่ได้รับแม้แต่คำพูดดีๆ สักคำ
แม้ว่าเขาจะรู้สึกไม่สบอารมณ์ แต่เสี่ยเจียงก็ยังอดทนอดกลั้น เสียไปตั้งสองแสนหยวน ถ้าเผลอหลุดออกไปตอนนี้เขาคงโง่เง่าเต็มที
“เหอะๆ น้องซ่งพูดได้น่าสนใจจริงๆ ได้ยินมาว่าน้องซ่งทำงานที่ต้าสือไต้มาตลอด ยังราบรื่นดีใช่ไหม”
ซ่งจื่อเซวียนกระตุกยิ้ม ตาแก่ ในที่สุดก็เข้าประเด็นสักที
“ราบรื่น…ก็ไม่เชิง อันที่จริงเบื้องหลังของต้าสือไต้นั้นแข็งแกร่งมาก บางครั้งก็ถูกกดดันมากเกินไปครับ” ซ่งจื่อเซวียนพูดพร้อมแสร้งทำสีหน้าเป็นกังวล
“หา เบื้องหลัง…ต้าสือไต้เหรอ เหอะๆ น้องชายลองบอกมาก็ได้ ไม่ปิดบังน้องชายแล้วกัน พี่ชายพอมีเส้นสายในวงการอาหารตู้เหมินอยู่บ้าง บางที…อาจจะช่วยนายได้”
เมื่อเห็นว่าเสี่ยเจียงกำลังจะติดเบ็ด ซ่งจื่อเซวียนก็แอบยิ้มในใจแล้วกล่าว “เหอะๆ เสี่ยเจียง ถ้าคุณมีเส้นสายในวงการอาหารตู้เหมิน คุณจะไม่รู้เบื้องหลังของต้าสือไต้ได้ยังไง นี่คุณกำลังล้อเล่นกับผมอยู่นะ”
เมื่อได้ยินดังนั้น เสี่ยเจียงก็อดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้วและสูดลมหายใจเข้าเฮือกหนึ่ง “นี่…น้องชาย ฉันยังไม่รู้จริงๆ ช่วยบอกให้กระจ่างทีเถอะ”
“พูดยากแฮะ ไม่ทราบว่าเสี่ยเจียงเคยได้ยินเกี่ยวกับจ้งอันกรุ๊ปหรือเปล่าครับ”
เมื่อเสี่ยเจียงได้ยินก็ตะลึงงันอยู่ครู่หนึ่ง อันที่จริงพวกเขาเหล่านี้ซึ่งเป็นผู้มีอิทธิพลในวงการอาหารตู้เหมินยังเทียบไม่ได้กับสถานะของจ้งอันกรุ๊ป ต้องตระหนักว่าจ้งอันเป็นเครือข่ายภูมิภาคขนาดใหญ่ทางตอนเหนือของจีนแผ่นดินใหญ่ ไม่เพียงมีสถานที่พักผ่อนหย่อนใจ ยังมีฐานอสังหาริมทรัพย์ที่หยั่งรากลึก
“นายจะบอกว่า…ต้าสือไต้เป็นธุรกิจภายใต้เครือจ้งอันกรุ๊ปอย่างงั้นเหรอ”
ซ่งจื่อเซวียนยิ้มเล็กน้อยพลางพยักหน้า แต่ก็ไม่ได้พูดอะไรอีก เขาไม่รู้ว่าในสถานการณ์นี้เป็นโชคลาภหรือหายนะ แต่อย่างน้อยเขาก็ไม่อยากไปมาหาสู่กับเสี่ยเจียงอีกต่อไป ดังนั้นจึงยกหลินเทียนหนานมากำราบ เป็นทางเลือกที่ดีที่สุดจริงๆ
ที่สำคัญที่สุดคือซ่งจื่อเซวียนไม่ได้เลือกที่จะเป็นฝ่ายพูดออกมา แต่จงใจใช้คำพูดเพื่อกระตุ้นความอยากรู้อยากเห็นของอีกฝ่าย เพื่อที่จะให้อีกฝ่ายริเริ่มถามเขากลับเอง อย่างนี้ทำให้ดูเหมือนสมจริงมากขึ้น
ห้องส่วนตัวตกอยู่ในความเงียบไปชั่วขณะ เห็นได้ชัดว่าเสี่ยเจียงไม่ได้คาดหวังว่าต้าสือไต้จะมีเบื้องหลังเช่นนี้ ไม่ว่าจะเป็นการร่วมมือกับเสี่ยหวงหรือเพื่อให้ได้บันทึกหย่งซั่นมาเอง ล้วนมีผลกระทบตามมานั่นคือ…ล่วงเกินจ้งอันกรุ๊ป
หากเป็นเช่นนั้น…ก็ไม่ใช่สิ่งที่เสี่ยเจียงจะรับไหวจริงๆ
ซ่งจื่อเซวียนไม่รีบร้อน เขาค่อยๆ หยิบถ้วยชาขึ้นมาจิบ ท่าทางพอใจมาก
ตอนนี้เองก็มีเสียงดังเอะอะอยู่นอกประตู ซ่งจื่อเซวียนจำได้ทันทีว่าเป็นเสียงของถังหย่าฉี จิตใจรู้สึกเป็นกังวลทันที
“เสี่ยเจียง คนที่อยู่นอกประตูเป็นเพื่อนผม ให้พวกเขาเข้ามาเถอะ!” คำพูดของซ่งจื่อเซวียนหนักแน่นมาก ราวกับว่าเขากำลังเสนอเงื่อนไข
“หือ เพื่อนนายเหรอ นี่…”
เสี่ยเจียงยังไม่ทันพูดจบ เขาก็เห็นประตูเปิดออกแล้ว จากนั้นชายสวมแว่นก็เข้ามาด้วยสีหน้าตื่นตระหนกและวิ่งไปด้านข้างเสี่ยเจียง
“เสี่ยครับ มีคนข้างนอกต้องการพาตัวคุณซ่งออกไป”
เสี่ยเจียงถอนหายใจออกด้วยความไม่พอใจ “ฉันรู้ น้องซ่งบอกว่าเป็นเพื่อนเขา”
แต่ชายที่สวมแว่นขมวดคิ้วเล็กน้อย โน้มตัวไปกระซิบกับเสี่ยเจียง “มีคนหนึ่งหยิบนามบัตรออกมา เขาคือคนของจวิ้นเซิงกรุ๊ปครับ”
เมื่อได้ยินประโยคนี้ เสี่ยเจียงก็ชะงักค้างราวกับถูกฟ้าผ่า ตัวแข็งทื่อไปชั่วขณะหนึ่ง
“จวิ้นเซิง…กลุ่มธุรกิจอาหารน่ะเหรอ” เสี่ยเจียงพึมพำกับตัวเองโดยไม่รู้ตัว
หลังจากนั้น เขาก็พลันมองไปที่ซ่งจื่อเซวียน และครุ่นคิดกับตัวเองว่าไอ้หนุ่มคนนี้…แท้จริงแล้วมีเบื้องหลังอะไรกันแน่
……………………………………….