เส้นทางเศรษฐีของ(ว่าที่)เชฟเหรียญทอง - ตอนที่ 87 ยังทำอะไรไม่ถึงไหน
ตอนที่ 87 ยังทำอะไรไม่ถึงไหน
ฟางรุ่ยพูดพลางสะอึกสะอื้นขึ้นมา ซ่งจื่อเซวียนก็รู้สึกปวดใจ เพราะฟางรุ่ยไม่มีครอบครัว หลังจากชีวิตในหน่วยรบพิเศษจบลง เดาว่าต้องใช้ชีวิตแบบสั่งเดลิเวอร์รีมากินทุกวัน นานแล้วที่ไม่ได้กินข้าวบ้าน
หานหรงเป็นคนที่ผ่านชีวิตมาก่อน ย่อมมองออกว่าชีวิตเด็กคนนี้ไม่ง่ายเลย เธอยิ้มอ่อนโยนแล้วหยิบหมั่นโถวส่งให้ฟางรุ่ยอีกลูกหนึ่ง
“เด็กน้อย กินสิ กินให้มากหน่อย จากนี้ถ้าว่างนายก็มากินข้าว ป้าทำหม้อหนึ่งกินได้หลายคนเลย”
ฟางรุ่ยเงยหน้าขึ้นเบาๆ สองตาเปียกชื้นเล็กน้อย พยักหน้าอย่างแรง
“ขอบคุณครับคุณป้า”
ซางเทียนซั่วกลอกตาใส่ฟางรุ่ย “ชิ ดูไม่ออกเลยว่ายังแสดงเก่งด้วย กินแค่หมั่นโถวแกก็ร้องหาพระแสงอะไร อีกอย่าง แกเรียกอาจารย์ฉันว่านายท่านรอง คนนี้ก็ต้องเป็นย่าทวดนาย เรียกคุณป้าอะไร ไร้มารยาท!”
ได้ยินดังนั้น คนทั้งโต๊ะก็ยิ้ม ซ่งจื่อเซวียนพูด “เอาล่ะหุบปากเถอะ กำลังกินอยู่ยังอุดปากนายไว้ไม่อยู่เลย!”
หานหรงพูดด้วยรอยยิ้ม “ไม่เป็นไร บ้านเราไม่ได้เคร่งมารยาทขนาดนั้น เรียกอะไรก็ได้ ยังไงเจ้ารองก็เป็นลูกชายของฉัน พวกนายเป็นเพื่อน พวกเราก็เรียกตามนั้นนั่นแหละ”
“อย่างนั้นไม่ได้นะครับ คุณย่า ถ้าเขาเรียกแบบนั้นผมก็เสียเปรียบน่ะสิ แต่…หมั่นโถวที่ย่าทำอร่อยจริงๆ ทั้งเนียนทั้งนุ่มแถมยังหอมมากด้วย”
หานหรงได้ยินอย่างนั้นก็ยิ้มออกมา “ฉันว่าแล้ว นายน่ะพูดมาก ถ้างั้นนายก็กินให้มากหน่อย ไม่พอเดี๋ยวฉันนึ่งให้นายอีก”
ฟังพวกเขาคุยกัน ฟางรุ่ยก็เผยรอยยิ้มออกมา แต่ไม่ได้พูดอะไร ตามนิสัยของเขาเดิมก็ไม่ได้เป็นคนพูดมากอยู่แล้ว ตอนนี้ได้กินอาหารในบ้านร้อนๆ ก็รู้สึกอิ่มอกอิ่มใจแล้ว
ปริมาณการกินของซ่งจื่อเซวียนไม่นับว่าเยอะมาก กินไม่กี่คำก็อิ่มแล้ว เขาให้พวกซางเทียนซั่วและฟางรุ่ยกินต่อไป ส่วนตนเองวิ่งเข้าห้องเล็กหยิบหนังสือสูตรอาหารที่ล็อคเก็บไว้ในตู้ออกมาอ่าน
ก่อนหน้านี้ที่พาพี่สาวกลับมา แม่กับพี่สาวค่อนข้างตื่นเต้นกัน เขาก็ไม่สะดวกอ่านสูตรอาหาร ตอนนี้กินไปสองสามคำแล้ว เขาจึงอดมาอ่านไม่ได้ ถึงอย่างไรเขาก็ตั้งตารอตั้งแต่บนรถไฟแล้ว
“เจ้ารองแกไปทำอะไรน่ะ มากินอีกหน่อยสิ แขกเขายังอยู่กันนะแกวิ่งไปข้างหลังได้ยังไง เจ้าเด็กคนนี้ไร้มารยาท!” หานหรงร้องตะโกน
“ลูกกินอิ่มแล้วแม่ พวกเขาไม่ได้เป็นแขกสักหน่อย ไม่เป็นไรหรอก แม่ไม่ต้องใส่ใจ”
ซ่งจื่อเซวียนตะโกน ขณะเดียวกันก็เปิดอ่านสูตรอาหาร
เนื้อหาสูตรอาหารเหมือนจะบันทึกลงในสมอง หลังจากซ่งจื่อเซวียนเทียบเนื้อหาพวกนี้กับเนื้อหาในความทรงจำของตนก่อนหน้าแล้ว ก็พบว่าแทบจะไม่ผิดสักตัวอักษร!
อ่านถึงตรงนี้ เขาก็เริ่มรู้สึกตื่นเต้นขึ้นมา อย่างนี้แปลว่า…เป็นไปได้มากว่าฉันจะตระหนักเมนูที่สองได้แล้วจริงๆ!
ปฏิกิริยาแรกของเขาคือไปถามตาเฒ่าฟางจิ่งจือที่บ้าน แต่พอคิดๆ ดูก็เกือบจะแปดโมง ควรจะไปต้าสือไต้แล้ว ค่อยลองลงมือทำตอนช่วงบ่ายที่ไม่ยุ่งได้พอดี
“น้ำแกงเกล็ดปลาทองห้าสาย…จุ๊ๆ ชื่อดีจริงๆ”
ซ่งจื่อเซวียนพูดพึมพำกับตัวเองพร้อมรอยยิ้ม แต่ไม่นานนักเขาก็ขมวดคิ้วเล็กน้อย น้ำแกงเกล็ดปลาทองห้าสายนี่แตกต่างจากข้าวผัดจักรพรรดิมาก ข้าวผัดจักรพรรดิเป็นอาหารที่ใช้วัตถุดิบที่ง่ายที่สุดผัดออกมาให้ได้รสชาติถึงขีดสุด แต่น้ำแกงเกล็ดปลาทองห้าสายไม่ใช่อย่างนั้น…
วัตถุดิบที่น้ำแกงเกล็ดปลาทองห้าสายต้องใช้มีอยู่สิบกว่าอย่าง ไม่เพียงแค่รวมถึงเนื้อเส้น แฮมเส้น ปลิงทะเลเส้น ไข่หั่นฝอยและหูฉลาม อีกทั้งยังรวมถึงสมุนไพรอย่างโสม ตังเซียม[1] อึ่งคี่[2] ซานชี[3] เขากวางเป็นต้นเกือบสิบชนิด
ตอนซ่งจื่อเซวียนยังเด็กก็เคยเรียนเรื่องยาสมุนไพรสิบแปดชนิดที่ห้ามใช้ร่วมกันกับฟางจิ่งจื่อมาก่อน ก็มองออกว่าสมุนไพรจีนพวกนี้ใช้ร่วมกันแล้วไม่มีปัญหาอะไรเลย พูดได้ว่ามีประโยชน์อย่างมาก
แต่คำอธิบายตามสูตรอาหาร ใช้พลังชี่ภายในเปลี่ยนเป็นกำลัง ถึงจะไปจัดการสรรพคุณของยาจีนที่มีฤทธิ์แข็งให้อ่อนลง ถึงแม้ว่าจะเป็นลูกค้าเพศชาย กินน้ำแกงเกล็ดปลาทองห้าสายไปแล้วก็จะไม่เกิดอาการร้อนจากภายในหรือเลือดออกเนื่องจากกินเสริมเข้าไป แต่คนที่อ่อนแอกระเสาะกระแสะได้กินแล้วไม่เพียงแค่รสชาติดีเท่านั้น ทั้งยังมีผลช่วยเสริมความแข็งแกร่งของร่างกายอีกด้วย
“ที่แท้ก็เป็นยาตำรับหนึ่ง แต่หลังผ่านการจัดการแล้วรสชาติยาคงจะหายไปไม่น้อย มีผลลัพธ์เป็นยาแต่กลับไม่มีรสชาติของยา เยี่ยมจริงๆ!”
วัตถุดิบเหล่านี้ เนื้อเส้นต้องใช้เนื้อสันในวัวที่สดและนุ่ม แฮมก็ต้องเลือกใช้แฮมรมควันต้นตำรับเท่านั้นและไม่ใช่ไส้กรอกแฮม ปลิงทะเลและไข่หั่นฝอยค่อนข้างจะพบเห็นได้บ่อย ส่วนหูฉลาม…หลายปีมานี้รัฐบาลจีนแผ่นดินใหญ่เชิญชวนให้อนุรักษ์สิ่งแวดล้อม น่าจะต้องเลือกใช้หูฉลามที่มนุษย์เพาะเลี้ยง
ซ่งจื่อเซวียนพยักหน้าน้อยๆ “จะว่าไป ส่วนผสมทั้งหมดนี้ไม่ได้หายาก ต้าสือไต้น่าจะมี ส่วนพวกสมุนไพร…คงต้องหาเวลาไปซื้อสักหน่อย จากนั้นก็จะได้ลองทำดูสักครั้งแล้ว”
หลังจากนั้น เขาก็เดินออกมาจากห้องเล็ก ตอนนี้ฟางรุ่ยและซางเทียนซั่วก็กินเสร็จแล้ว หานหรงพูดว่า “เจ้ารอง ตอนเที่ยงกลับมากินข้าวที่บ้านเถอะ เดี๋ยวแม่จะตุ๋นมะเขือยาวไว้ให้ดีไหม”
“ดีครับๆ คุณย่าของผมทำอะไรก็อร่อยไปหมด!” ตอนนี้ซางเทียนซั่วกำลังพิงหลังพลางตบพุง ท่าทางมีความสุขหลังจากได้กินอิ่ม
“ไม่ต้องหรอกแม่” ซ่งจื่อเซวียนมองนาฬิกา พูดว่า “พวกเรายังต้องไปที่ต้าสือไต้น่ะ ได้ลดวันลาลงสักวันก็ยังดี”
“หา? อาจารย์ พวกเราพักผ่อนสักวันไม่ได้เหรอ ผมอยากกินอาหารที่คุณย่าทำนะ” ซางเทียนซั่วพูดขณะที่เอนกายอยู่
หานหรงพยักหน้า เดินเข้ามาใกล้ “นั่นสิเจ้ารอง ไม่ง่ายเลยนะที่บ้านเราจะอยู่กันพร้อมหน้าพร้อมตา เจ้าเด็กสองคนนี้ก็อยู่ ในเมื่อลาไว้แล้วก็อยู่บ้านเถอะ”
ซ่งจื่อเซวียนยิ้ม “แม่ ก่อนหน้านี้แม่ไม่ได้สอนลูกแบบนี้นี่นา แต่ก่อนแม่บอกว่าเรื่องงานเป็นเรื่องใหญ่ สายหนึ่งครั้งก็ไม่ซื่อสัตย์แล้วนี่”
ได้ยินดังนั้น หานหรงก็ถอนหายใจ “นั่นสิ…แม่แก่แล้ว โดยเฉพาะหลังจากไม่ได้ไปทำงาน ตัวเองอยู่บ้านว่างจนว้าวุ่น อยากให้พวกแกอยู่ด้วยกันพร้อมหน้าใจจะขาด ช่างเถอะแกพูดถูก ควรทำงานก็ต้องไป”
เห็นแม่เป็นอย่างนี้ ซ่งจื่อเซวียนรู้สึกแย่อยู่บ้าง ทั้งยังคิดจะอยู่ที่นี่แล้วทำให้บ้านครึกครื้น แต่ตอนนี้เพิ่งตระหนักอาหารเมนูที่สอง เขาก็รีบร้อนจริงๆ เหมือนกัน อยากทำน้ำแกงเกล็ดปลาทองห้าสายเดี๋ยวนี้ใจจะขาด
ซ่งอีหนานเดินเข้ามาใกล้แล้วพูดว่า “เจ้ารอง เรื่องจะใหญ่แค่ไหนกันเชียว แค่วันเดียวเอง อีกอย่างนายก็ลาแล้ว ทำไมถึงจะพักสักวันไม่ได้ล่ะ ร้านอาหารของพวกนายนั่นคงไม่แล้งน้ำใจขนาดนั้นมั้ง”
“พี่ ไม่ใช่เรื่องน้ำใจอะไรนั่นหรอก หลักๆ ก็คือ…”
พูดยังไม่ทันจบ โทรศัพท์ของซ่งจื่อเซวียนก็ดังขึ้น เห็นว่าถังหย่าฉีโทรมา ในใจเขาก็ตื่นเต้นขึ้นมาทันที
ต้องพูดเลยว่า หลายวันมานี้เขากับถังหย่าฉีไม่ได้ติดต่ออะไรกันเลย เขายังคิดว่าเพราะถังหย่าฉีมีแฟนแล้วใช่หรือไม่ ถึงได้ลืมเขาไปแล้ว ทุกครั้งที่นึกขึ้นมาในใจก็เจ็บปวดเหมือนโดนเข็มทิ่ม
“ฮัลโหล ซ่งจื่อเซวียน ฉัน…อยากให้นายช่วยอะไรฉันสักอย่างได้ไหม” พอรับสาย ถังหย่าฉีก็เปิดปากพูด
“ช่วย? เรื่องอะไร ถ้าฉันทำได้ ไม่มีปัญหาแน่นอน!” ซ่งจื่อเซวียนพูด
เห็นภาพนี้ ซ่งอีหนานเดินมาเอาหูเข้าไปแนบกับด้านหลังโทรศัพท์ของซ่งจื่อเซวียน ได้ยินเสียงเด็กผู้หญิง ซ่งอีหนานก็ชะงัก ป้องปากหัวเราะออกมาทันที
อย่างไรซ่งจื่อเซวียนก็อายุสิบแปดแล้ว ตอนนี้ไม่ได้เรียน อีกทั้งเงินเดือนจากการทำงานก็ไม่เลว จะคบหากับใครสักคนก็เป็นเรื่องปกติมาก
“วันนี้ฉันมีนัดเดตน่ะ อยากจะชวนนายไปกับฉันสักหน่อย ไม่รู้ว่านายสะดวกหรือเปล่า…”
“เดต? ให้ฉันไปกับเธอเหรอ” ซ่งจื่อเซวียนถาม
“ใช่ เมื่อสองวันก่อนฉันยุ่งอยู่กับเรื่องเปิดเทอมน่ะ นี่เพิ่งจะเข้าเรียนเอง เพื่อนในห้องก็จัดงานเลี้ยง แต่มันมีผู้ชายคนหนึ่งชอบมาตามติดฉัน ฉันก็เลยคิดว่า…อยากให้นายช่วยหน่อย”
ซ่งจื่อเซวียนได้ยินประโยคนี้ก็รู้สึกสบายใจขึ้นมากในชั่วพริบตา ที่แท้หลายวันมานี้ถังหย่าฉีเพิ่งจะเปิดเทอม มิน่าถึงไม่ได้สนใจตน อีกทั้งตอนนี้มีคนมาตามจีบเธออย่างเห็นได้ชัด ถังหย่าฉีจึงอยากจะให้ตนไปเป็นไม้กันหมา อย่างน้อยก็อธิบายได้ว่าเธอไม่ได้ชอบคนคนนั้น
คิดถึงตรงนี้ ซ่งจื่อเซวียนก็แอบมีความสุข พูดว่า “เหอะๆ นี่คือเธออยากให้ฉันช่วยเป็นไม้กันหมาให้เหรอ”
“ขอโทษด้วยนะซ่งจื่อเซวียน ฉันรู้ว่าเอานายมาเป็นโล่มันไม่ดี แต่ว่า…ฉันก็คิดไม่ออกจริงๆ ว่าใครจะยังช่วยฉันได้ ถึงยังไงในแวดวงของฉันมันก็ไม่ได้กว้าง ถ้าหาคนอื่นมาบางทีพวกเขาก็อาจจะรู้จัก เพราะงั้น…” เห็นได้ชัดว่าถังหย่าฉีพูดด้วยน้ำเสียงลำบากใจอยู่บ้าง
“ไม่มีปัญหา กี่โมงล่ะ” ซ่งจื่อเซวียนตอบรับอย่างสุขใจ
“ห้าโมงเย็น ที่ชิงหลงวาน เดี๋ยวสี่โมงฉันไปรับที่ต้าสือไต้นะ” ถังหย่าฉีพูด
“เหอะๆ ยังเรียกรถรับส่งจากแอปคันนั้นอีกใช่ไหม” ซ่งจื่อเซวียนพูดอย่างอดยิ้มไม่ได้
ถังหย่าฉีได้ยินก็นิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง พูดว่า “เอ่อ…จื่อเซวียน นาย นายรู้หมดแล้วเหรอ”
ซ่งจื่อเซวียนยิ้ม “เหอะๆ คนโง่ยังเดาได้เลย เอาอย่างนี้แล้วกัน เธอมารับฉันที่บ้านที่คราวก่อนมาส่งฉันนะ คนขับรถน่าจะจำได้”
“ก็ได้ งั้นอีกเดี๋ยวเจอกัน” เห็นซ่งจื่อเซวียนไม่ได้พูดอะไรมาก ถังหย่าฉีรู้สึกอายอยู่บ้าง จึงวางสายอย่างกระอักกระอ่วน
ซ่งอีหนานมองซ่งจื่อเซวียน ดวงตามีแววสอบสวนอยู่เล็กน้อย พูดว่า “เจ้ารอง นายนี่…ไม่ซื่อสัตย์เอาซะเลยนะ?”
“หา? ไม่ซื่อสัตย์อะไร พี่พูดอะไรของพี่เนี่ย” ซ่งจื่อเซวียนถอยหลังไปหนึ่งก้าว พูดอย่างเขินอาย
“หึ ฉันได้ยินหมดแล้วว่าเป็นเด็กผู้หญิง แถมยังฟังแค่น้ำเสียงก็รู้แล้วว่าเด็กผู้หญิงคนนี้สวย” ซ่งอีหนานพูดพลางเชิดหน้าขึ้น
“ใช่ครับคุณป้า อาจารย์แม่ของผมสวยมาก ป้าไม่เคยเห็น ถ้าได้เห็นต้องชอบแน่!” ซางเทียนซั่วพูดด้วยใบหน้าทะเล้น
“ใช่ที่ไหนเล่า หุบปากไปน่า!” ซ่งจื่อเซวียนพูดตะคอก
ซางเทียนซั่วได้ยินก็เบะปาก ไม่ได้พูดอะไรอีก พึมพำกับตัวเองว่า “โธ่ ใช้อำนาจบาตรใหญ่ ไม่ยอมให้คนพูดแล้วยังจะ”
ฟางรุ่ยยิ้ม “ปากแกนี่ มีแค่นายท่านรองที่ปิดได้!”
“แกหุบปากไปเลย อยากให้ฉันเปิดโปงประวัติแกใช่ไหม”
ได้ยินดังนั้น ฟางรุ่นก็ก้มหน้าก้มตาไม่พูดอะไร แต่ในใจรู้สึกโกรธ ไอ้หมอนี่คิดจะกัดเรื่องนี้ไม่ปล่อยเลย…
“เจ้ารอง ตอบมาตรงๆ บอกพี่สาวนายมาซิ นั่นคือแฟนนายใช่ไหม” ซ่งอีหนานถาม
ซ่งจื่อเซวียนถอนหายใจเฮือกใหญ่ พูดว่า “พี่สาวของผมนี่หนอ วันนี้พี่เพิ่งกลับมาบ้านก็คิดซักผมแล้วใช่ไหม พักสักหน่อยเถอะ”
“อย่างนั้นนายก็พูดมาว่าใช่ไม่ใช่!” ซ่งอีหนานไม่ยอมอย่างชัดเจน
“โธ่ ไม่ใช่ ยังทำอะไรไม่ถึงไหนเลย จะเอาแฟนมาจากไหน เป็นอย่างนั้นจริงๆ นะ…” ซ่งจื่อเซวียนพูดอย่างร้อนใจ “เอาล่ะ ผมจะไปบ้านตาเฒ่าฟางแล้ว รุ่ยจื่อ เทียนซั่ว นายสองคนอยู่ที่บ้านแล้วกัน ตอนเที่ยงกินมะเขือตุ๋นที่แม่ฉันทำ”
พูดจบ ซ่งจื่อเซวียนก็เดินออกไป แต่ซางเทียนซั่วกับฟางรุ่ยก็ลุกขึ้นพร้อมกัน ตามออกมาด้วย
“อาจารย์ พาผมไปด้วย!”
“นายท่านรอง ผมก็จะไป!”
ถึงอย่างไรเด็กสองคนนี้ อยู่ในบ้านกับผู้หญิงสองคนก็รู้สึกกระอักกระอ่วน จึงถือโอกาสตามออกไปเสียเลย
ซ่งอีหนานยืนอยู่ที่เดิม พูดทวน “ยังทำอะไรไม่ถึงไหน…ก็คือชอบเขาน่ะสิ แม่ เจ้ารองออกเดตแล้วเหรอ”
“อะไรนะ ไม่เห็นเขาจะพูดเลย เด็กคนนี้ ทั้งวันก็หาตัวจับไม่ได้ ใครจะรู้ว่าวันๆ ทำอะไรบ้าง!” หานหรงบ่น
ซ่งอีหนานหัวเราะออกมา พูดว่า “ฮ่าๆ อย่าว่าแต่แม่พูดแบบนี้เลย ถ้าเจ้ารองพากลับบ้านมาคนหนึ่งจริงๆ แม่ได้รู้สึกภูมิใจแน่!”
หานหรงได้ยินก็กลอกตาใส่ซ่งอีหนาน แต่ก็ยังอดยิ้มไม่ได้
…………………………………..
[1] ตังเซียม (党参) หรือตานเซิน เป็นพืชที่ใช้รากเป็นยาในตำรายาจีน เป็นพืชท้องถิ่นในจีนและญี่ปุ่น รากเปลือกนอกสีน้ำตาล หยาบเป็นรอยย่น ใช้เป็นยากระตุ้นการไหลเวียนเลือด ใช้รักษาฝี
[2] อึ่งคี่ (黄芪) หรือหวงฉี ลักษณะเป็นแท่ง อาจแตกแขนง ผิวสีเหลืองอมน้ำตาลอ่อนๆ มีรอยย่นหรือร่องตามแนวยาวเรียงไม่เป็นระเบียบ เนื้อแข็ง เหนียว มีผงแป้ง มีกลิ่นอ่อนๆ รสหวานเล็กน้อย เมื่อเคี้ยวจะได้กลิ่นและรสถั่วอ่อนๆ
[3] ซานชี (三七) หรือเถียนชี เป็นไม้ยืนต้น แต่ละต้นมีกิ่ง 3 กิ่ง แต่ละกิ่งมีใบไม้ 7 ใบ มีสรรพคุณช่วยสร้างเลือดและห้ามเลือด และฟื้นฟูเลือดโดยสลายพิษภัยในเลือด แก้อักเสบและบรรเทาอาการเจ็บปวด เป็นส่วนประกอบสำคัญของยาจีนสำเร็จรูปหยุนหนาน ไป๋เย่า หรือยาขาวยูนนาน