เส้นทางเศรษฐีของ(ว่าที่)เชฟเหรียญทอง - ตอนที่ 88 ผิดพลาดเพียงนิด พ่ายแพ้หมดกระดาน
- Home
- All Mangas
- เส้นทางเศรษฐีของ(ว่าที่)เชฟเหรียญทอง
- ตอนที่ 88 ผิดพลาดเพียงนิด พ่ายแพ้หมดกระดาน
ตอนที่ 88 ผิดพลาดเพียงนิด พ่ายแพ้หมดกระดาน
เดินออกมาจากบ้าน ซ่งจื่อเซวียนหันหน้ากลับไปมองสองคนนั้นที่ตามออกมาเช่นกัน พูดว่า “พวกนายจะออกมาด้วยทำไมเล่า พักอยู่ที่บ้านสักพักจะดีกว่า แม่กับพี่ฉันไม่ได้เรื่องมากขนาดนั้นหรอก”
ถึงจะพูดแบบนั้น แต่ถึงอย่างไรซางเทียนซั่วกับฟางรุ่ยเป็นผู้ชาย อยู่ในบ้านขนาดนี้ก็รู้สึกอึดอัด ซางเทียนซั่วยิ้มพูด “พอแล้ว อาจารย์ ผมตามอาจารย์ไปดีกว่า หลายวันแล้วที่ไม่ได้ไปทักทายคุณทวดเลย”
“ผมก็ด้วย นายท่านรองไปไหนผมไปด้วย อย่างน้อยก็ดูแลความปลอดภัยให้คุณได้”
ซ่งจื่อเซวียนกลอกตาอย่างจนปัญญา “มีอะไรไม่ปลอดภัยกัน ฉันไปบ้านอาจารย์ฉัน ช่างเถอะ งั้นก็ไปด้วยกันหมดนี่แหละ แต่พวกนายเงียบหน่อยนะ ถึงตาเฒ่าจะร่าเริง แต่อายุมากแล้ว ร่าเริงมากเกินไปก็ไม่ดี”
“รับทราบ!” ทั้งสองว่าเป็นเสียงเดียวกัน
ขณะที่เดินอยู่ในซอย โทรศัพท์ของซ่งจื่อเซวียนก็ส่งเสียงแจ้งเตือนข้อความ เขาเปิดดูแล้วก็อดผงะไม่ได้
บัตรเอทีเอ็มของเขามีเงินเข้าหนึ่งแสนหกหมื่นหยวน!
เขานับวันดู ไม่ทันตั้งตัวก็หนึ่งเดือนแล้ว เห็นได้ชัดว่านี่เป็นเงินเดือนที่หลินเทียนหนานให้ตนเอง แต่ตกลงกันไว้ที่แปดหมื่นแล้วทำไมถึงเปลี่ยนเป็นหนึ่งแสนหกหมื่นได้ล่ะ
ซ่งจื่อเซวียนย่อมไม่คิดว่าฝ่ายบัญชีของหลินเทียนหนานทำงานผิดพลาด ความเป็นไปได้แบบนี้โดยพื้นฐานแล้วเป็นศูนย์ ความเป็นไปได้อย่างเดียวก็คือ…หลินเทียนหนานจงใจทำแบบนี้
ตอนนั้นที่ตนเองขอให้หลินเทียนหนานช่วยเหลือ เขาบอกว่าขอแค่ตนยินยอมทำข้าวผัดจักรพรรดิโดยไม่จำกัดจำนวน ก็จะให้เงินเดือนเพิ่มอีกเท่าตัว แต่ตอนนั้นซ่งจื่อเซวียนปฏิเสธไปแล้ว
จนถึงตอนนี้ก็ผ่านมาหลายวันแล้ว ซ่งจื่อเซวียนไม่ได้ติดต่อกับหลินเทียนหนานเลย…หลินเทียนหนานในใจก็คงรู้สึกไม่พอใจอยู่บ้าง ถึงอย่างไรสิ่งที่ต้าสือไต้พึ่งพามากที่สุดก็คือซ่งจื่อเซวียนและข้าวผัดจักรพรรดิของเขา!
คิดถึงตรงนี้ ซ่งจื่อเซวียนก็ยิ้ม ยกโทรศัพท์โทรไปหาซุนโส่วเหวิน เหตุผลที่ไม่โทรหาหลินเทียนหนานเป็นเพราะอยากไว้หน้าเขาสักหน่อย
ซุนโส่วเหวินรับสายก็ยังคงพินอบพิเทามาเหมือนเดิม ทักทายกันสองสามประโยค ซ่งจื่อเซวียนพูดว่า “จริงสิคุณซุน คุณลองเช็กดูหน่อยได้ไหมครับว่าเงินเดือนผมเดือนนี้คิดผิดหรือเปล่า”
“ทำไมเหรอครับ ให้คุณซ่งน้อยไปเหรอครับ” ซุนโส่วเหวินแสร้งถามอย่างกังวล
ซ่งจื่อเซวียนยิ้ม เขารู้อยู่แล้วว่าซุนโส่วเหวินแสร้งทำ แสร้งกังวลว่าให้น้อยไป ก็จะทำให้ตนรู้สึกว่าอีกฝ่ายให้ความสำคัญกับตนอยู่
“แหะๆ เปล่าครับ แต่มากไปเท่าหนึ่งน่ะ เดี๋ยวผมโอนคืนท่านประธานหลินแปดหมื่นแล้วกันครับ” ซ่งจื่อเซวียนพูดด้วยรอยยิ้ม
“หืม ไม่ได้ผิดนี่ครับ รายรับของคุณซ่งก็คือหนึ่งแสนหกหมื่นหยวน นี่คือข้อตกลงที่คุณกับท่านประธานหลินตกลงกันเรียบร้อยแล้วนี่ครับ” ซุนโส่วเหวินพูด
“งั้นเหรอครับ คุณซุนจำผิดแล้วหรือเปล่า ตอนนั้นที่ผมกับท่านประธานหลินตกลงกันคือแปดหมื่นหยวน อีกอย่างเงินเดือนของเดือนที่แล้วก็แปดหมื่นหยวนเหมือนกัน”
“อ้อ คืออย่างนี้ครับคุณซ่ง แปดหมื่นคือฐานเงินเดือนของคุณครับ ค่าตอบแทนที่ท่านประธานหลินให้คุณคือฐานเงินเดือนบวกกับค่าคอมมิชชัน เดือนนี้ต้าสือไต้ขายข้าวผัดจักพรรดิได้ยี่สิบที่บ่อยครั้ง จึงควรจะเพิ่มค่าคอมมิชชันให้คุณครับ
ได้ยินดังนั้น ซ่งจื่อเซวียนส่ายหัวด้วยรอยยิ้ม เห็นได้ชัดว่านี่เป็นความคิดของหลินเทียนหนาน สมกับที่เป็นประธานบริษัทใหญ่ จะทำอะไรก็ใจกว้างเสียจริง แค่น่าเสียดาย…ที่สายไปหน่อย
“ในเมื่อเป็นแบบนี้ งั้นผมก็ไม่เกรงใจแล้วครับ รบกวนคุณซุนแจ้งท่านประธานหลินด้วยว่าเรื่องของตัวผมเองจัดการเรียบร้อยแล้ว บอกเขาไม่ต้องเป็นห่วงนะครับ”
พูดจบ ซ่งจื่อเซวียนก็วางสาย ถึงอีกฝ่ายจะแสดงมิตรไมตรีที่ดีออกมาอย่างชัดเจน แต่ตั้งแต่ต้นจนจบเขาก็ลืมบทสนทนาคราวก่อนไม่ลง ตอนที่เขาลำบากที่สุด หลินเทียนหนานเลือกที่จะบังคับเขา ถ้าไม่ใช่อย่างนั้น ทำไมวันนี้ตนถึงได้ใช้วิธีเดิมพันโดยการร่วมมือกับเสี่ยเฉิงปาล่ะ
แต่ซ่งจื่อเซวียนก็ไม่ได้คิดมากอีก เรื่องมาถึงขนาดนี้แล้ว ตอนนี้สิ่งที่สำคัญที่สุดมีอยู่สองเรื่อง เรื่องแรกคือต้องลองทำน้ำแกงเกล็ดปลาทองห้าสาย เรื่องที่สองก็คือจับเฉิงปาให้มั่น ขอแค่เฉิงปาร่วมมือกับตนอย่างจริงใจ ตนก็มีวิธีที่ทำให้เขาร่ำรวยได้ ขณะเดียวกันตนเองก็ร่ำรวยไปด้วย ส่วนจะทำอย่างไรให้เฉิงปายินยอมร่วมมือกับตนอย่างจริงใจนั้น…นั่นก็ต้องเดิมพันกันจริงๆ สักตั้ง
“อาจารย์ เกิดอะไรขึ้นเหรอ ทางต้าสือไต้ขึ้นเงินเดือนให้อาจารย์เหรอ” ซางเทียนซั่วถาม
ซ่งจื่อเซวียนยิ้ม “จากนี้…ก็เป็นเงินเล็กๆ น้อยๆ แล้ว ไป ไปถอนเงินกับฉัน!”
หลังจากนั้น พวกเขาก็ไปธนาคารที่หน้าปากซอยก่อน ซ่งจื่อเซวียนถอนเงินออกมาไว้กับตัวสามพันหยวน ช่วงที่ผ่านมาเขาค้นพบปัญหาอย่างหนึ่ง นั่นก็คือผู้ชายออกจากบ้าน จะไม่มีเงินติดตัวไม่ได้
แน่นอนว่า สำหรับคนอย่างซ่งจื่อเซวียนที่ยังใช้โทรศัพท์หน้าจอสีฟ้าอยู่ อีกทั้งยังไม่สามารถสแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อจ่ายเงินได้ คุ้นชินแค่การพกเงินสดเท่านั้น…
“อาจารย์…ถอนเงินสดทำไมน่ะ” ซางเทียนซั่วพูด
“เอามาใช้น่ะสิ ออกจากบ้านไม่มีเงินติดตัวมันไม่สะดวก”
ได้ยินดังนั้น ซางเทียนซั่วก็พูดด้วยรอยยิ้ม “อาจารย์ผมก็หนอ พวกเราไปซื้อโทรศัพท์สักเครื่องก่อนโอเคไหม ตอนนี้ยังมีคนพกเงินสดที่ไหนกันเล่า ถ้าปล่อยให้อาจารย์แม่มาเห็น คงได้ตลกกับความไม่ทันโลกของอาจารย์เอานะ”
ซ่งจื่อเซวียนผงะ “เอ่อ…เหมือนว่าจะเคยขำใส่ไปแล้วนะ เทียนซั่ว โทรศัพท์อย่างนายนี่เท่าไรเหรอ”
ซางเทียนซั่วหยิบโทรศัพท์ออกมาโบก “อันนี้หมื่นต้นๆ เป็นรุ่นใหม่ล่าสุด อาจารย์ ถ้าอาจารย์จะใช้เดี๋ยวผมยกให้แล้วผมค่อยเปลี่ยนเครื่องใหม่แล้วกัน”
“ไม่ต้อง ตอนนี้ฉันมีเงินพอใช้ ฉันซื้อเองได้ แต่หมื่นกว่า…มีที่ถูกกว่านี้ไหม” ถึงเนื้อตัวจะมีเงินอยู่แสนกว่าหยวน แต่ถึงอย่างไรซ่งจื่อเซวียนก็ชินกับความจนไปแล้ว ให้เขาโยนเงินหนึ่งหมื่นหยวนไปทันทีก็ตัดใจไม่ลงจริงๆ
ฟางรุ่ยพูดว่า “นายท่านรอง ของผมอันนี้ถูกกว่า หกพันครับ”
ฟางรุ่ยใช้โทรศัพท์ยี่ห้อแอปเปิลเหมือนกับซางเทียนซั่ว เพียงแต่ซางเทียนซั่วคือไอโฟนสิบเอ็ด ส่วนฟางรุ่ยคือไอโฟนแปด
ซ่งจื่อเซวียนเดาะลิ้น พูดอย่างลำบากใจ “ยัง…มีที่ถูกกว่านี้อีกไหม”
“ก็ไม่ต่างจากนี้มากหรอก อาจารย์อยากได้เท่าไรล่ะ ความจริงแล้วตอนนี้จีนเองก็ผลิตโทรศัพท์ที่ค่อนข้างล้ำสมัยแล้วเหมือนกัน ผมก็อยากเปลี่ยนสักเครื่อง”
“งั้นเหรอ โทรศัพท์ที่จีนผลิตเท่าไรล่ะ ประมาณห้าร้อยหกร้อยได้ไหม”
พรืด!
ซ่งจื่อเซวียนพูดจบ ทั้งสองก็หมดคำพูด ซางเทียนซั่วพูดว่า “อาจารย์ ห้าร้อยหกร้อยนี่…ใช้ได้สักเดือนก็พังแล้วมั้ง”
ฟางรุ่ยพยักหน้า “เขาพูดถูกครับ นายท่านรอง ความจริงผมก็ตัดใจใช้เงินซื้อโทรศัพท์มากเกินไปไม่ค่อยลงเหมือนกัน นี่ก็เป็นของที่เคอซานออกให้ด้วย แต่ก่อนหน้านี้ผมใช้โทรศัพท์เครื่องไม่กี่ร้อย ใช้ได้ไม่นานเลยครับ”
ซ่งจื่อเซวียนเบะปาก “อย่างนั้นก็ได้ วันนี้…เย็นนี้ฉันนัดหย่าฉีไว้ พรุ่งนี้พวกนายพาฉันไปซื้อโทรศัพท์เครื่องใหม่ หลังจากนั้นสอนฉันด้วยว่าใช้จ่ายเงินยังไง”
“อาจารย์หนออาจารย์ จะทำอาหารทีก็ตั้งใจทำอย่างเต็มที่ อาจารย์เป็นคนแบบนี้จริงๆ” ซางเทียนซั่วพูดพลางยกนิ้วโป้ง ยิ้มออกมาทันที “แต่ทำไมอาจารย์ถึงเหมือนเป็นตาแก่ที่ไม่ทันยุคสมัยเลย ยุคนี้แม้แต่คนอายุเจ็ดสิบแปดสิบก็ใช้โทรศัพท์จ่ายเงินกันได้หมดแล้วนะ”
“เอาล่ะๆ ไม่ต้องพูดแล้ว พรุ่งนี้จำไว้ว่าต้องพาฉันไปซื้อ จากนั้นสอนฉันใช้ด้วย!”
พูดจบ ซ่งจื่อเซวียนก็เดินไปที่บ้านฟางจิ่งจือ ความจริงแล้วเขาก็อยากเปลี่ยนโทรศัพท์สักเครื่องเหมือนกัน แต่แพงขนาดนั้น…ตัดใจไม่ลงจริงๆ ถ้าไม่ใช่ว่าเงินหนึ่งแสนหกหมื่นหยวนเข้าวันนี้ เกรงว่าเขาก็คงไม่ตัดสินใจอย่างสบายใจขนาดนี้
ซ่งจื่อเซวียนซื้ออู่เหลียงเย่ที่ร้านสุรายาสูบมาสองขวด ไม่ได้ไปมาเกินหนึ่งวันแล้ว ซื้อสุราชั้นดีให้ชายชราสักขวดก็เป็นสิ่งที่เขารับปากเอาไว้แล้วก่อนหน้านี้
พอเข้าไปในลานบ้าน ซ่งจื่อเซวียนก็เปิดฝาขวด เสียงตาเฒ่าฟางก็ดังออกมาจากในห้องอย่างที่คิดไว้
“อืม…เหล้าดี หลานสายตรงของฉันมาแล้วใช่ไหม”
ซางเทียนซั่วได้ยินก็ยิ้ม “เอ๊ะ คุณทวดเดาแบบนี้ก็แม่นเกินไปหรือเปล่า ผมมาแล้ว!”
ระหว่างนั้นพวกเขาก็เดินเข้าไปในห้อง ตอนนี้ชายชรากำลังพิงหัวเตียงฟังวิทยุทรานซิสเตอร์อยู่ ซ่งจื่อเซวียนเดินเข้าไปพูดว่า “ปู่ ปู่พูดแบบนี้ได้ไง วันนี้ผมเป็นคนซื้อเหล้านี่ให้ปู่ต่างหากเล่า”
“ไม่เชื่อ แกไม่ได้ใจดีขนาดนั้น” ฟางจิ่งจือพูดพลางแย่งขวดไปดมใกล้ๆ “อืม…กลิ่นดีจริง แต่น่าเสียดายที่เทียบกับเหล้าเมื่อก่อนไม่ได้เลย”
ซ่งจื่อเซวียนยิ้มพูด “ตอนนี้ของมากมายก็ลดทอนวัตถุดิบกับขั้นตอนการผลิตกันทั้งนั้น อีกอย่างสิ่งแวดล้อมก็ไม่เหมือนกับเมื่อก่อน คุณภาพวัตถุดิบก็ย่อมต่ำลงเหมือนกัน”
ฟางจิ่งจือเหลือบมองรุ่ยจื่อแวบหนึ่ง “หลานคนนั้นเป็นใครน่ะ”
ฟางรุ่ยชะงัก ถึงชายชราจะอายุมากแล้ว แต่พอเข้าประตูมาก็ถูกเรียกว่าหลานจึงรู้สึกกระอักกระอ่วนอยู่บ้าง
“เพื่อนผมเอง ปกติตอนนี้ติดตามผมอยู่ ปู่ ถ้าปู่ไม่ชอบเสียงดัง ผมให้พวกเขาสองคนอยู่ในลานบ้านสักพักก็ได้นะ” ซ่งจื่อเซวียนพูด
ฟางจิ่งจือพยักหน้า “ก็ดี ฉันกำลังฟังงิ้วเรื่องเสียเกเต๋ง[1]ชุดนี้อยู่พอดี ให้พวกเขาคอยข้างนอกเถอะ”
ซ่งจื่อเซวียนยิ้ม ส่งสัญญาณมือกับทั้งสองคน ทั้งสองก็เดินออกไปนั่งสูบบุหรี่ในลานบ้าน
“ปู่ ผม…”
ซ่งจื่อเซวียนอยากพูดคุยกับชายชราเรื่องสูตรอาหารเมนูที่สอง แต่เหมือนว่าฟางจิ่งจือฟังอย่างดื่มด่ำอยู่จึงไม่ได้สนใจ
เรียกอยู่สองสามครั้งก็เหมือนเดิม เห็นแค่ชายชราคลอนหัว สนใจฟังแค่งิ้วเท่านั้น
ได้ยินประโยคนี้ ชายชราที่กำลังคลอนหัวเบาๆ ก็หยุดทันควัน ดวงตาที่กำลังปรือก็เบิกกว้าง เขาค่อยๆ หันหน้ามามองซ่งจื่อเซวียน “ไอ้หลาน…ใช้ได้ ไม่เสียทีที่ปู่ให้ความสำคัญกับแก”
ได้ยินดังนั้น ซ่งจื่อเซวียนก็ตื่นเต้นขึ้นมาทันที เห็นได้ชัดว่าฟางจิ่งจือให้คำตอบที่แน่นอนกับเขาแล้ว เมนูที่สองคือน้ำแกงเกล็ดปลาทองห้าสายจริงๆ ตอนนี้ก็ขาดแค่ลงมือทำจริงแล้ว!
“ปู่พูดอย่างนี้หมายความว่าผมตระหนักเมนูที่สองได้แล้วจริงๆ!”
“แต่แกแค่อ่านเข้าใจเท่านั้น ตระหนัก…เหอะๆ ยังอีกไกล! ลองพูดกับฉันซิว่าเข้าใจอะไรบ้าง”
หลังจากซ่งจื่อเซวียนพูดวัตถุดิบทั้งหมดกับวิธีประกอบอาหารทั้งหมดรอบหนึ่ง ฟางจิ่งจือก็ชะงักไป “นี่ไอ้หนู…อ่านสูตรอาหารนี่ด้วยตัวเองจริงเหรอ หรือว่ามีใครชี้แนะ ไม่สิ…นอกจากฉันจะมีใครที่ชี้แนะแกได้…”
“ผมอ่านเอง ปู่ ที่ผมพูดนี่ถูกไหม”
ฟางจิ่งจือพยักหน้าน้อยๆ “ถูก…คิดไม่ถึงเลยว่าไอ้หนูอย่างแกจะยังพอใช้ได้จริงๆ อ่านไวกว่าฉันตอนนั้นอีก แต่…รู้แค่พวกนี้ไปก็ไม่มีประโยชน์ สิ่งที่สำคัญที่สุดคือขึ้นอยู่กับการตุ๋น สิ่งที่สำคัญที่สุดของน้ำแกงห้าสายนี่ก็คือความสัมพันธ์ระหว่างวัตถุดิบกับยาจีน พลาดไปหนึ่ง รสชาติก็จะ…เหอะๆ ไม่ต้องพูดเลยว่าไม่อร่อยแค่ไหน”
“ปู่…เคยทำเหรอ”
“ตอนนี้คิดๆ ถึงรสชาตินั้นก็อยากจะอ้วกแล้ว…”
ซ่งจื่อเซวียนขมวดคิ้วเล็กน้อย ดูท่าพอเทียบกับข้าวผัดจักรพรรดิแล้ว น้ำแกงเกล็ดปลาทองห้าสายไม่เพียงแค่ต้องการกำลังทรัพย์มากกว่า เงื่อนไขในการประกอบอาหารก็ยิ่งเพิ่มความพิถีพิถัน เกรงว่าอาหารในสูตรอาหารด้านหลังคงซับซ้อนขึ้นเรื่อยๆ…
“ไอ้หนู แกจำไว้นะ การทำอาหารที่ส่วนผสมธรรมดายากที่สุด เพราะยากที่จะทำให้รสชาติออกมาดีที่สุดได้ แต่อาหารที่ส่วนผสมซับซ้อนก็ไม่ง่ายเหมือนกัน ก็เหมือนกับหมากรุกตาถัดไป แกต้องใช้ส่วนผสมทุกรสชาติให้ดี มีข้อผิดพลาดเพียงนิดเดียวก็พ่ายแพ้หมดกระดาน!”
ซ่งจื่อเซวียนพยักหน้าอย่างแรง “ผมจำไว้แล้วครับปู่!”
เพิ่งพูดจบ ซ่งจื่อเซวียนก็เบิกตากว้างฉับพลัน “จริงสิปู่ ผมจำได้ว่าปู่เคยพูดว่า…รอผมเรียนทำสูตรอาหารเมนูที่สองได้แล้ว ปู่จะเอาตะหลิวลายฟีนิกซ์ให้ผมไม่ใช่เหรอ”
………………………………………………..
[1] เสียเกเต๋ง (失空斩) คืองิ้วดั้งเดิมของปักกิ่ง สร้างจากเรื่องสามก๊ก