เส้นทางเศรษฐีของ(ว่าที่)เชฟเหรียญทอง - ตอนที่ 89 อ่าวชิงหลง
ตอนที่ 89 อ่าวชิงหลง
ซ่งจื่อเซวียนพูดแบบนี้ ตาเฒ่าฟางเบิกตาที่ปกติหรี่อยู่ทันที พูดว่า “เฮ้ย ไอ้หนูนี่ ข้าเคยพูดเมื่อไรกัน”
“ปู่พูดไว้คราวที่แล้วไง ทำไมถึงไม่ยอมรับอีก จริงๆ เลย…” ขณะพูด ซ่งจื่อเซวียนกลอกตา เม้มปากอย่างแรงไม่ให้ตนเองยิ้มออกมา
“หยุดเลย ที่ฉันบอกคือให้แกดู ไม่ได้บอกว่าให้แกเอาไป แกนี่มันจะหลอกปู่แกเรอะ!”
ซ่งจื่อเซวียนเบ้ปาก “ไม่ยอมรับก็ช่างเถอะ ใครให้ปู่อายุมากแล้วล่ะ ไม่อยากยอมรับแค่บอกว่าจำไม่ได้ก็พอแล้ว”
ฟางจิ่งจือมองซ่งจื่อเซวียน ไม่พูดอะไรออกมาสักคำ สองตาที่เบิกกว้างก็จดจ้องอยู่
ซ่งจื่อเซวียนเหมือนรู้สึกอึดอัดเล็กน้อยเพราะถูกจ้อง จึงเอ่ยว่า “ปู่ ปู่มองผมทำไมเนี่ย…”
ประมาณสองสามวินาที ฟางจิ่งจือก็เผยรอยยิ้มออกมา “แต่ก็ไม่ได้กินน้ำแกงห้าสายมานานมากแล้ว…”
“หืม ปู่พูดว่าอะไรนะ”
พูดพลาง ฟางจิ่งจือก็พิงกายกลับไป “ถึงจะพูดว่าเมื่อก่อนกินจนเบื่อแล้ว แต่…สิบกว่าปีมานี้ไม่ได้กิน รู้สึกอยากกินอยู่หน่อยจริงๆ แกไปทำให้ฉันกินสักชามสิ”
“อะไรนะ ตอนนี้เหรอ” ซ่งจื่อเซวียนอดถามไม่ได้
“ตอนนี้งั้นเหรอ แกทำออกมาได้สิถึงจะแปลก ค่อยๆ เรียนรู้ไปเถอะ ทำออกมาได้สักชามเมื่อไรก็เมื่อนั้นแหละ ยกมาเสิร์ฟให้ปู่แก บางทีปู่ได้กินแล้วอาจจะมีความสุข ก็อาจจะให้อะไรแกสักอย่าง ตะหลิวลายฟีนิกซ์อะไรนั่น…”
ได้ยินประโยคนี้ ซ่งจื่อเซวียนก็ดีใจจนเนื้อเต้น ความจริงแล้วก็เป็นอย่างที่ฟางจิ่งจือพูด ชายชราไม่เคยรับปากเขาว่าจะยกตะหลิวให้ มากสุดก็คือให้เขาดูเท่านั้น ที่เขาพูดแบบนี้ก็แค่หยอกฟางจิ่งจือเล่น คิดไม่ถึงว่าชายชราจะรับปากจริงๆ…
“ได้ ตาเฒ่า นี่ปู่พูดเองนะ ถ้าผมทำน้ำแกงเกล็ดปลาทองห้าสายออกมาได้ ปู่จะปัดไม่ยอมรับไม่ได้นะ!”
ฟางจิ่งจือยิ้ม “ทิ้งเหล้าไว้ รีบพาหลานสองคนข้างนอกนั่นไสหัวไป ฉันฟังเสียเกเต๋งอยู่!”
พูดจบ ชายชราก็เอาวิทยุทรานซิสเตอร์มาวางไว้ข้างหู ฟังไปพลางคลอนศีรษะไปด้วย
……
ณ จวี้เสียนจวง
เคอหงเทาพิงอยู่บนเก้าอี้ผู้บริหาร เอาเท้าพาดไว้บนโต๊ะทำงานขนาดใหญ่ด้านหน้า ไม่รู้ว่าทำท่าทางนี้ต่อเนื่องมานานเท่าไรแล้ว ครุ่นคิดอยู่ตลอด
กระทั่งเสียงเคาะประตูดังขึ้นสองสามที เคอหงเทาถึงได้สติกลับมา “เข้ามา”
คนที่เปิดประตูเดินเข้ามาคือต้าลี่ เห็นเคอหงเทา เขาก็ก้มหน้าอย่างกระดากอายอยู่บ้าง เดินเข้าไปใกล้อย่างแผ่วเบา
“เสี่ยครับ เรื่องที่ให้ไปจัดการ…ทำไม่สำเร็จครับ”
เคอหงเทาเงยหน้าขึ้นมองต้าลี่ ชะงักไปครู่หนึ่ง พูดว่า “อืม ฉันรู้ ไม่เป็นไร”
“เสี่ยรู้เหรอครับ?” ต้าลี่อดประหลาดใจไม่ได้
“ใช่ ทางฟางรุ่ยเป็นฉันที่บอกให้เขาหยุดมือ ซ่งจื่อเซวียน…จะตายไม่ได้!” ระหว่างที่เคอหงเทาพูด แววตาเหม่อลอยมองไปเบื้องหน้าตั้งแต่ต้นจนจบ ความจริงแล้วตั้งแต่หลังงานชุมนุมอาหารตู้เหมิน เขาก็เป็นอย่างนี้ทุกวัน ข่าวคราวบันทึกหย่งซั่นแทบจะเอาสติเขาไปทั้งหมด
ได้ยินประโยคนี้ ต้าลี่ก็สับสนเล็กน้อย
สิ่งที่เขาเห็นทั้งหมดคือวันนั้นซ่งจื่อเซวียนทำเป็นหลับ ฟางรุ่ยเตรียมรับมือตนที่จะไปฆ่าเขาอยู่ก่อนแล้ว อีกทั้งในห้องน้ำยังมีอีกคนซ่อนตัวอยู่ เป็นพวกเขาสามคนร่วมมือกันเล่นงานตน แต่ตอนนี้ที่เสี่ยซานพูดคือเขาให้ฟางรุ่ยหยุดมือเอง…
ต้าลี่คิดไม่ตก ถึงเสี่ยซานจะสั่งให้ฟางรุ่ยหยุดมือ แต่ทำไมพวกเขาถึงเหมือนร่วมมือกับเพื่อนมารับมือตนมากกว่า หรือว่าเสี่ยซานบอกให้ฟางรุ่ยแสร้งเป็นเพื่อนกับซ่งจื่อเซวียนงั้นหรือ
ต้าลี่ไม่ได้นับว่าเป็นคนฉลาดอะไร ปกติก็ไม่ชอบคิดวิเคราะห์ปัญหาพวกนี้อยู่แล้ว เขาครุ่นคิดก็รู้สึกว่าสมองเหนื่อยถึงที่สุด ในเมื่อเสี่ยซานพูดแล้ว อย่างนั้นก็ช่างมันเถอะ
“รับทราบครับเสี่ยซาน!”
เคอหงเทาพยักหน้า “ฟางรุ่ยไม่ได้กลับมาเหรอ”
“เรื่องนี้…ไม่ทราบครับ…” ต้าลี่ไม่รู้ว่าจะตอบอย่างไรเช่นกัน ถึงอย่างไรเคอหงเทาก็เคยละเลยเรื่องฟางรุ่ยที่เขาแจ้งไป เขาจึงไม่รู้เรื่องอะไรเลย
“เอาเถอะ เรื่องพวกนี้ไม่สำคัญแล้ว ซ่งจื่อเซวียนไม่ตายก็ดี ต้าลี่ แกบอกให้พวกลูกน้องสองสามคนคอยดูท่าทีของซ่งจื่อเซวียนสองวันนี้หน่อย ฉันอยากเจอเขา!”
“เสี่ยครับ ถ้าเสี่ยอยากเจอ ผมก็พาเขามาเลยไม่ได้เหรอครับ”
เคอหงเทาเหลือบมองต้าลี่ “แกโง่หรือเปล่าเนี่ย ซ่งจื่อเซวียนตอนนี้เหมือนกับก่อนหน้านี้เสียที่ไหนเล่า ไม่ใช่แค่มีเฉิงปาปกป้องเขาอยู่ เกรงว่า…อยากจะแตะต้องตัวเขายังยากเลยจริงๆ”
ขณะที่เคอหงเทาพูด คิ้วก็ขมวดขึ้นเล็กน้อย ตอนนี้ทุกการกระทำกับซ่งจื่อเซวียนต้องระมัดระวังทั้งหมด ไม่ใช่แค่มีการคุ้มครองของเฉิงปาเท่านั้น แม้แต่พวกเสี่ยหวง คุณเถียนและเสี่ยเจียงก็จับจ้องอยู่ ตอนนี้ซ่งจื่อเซวียนในวงการอาหารใต้ดินของเมืองตู้เหมินเป็นสมบัติล้ำค่าชิ้นหนึ่งอย่างแท้จริง!
……
สี่โมงเย็น รถของถังหย่าฉีมาถึงปากซอยบ้านซ่งจื่อเซวียนตรงเวลา ถึงจะพูดว่าแฟตันสีดำคันหนึ่งจะไม่ค่อยเป็นจุดสนใจ แต่ความเงาวาวจากการทำความสะอาดใหม่บวกกับการตกแต่งภายนอกก็ยังดึงดูดสายตาคนละแวกนั้นไม่น้อย
อย่างไรที่ที่ซ่งจื่อเซวียนอาศัยก็อยู่ในย่านเก่าที่นับว่าค่อนข้างยากจน ที่นี่ไม่ต้องพูดถึงแฟตันเลย ต่อให้เป็นรถเก๋งราคาสองแสนกว่าหยวนคันหนึ่งผ่านมา ก็ดึงดูดความอิจฉาของคนไม่น้อยได้
ซ่งจื่อเซวียนบอกให้ซางเทียนซั่วและฟางรุ่ยพักผ่อนตามอัธยาศัยได้ ถึงทั้งสองจะไม่ค่อยยอมเท่าไร แต่เพราะเป็นนัดเดทกับถังหย่าฉี ซ่งจื่อเซวียนจึงอยากไปคนเดียว มีก้างขวางคอเยอะก็ย่อมขวางทางอย่างชัดเจน
โดยเฉพาะซางเทียนซั่ว เสียงเรียกอาจารย์นั่นพอพูดออกมา ในสถานการณ์นั้นก็จะอึดอัดแน่นอน…
ซ่งจื่อเซวียนเดินออกมาจากซอยก็เห็นถังหย่าฉีโบกมือให้ตนจากด้านในกระจกรถ เขายิ้ม ยังเป็นรถคันนี้อยู่
หลังจากขึ้นรถ ซ่งจื่อเซวียนพูดยิ้มๆ “ไม่ได้รอนานใช่ไหม”
“ไม่เลย ฉันก็เพิ่งมา” ถังหย่าฉีก้มหน้าลงอย่างรู้สึกผิดเล็กน้อย “จื่อเซวียน ฉันอยาก…นายรู้ได้ยังไงว่ารถคันนี้…”
“เหอะๆ ความจริงฉันก็ไม่ได้เข้าใจเรื่องรถหรอก ก็ตอนที่ซางเทียนซั่วพูดคราวที่แล้วไง…เหอะๆ หย่าฉี ที่จริงเธอไม่เห็นต้องปิดบังฉันเลย ตั้งแต่ตอนที่อยู่ที่ห้างจ้งอันฉันก็รู้อยู่แล้วว่าบ้านเธอรวยมาก มีรถแบบนี้เป็นเรื่องปกติมาก” ซ่งจื่อเซวียนพูด
ถังหย่าฉีรู้สึกเก้อเขิน ก้มหน้าไม่รู้จะพูดอะไร คนเขารู้อยู่แล้วแต่ไม่ได้เปิดเผย ส่วนตนก็ยังแสดงอยู่อย่างแข็งขัน ความรู้สึกนี้…น่าอายชะมัด
แต่ไต้ทงที่นั่งอยู่ตรงที่นั่งคนขับกลับลอบยิ้ม พยักหน้าเบาๆ ทันที เหมือนกับได้รู้จักมุมใหม่ของซ่งจื่อเซวียน
หลายครั้งก่อนหน้านั้น สำหรับเขาแล้ว ซ่งจื่อเซวียนไม่เพียงแค่เป็นเด็กอายุสิบกว่าปีคนหนึ่ง ต่อให้มีอนาคตแค่ไหนก็เป็นแค่คนหนุ่มคนหนึ่ง แต่สิ่งที่เห็นวันนี้…เหมือนว่าจะแตกต่างอยู่บ้าง ไม่ว่าจะเป็นการพูดการจาหรือรัศมี ราวกับเปลี่ยนเป็นคนละคนในชั่วพริบตา ชวนให้รู้สึกว่าเป็นผู้ใหญ่และสุขุม
เมื่อสตาร์ทรถ ซ่งจื่อเซวียนมองถังหย่าฉี พูดยิ้มๆ “จัดการเรื่องเข้าเรียนเรียบร้อยแล้วเหรอ เหอะๆ จากนี้ก็เป็นนักศึกษาแล้วสินะ”
ถังหย่าฉีได้ยินก็ยิ้ม “ล้อใครน่ะ คนอื่นไม่รู้แล้วฉันจะไม่รู้งั้นเหรอ ถึงนายจะไม่ได้เรียนมหา’ลัย แต่ความรู้นายน่ะมากกว่านักศึกษาเสียอีก เฮ้อ ทำไมฉันรู้สึกว่าอะไรๆ นายก็รู้ไปหมดเลยนะ”
“เหอะๆ ความจริงแล้วมันไม่ได้มีประโยชน์อะไรเลย ที่ฉันอ่านน่ะเป็นหนังสือซับซ้อนทั้งนั้น ไม่เหมือนพวกเธอ หลังจากเรียนรู้ความรู้เฉพาะทางก็มีงานทำได้แล้ว” ซ่งจื่อเซวียนพูด
“ช่างเถอะ ถ่อมตนอีกแล้ว ฉันจะบอกนายให้นะ ตอนนี้นักศึกษามีงานทำได้เงินเดือนแค่สามสี่พันเอง ดีหน่อยก็ห้าหกพัน เรียนตั้งนานกลับได้เงินเดือนเท่านี้ แต่นายน่ะแตกต่าง นายพึ่งความสามารถของตัวเอง อย่างนี้สิถึงจะสุดยอด”
ขณะที่ถังหย่าฉีพูด ใบหน้าก็เต็มไปด้วยความชื่นชม เหมือนกับแม้แต่ตัวเธอเองก็ไม่ได้สังเกตเลยว่าเผยความเลื่อมใสออกมาขณะที่ชมด้วย
“อย่างนั้นมากสุดก็ได้เงินเดือนนิดหน่อย แต่พวกเธอมีประวัติการศึกษาในอนาคตไง” ซ่งจื่อเซวียนเผลอยิ้ม “จริงสิหย่าฉี เปิดเทอมแล้วเธอก็ไม่ได้ว่างเหมือนเดิมแล้วใช่ไหม จากนี้ต้องอยู่ที่มหา’ลัยน่ะสิ”
“ไม่ใช่หรอก จะเป็นอย่างนั้นได้ไง” ถังหย่าฉีตอบอย่างกังวลเล็กน้อย ดูเหมือนกลัวว่าซ่งจื่อเซวียนจะไม่ติดต่อตนอีกเพราะตนเปิดเทอมแล้วอย่างไรอย่างนั้น “มหา’ลัยไม่เหมือนม.ปลายหรอก ไม่ได้เข้าเรียนเช้าถึงเย็นทุกวัน มีแค่วันละคาบสองคาบ บางวันก็ทั้งวัน แถมฉันก็เรียนมหา’ลัยในตู้เหมินนี่แหละ มีอิสระมาก”
ได้ยินคำพูดนี้ ซ่งจื่อเซวียนก็รู้สึกดีอกดีใจขึ้นมา อย่างน้อยถังหย่าฉีก็ไม่ได้อ้างว่าเปิดเทอมแล้วหลังจากนี้จะเจอกันบ่อยๆ ไม่ได้แล้ว
“เหอะๆ อย่างนั้นก็ดีแล้ว ถึงเวลาพวกเราก็ยังดื่มเหล้าด้วยกันได้!”
“เอาสิ ฮ่าๆ ดื่มเหล้าไม่มีปัญหา ฉันเลี้ยงเอง!” พอพูดถึงเรื่องดื่มสุรา ถังหย่าฉีชอบใจทันที ไม่ใช่เพราะว่าเธอชอบดื่มสุราจริงๆ ตรงกันข้าม เธอไม่ชอบที่บางครั้งต้องเข้าสังคมเพื่อธุรกิจ กระทั่งรู้สึกขัดๆ ด้วยซ้ำ แต่อยู่กับซ่งจื่อเซวียน เธอมีความสุขมากเป็นพิเศษทุกครั้ง โดยเฉพาะครั้งนั้นที่ดื่มสุราเต็มพิกัด
ได้ยินประโยคนี้ ไต้ทงที่นั่งอยู่ตำแหน่งที่นั่งคนขับกลับกังวล คราวก่อนถังหย่าฉีดื่มไปไม่น้อย ดุว่าเขาตลอดทาง ตอนถึงบ้านยังไม่ลืมเตะเขาไปสองที ถ้าองค์หญิงน้อยคนนี้ดื่มมากล่ะก็…ไม่น่ายุ่งด้วยเลยจากใจจริง
เนื่องจากอ่าวชิงหลงตั้งอยู่ที่ชานเมืองฝั่งตะวันออกของเมืองตู้เหมิน อีกทั้งเป็นชายขอบชานเมืองฝั่งตะวันออก ดังนั้นระยะทางจึงค่อนข้างไกล เพิ่มเป็นความเร็วสูงสุดก็ต้องใช้เวลาประมาณหนึ่งชั่วโมง
แต่ซ่งจื่อเซวียนกับถังหย่าฉีกำจัดความกระอักกระอ่วนไปหมดแล้ว จึงพูดคุยสัพเพเหระกัน ตลอดทางสองปากไม่ได้หยุดพักเลย พูดคุยหัวเราะกันหนึ่งชั่วโมงเต็มๆ ไต้ทงก็รู้สึกเบื่อน้อยลงขณะขับรถ มีบางครั้งที่หัวเราะตามไปด้วยระหว่างทาง
รถยนต์ลงจากทางด่วนครู่หนึ่ง ในที่สุดก็เริ่มลดความเร็วลง ปกติเดินทางนั่งรถแบบนี้ ถังหย่าฉีพอขึ้นรถก็จะนอนหลับพักผ่อน แต่วันนี้ตื่นเต้นตลอดทางจริงๆ
เธอมองด้านนอก พูดว่า “จะถึงแล้ว จื่อเซวียน นายดูสิ ข้างหน้าทางนั้นก็เป็นแถบอ่าวชิงหลงแล้ว”
สำหรับอ่าวชิงหลง ก่อนหน้านี้ซ่งจื่อเซวียนก็เคยได้ยินมาก่อน อีกทั้งเป็นตอนที่อยู่ที่ร้านอาหารชุนเซียงด้วย
เนื่องจากร้านอาหารอยู่ในย่านเก่า ใกล้เมืองและค่อนข้างเป็นเขตชุมชน จึงหลีกเลี่ยงกลุ่มคนวัยกลางคนที่ดื่มสุราพลางคุยโวโอ้อวดไม่ได้ หนึ่งในเรื่องคุยโวโอ้อวดก็คือเรื่องค่าใช้จ่ายที่มาอ่าวชิงหลง
ซ่งจื่อเซวียนมองตามที่ถังหย่าฉีชี้ไป “ฉันคิดมาตลอดว่าอ่าวชิงหลงเป็นร้านอาหารใหญ่ ยังไม่เคยมาจริงๆ หรอก”
ถังหย่าฉียิ้ม “จื่อเซวียน ฉันคิดว่าด้วยความสามารถของนาย คงอีกไม่นาน…นายก็คงได้มาที่แบบนี้บ่อยๆ”
“หืม งั้นเหรอ เพราะอะไรล่ะ” ซ่งจื่อเซวียนมองวิวของอ่าวชิงหลงพลางถาม
“ไม่มีเพราะอะไรหรอก คือฉันประทับใจนายไง นายเก่งมากๆ”
ขณะที่พูด รถยนต์ก็แล่นเข้าไปในประตูหินขนาดใหญ่ที่สูงประมาณตึกสามชั้น ประตูหินสีเทาทั้งสองด้านมีภาพนูนที่น่าเกรงขามมาก และด้านบนสลักรูปมังกรไว้ตรงขอบ ตรงกลางมีอักษรหินนูนอยู่เขียนว่า ‘อ่าวชิงหลง’
เข้าประตูใหญ่ สองข้างทางซ้ายขวาก็เป็นต้นไม้เต็มไปหมด พื้นที่ใกล้ๆ เป็นไม้พุ่มเรียงรายเป็นระเบียบเรียบร้อย หลังไม้พุ่มเป็นต้นไม้สีเขียว เมืองตู้เหมินเป็นเมืองใหญ่ มลพิษทางอากาศค่อนข้างร้ายแรง แต่พอเข้ามาในอ่าวชิงหลง สภาพแวดล้อมทั้งหมดก็เปลี่ยนเป็นสดชื่นและเป็นธรรมชาติ
ที่ไกลๆ ไม่รู้ว่ามีสิ่งก่อสร้างสไตล์ยุโรปเรียงรายกันอยู่เท่าไร หากเทียบถนนสไตล์ยุโรปของเมืองตู้เหมินกับที่นี่แล้วก็สู้ไม่ได้เลยจริงๆ
ซ่งจื่อเซวียนผ่อนลมหายใจ จู่ๆ เขาก็มีความรู้สึกอย่างหนึ่ง หรือจะเป็นอย่างที่ถังหย่าฉีพูดไว้ ที่นี่…หลังจากนี้คงมาบ่อยแน่ๆ!
……………………………………