เส้นทางเศรษฐีของ(ว่าที่)เชฟเหรียญทอง - ตอนที่ 86 หมั่นโถวก็พอ
ตอนที่ 86 หมั่นโถวก็พอ
ซ่งจื่อเซวียนหัวเราะลั่นขนาดนี้ ซางเทียนซั่วที่กำลังหลับสนิทเกือบจะล้มลงกับพื้น เขาลุกขึ้นอย่างรวดเร็ว สูดลมหายใจลึกทันที “เกิดอะไรขึ้น มีอุบัติเหตุบนรถไฟงั้นเหรอ”
เขายืนขึ้นทั้งอย่างนั้น กลายเป็นจุดสนใจของทั้งขบวนรถ คนไม่น้อยต่างหัวเราะออกมา
แต่ซ่งจื่อเซวียนกลับไม่ได้รู้สึกอะไรเลยสักนิด ขณะที่ตื่นเต้นอยู่ เขาก็พูดว่า “คราวนี้ไม่มีปัญหาแล้ว ฉันจัดแจงได้แล้วจริงๆ ถูกต้อง จะต้องเป็นอย่างนี้แน่นอน!”
“หา? อะไรยังไง เกิดอะไรขึ้นเหรออาจารย์” ซางเทียนซั่วถามพลางขยี้ตา
ในที่สุดซ่งอีหนานที่อยู่ใกล้ๆ ก็เอ่ยปาก “นั่นสิ เจ้ารอง นายเป็นอะไร ทำไม…ถึงพูดไปเรื่อยล่ะ”
ซ่งจื่อเซวียนยิ้ม เขารู้ดีว่าซ่งอีหนานกับซางเทียนซั่วไม่รู้ว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่แน่นอน และก็ไม่ได้อธิบายออกไป แต่ในใจกลับมีความสุขมาก ตอนนี้ขอแค่ถึงตู้เหมินแล้วเทียบเนื้อหาส่วนหน้าส่วนหลังดูว่าจำผิดหรือไม่ก็พอแล้ว ถ้าไม่ได้ผิด อย่างนั้นก็แปลว่าเขาตระหนักอาหารเมนูที่สองออกมาได้แล้ว!
ซ่งจื่อเซวียนกลับไปนั่ง พูดว่า “ไม่มีอะไรหรอก พี่ ครั้งนี้เรื่องที่หลานหยวนถือเป็นบทเรียน จากนี้พี่ก็อย่าหูเบาเชื่อคนง่ายเกินไปล่ะ”
ซ่งอีหนานตอนนี้ไม่ได้ดื้อรั้นอย่างเมื่อวานแล้ว เธอพยักหน้า “วางใจเถอะ เรื่องเซินซวี่ก็ทำให้ฉันมองคนอย่างเขาออกแล้ว บางที…ฉันใช้อารมณ์ความรู้สึกมากเกินไป”
“การมองใครสักคนออกไม่ได้หมายความว่าคนสองคนมีความสุขก็พอแล้วหรอกนะ ความจริงบางครั้งที่เขาโมโหอาจจะเป็นตอนที่เขาระเบิดนิสัยเดิมออกมามากที่สุดก็ได้ พี่ ครั้งนี้พี่กลับไปดูแลแม่ที่บ้านก่อน แม่กลับมาคราวนี้เหมือนจะแก่ขึ้นมาก ผมคิดๆ แล้วก็ปวดใจ” ซ่งจื่อเซวียนเม้มปาก นึกถึงหานหรง เขาก็รู้สึกปวดแปลบ
ซ่งอีหนานก็เหมือนกัน สีหน้าก็แฝงความรู้สึกขอโทษไว้ “ฉันรู้แล้ว เจ้ารอง พี่เจอนายคราวนี้รู้สึกว่านายเปลี่ยนไปเยอะเลย โตขึ้นมากแล้วจริงๆ งานนายเป็นยังไงบ้าง แม่บอกตลอดว่างานของนายดีมาก แต่ว่าก็อย่าทำพลาดนะ ตั้งใจทำงานให้ดีๆ”
“แค่กๆ เรื่องนี้พี่วางใจก็พอแล้ว น้องชายพี่มีความสามารถที่จะเลี้ยงดูสาวๆ แม่ลูกได้อยู่แล้ว ช่วงนี้พี่ก็ใจเย็นๆ หลังจากนี้ดีขึ้นเมื่อไรค่อยให้ผมหาพี่เขยดีๆ สักคน” ซ่งจื่อเซวียนพูดด้วยรอยยิ้ม
เห็นซ่งจื่อเซวียนยิ้ม ซ่งอีหนานถึงได้รู้สึกเหมือนยกภูเขาออกจากอก เธอยิ้ม “เอาสิ หลังจากนี้เรื่องพวกนี้พี่คงจะมีลำดับความสำคัญแล้วล่ะ แล้วนายเป็นยังไง มีสาวคบบ้างหรือยัง”
ได้ยินดังนั้น ซ่งจื่อเซวียนก็ชะงัก ตอบไปว่า “แฟน…เหมือนว่า…จะไม่มีนะ”
ขณะพูด เขาก็คิดในใจ กลับมีคนคนหนึ่งที่ทำให้เขาคิดถึงอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน แม้กระทั่งตอนที่อ่านสูตรอาหารทุกครั้ง ก็อดนึกถึงเธอคนนั้นขึ้นมาไม่ได้เลย…
เห็นท่าทางของซ่งจื่อเซวียน ซ่งอีหนานก็พูดหยอกล้อ “ไม่มี…งั้นเหรอ คิกๆ พูดมา เด็กอย่างนายมีสาวที่ชอบแล้วใช่ไหม บอกพี่มานะ”
ซ่งจื่อเซวียนอดเกาหัวยิกๆ ไม่ได้ “โธ่ ผมก็ไม่รู้ พี่อย่าเพิ่งถามเลย ถ้าเป็นเรื่องอย่างนั้นจริงๆ ผมจะบอกพี่แน่นอน”
ทั้งสองกำลังพูดคุยกัน ซางเทียนซั่วที่อยู่ข้างๆ ก็ขยับเข้ามาพูดว่า “ป้า อาจารย์ของผมน่ะมีแฟน อาจารย์แม่ของผมไง!”
“ป้า? อาจารย์แม่?” ซ่งอีหนานชะงัก ความจริงแล้วเมื่อครู่ตอนที่อยู่ในชุมชนซางเทียนซั่วก็เรียกเธอว่าป้า แต่ตอนนั้นสภาพจิตใจย่ำแย่เกินไปจึงไม่ได้สังเกตเท่านั้น
“พี่ เขาเป็นลูกศิษย์ผม เจ้านี่ชอบคิดเรื่องลำดับอาวุโสสุดๆ เขาเรียกแม่เราว่าคุณย่า เรียกตาเฒ่าฟางว่าท่านทวด ตอนนี้ถึงได้เรียกพี่ว่าป้า…”
ซ่งจื่อเซวียนพูดจบ หลายคนก็พากันหัวเราะ
“โธ่ เรื่องคราวนี้กะทันหันเกินไป ยังไม่ทันได้บอกลาเสี่ยวเป่าเลย ไม่รู้ว่าพวกเขาเป็นยังไงกันบ้างแล้ว” ซ่งจื่อเซวียนเอ่ย
“นายท่านรอง ผมกับอวี่เหวินเซี่ยวแลกช่องทางติดต่อกันไว้แล้ว คุณจะถามเขาหน่อยไหม” ฟางรุ่ยเอ่ยถาม
ซ่งจื่อเซวียนชะงัก “พวกนายแลกช่องทางติดต่อกันแล้วเหรอ อ้อ จริงสิ เหอะๆ พวกนายเป็นยอดฝีมือกันทั้งคู่นี่เนอะ ไม่ต้องติดต่อไปน่าจะดีกว่า ก่อนหน้านี้ก็บอกลากันได้ ตอนนี้ติดต่อไปก็เหมือนจะไปเค้นถามเขามากกว่า ในเมื่อเขาไม่สะดวกพูดก็ช่างเถอะ”
การพบกันที่หลานหยวนคราวนี้ ทำให้ซ่งจื่อเซวียนกระทั่งประหลาดใจอยู่บ้าง กู่เสี่ยวเป่าตอนนี้ยังเป็นเด็กขอทานคนที่ตนเองรู้จักอยู่หรือไม่ ครั้งแรกที่เขาเป่านกหวีด อวี่เหวินเซี่ยวก็ปรากฏ และหลังจากนั้นครั้งที่สอง เขาเป่านกหวีดอีกครั้งก็แทบจะเรียกขอทานทั้งหมดในพื้นที่นั้นมาได้
ถ้าเขาเป็นเด็กขอทานจริงๆ คงจะไม่ใช่เด็กขอทานธรรมดาล่ะมั้ง
ไม่นานนัก รถไฟก็จอดที่สถานีรถไฟเมืองตู้เหมิน ทันทีที่ถึงสถานี ซ่งจื่อเซวียนก็ถอนหายใจอย่างโล่งอก ทริปหลานหยวนครั้งนี้นับว่าจบลงแล้ว
เดินออกมาจากสถานี ซางเทียนซั่วก็ไปเรียกรถแท็กซี่ ซ่งจื่อเซวียนพูดว่า “รุ่ยจื่อ บ้านนายอยู่ที่ไหนล่ะ”
ฟางรุ่ยที่ถูกถามก็ชะงักไป “ผม…ผมอยู่ที่ชานเมืองทางตอนเหนือน่ะ แต่ก่อนหน้านี้อยู่กับเสี่ยซานมาตลอด เพราะงั้น…”
ได้ยินดังนั้น ซ่งจื่อเซวียนก็ครุ่นคิด “รุ่ยจื่อ นายคิดจะทำยังไงหลังจากนี้”
“ติดตามนายท่านรองครับ!”
“นายคิดจะติดตามฉันแบบนี้จริงๆ เหรอ ฉันเป็นเชฟนะ” ซ่งจื่อเซวียนรู้สึกไม่เข้าใจจริงๆ ถึงอย่างไรก็เหมือนว่าตนเองจะให้อะไรกับฟางรุ่ยไม่ได้เลย
“ไม่ว่าจะเป็นเชฟหรือเป็นอะไร นายท่านรอง ผม รุ่ยจื่อเชื่อมั่นในตัวคุณ ต่อให้ไม่ได้เงินผมก็จะติดตามนายท่านรอง!”
ซ่งจื่อเซวียนกัดริมฝีปากเบาๆ นิ่งเงียบไปหลายวินาที พูดว่า “เอาอย่างนี้ รุ่ยจื่อ ถ้านายยินยอม ก็ไปที่ร้านอาหารกับฉันตามปกติ ทางต้าสือไต้มีคนอื่นดูแลจัดการ ฉันก็เป็นผู้นำไม่ไหว แต่มีอยู่ที่หนึ่งที่ฉันเป็นผู้นำ ให้เงินเดือนนายได้”
ที่ซ่งจื่อเซวียนพูดมาทั้งหมดย่อมหมายถึงร้านอาหารร่ำรวยของทางเสี่ยเฉิงปาที่กำลังตกแต่งอยู่ ที่นั่นเขาลงทุนกับเฉิงปาคนละครึ่ง มอบหมายงานให้ใครสักคนเขาก็สามารถตัดสินใจได้
“เชื่อฟังนายท่านรองทั้งหมดครับ!”
ซ่งจื่อเซวียนพยักหน้า “งั้นเอาอย่างนี้ สองวันนี้นายกลับชานเมืองทางตอนเหนือไปก่อน ไปดูครอบครัว หลังจากนั้นค่อยมาหาฉันที่ต้าสือไต้”
“ก็ได้ครับ แต่ว่า…” ฟางรุ่ยขมวดคิ้วเล็กน้อย พูดว่า “นายท่านรอง บ้านผมไม่มีคนอื่น เป็นแค่ห้องว่างๆ ห้องหนึ่ง ถ้าเป็นไปได้ ผมอยากเช่าห้องใกล้ๆ คุณ วันข้างหน้าถ้าคุณมีอันตรายอะไรขึ้นมา ผมก็มาหาได้ง่าย”
ได้ยินเขาตอบมาแบบนี้ ซ่งจื่อเซวียนก็รู้สึกแย่เล็กน้อย ดูท่าฟางรุ่ยจะเป็นคนหัวเดียวกระเทียมลีบ เพิ่งจะอายุยี่สิบกว่าปีเอง แต่ละคนมีเรื่องโชคร้ายเป็นของตัวเองจริงๆ
“เอาอย่างนี้แล้วกันฟางรุ่ย วันนี้นายตามฉันมาก่อน มื้อเย็นก็ไปกินข้าวที่บ้านฉัน จากนั้นหาโรงแรมอยู่ใกล้ๆ ก่อน แล้วพวกเราค่อยๆ หาห้องเช่า เรื่องเงินฉันรับผิดชอบเอง!” ซ่งจื่อเซวียนพูด
ได้ยินดังนั้น ซ่งอีหนานก็แอบจิ้มบั้นเอวของซ่งจื่อเซวียน พูดกระซิบว่า “เจ้ารอง นายอย่าหน้าใหญ่ใจโตไป นายมีเงินเท่าไร มีใช้ขนาดนั้นได้ที่ไหน”
ซ่งจื่อเซวียนยิ้ม ไม่ได้ตอบกลับ ฟางรุ่ยกลับพูด “ไม่ต้องหรอกนายท่านรอง เรื่องเงินนี่ผมยังรับผิดชอบไหว ก่อนหน้านี้ที่อยู่กับทางเสี่ยซาน แต่ละเดือนยังมีรายได้สองสามหมื่นน่ะครับ”
ซ่งอีหนานผงะ ในความทรงจำของเธอรายได้สองสามหมื่นหยวนน่าจะเป็นจำนวนเงินที่สูงเสียดฟ้าแล้ว รวมถึงตอนที่อยู่กับเซินซวี่ เธอก็ไม่เคยถามเซินซวี่ว่าได้เงินเท่าไรมาก่อนเลย แนวความคิดเรื่องเงินเดือน…สำหรับเธอแล้ว มีเงินเดือนหนึ่งหมื่นหยวนได้ก็สูงมากแล้วจริงๆ
ถ้าเธอรู้ว่าซ่งจื่อเซวียนมีเงินเดือนเดือนหนึ่งแปดหมื่นหยวน เดาว่าได้ตกใจจนเป็นลมแน่ๆ…
ไม่นานนัก ซางเทียนซั่วก็เรียกรถมาได้แล้ว พวกเขานั่งรถออกมาจากสถานีรถไฟ
ซ่งจื่อเซวียนตัดสินใจจะส่งซ่งอีหนานกลับไปก่อน จากนั้นตนค่อยไปตรวจสอบเนื้อหาสูตรอาหารสักหน่อย ตอนนี้ฟ้าเพิ่งจะสาง รออ่านสูตรอาหารจบค่อยไปต้าสือไต้ ไม่เพียงแค่ได้ลดวันลาหยุดหนึ่งวัน ถ้าตนเข้าใจสูตรอาหารเมนูที่สองจริงๆ ยังสามารถถือโอกาสลองทำสักหน่อยได้!
อดกลั้นมานานขนาดนี้ในที่สุดก็มีแววจะบรรลุ ความตื่นเต้นนี้สำหรับซ่งจื่อเซวียนแล้วเป็นเรื่องหาที่เปรียบไม่ได้อย่างเห็นได้ชัด
นั่งรถจนถึงที่บ้านก็เป็นเวลาหกโมงกว่าๆ แล้ว จากความเข้าใจของซ่งจื่อเซวียน ตอนนี้หานหรงคงตื่นนานแล้ว หลายปีมานี้ แม่ตื่นเช้ามากทุกวัน ไม่ว่าจะเป็นตอนที่เขายังเรียนอยู่หรือจะทำงาน ทุกวันลืมตาขึ้นมาอาหารเช้าก็วางอยู่บนโต๊ะหมดแล้ว
อย่างไรก็ตาม ซ่งจื่อเซวียนก็ยังเปิดประตูเบาๆ อย่างระมัดระวัง กลัวว่าจะรบกวนหานหรง
ขณะที่เปิดประตู ซ่งจื่อเซวียนก็ได้กลิ่นหมั่นโถวโชยมา เขายกยิ้มกว้าง “แม่ เช้าขนาดนี้ก็นึ่งหมั่นโถวเสร็จแล้วเหรอ”
เขาเพิ่งจะพูดจบ ในครัวก็มีเสียงหานหรงดังออกมา “แกไอ้ลูกเวร เมื่อคืนไม่กลับบ้าน แกไปทำอะไรมา แล้วไม่บอกกันสักคำ อยากให้แม่กังวลจนตายเลยใช่ไหม!”
หานหรงพูดพลางเดินออกมาจากห้องครัว สีหน้ากังวล แต่ยังถือไม้นวดแป้งไว้ในมือ สำหรับเจ้าไม้นวดแป้งอันนี้ซ่งจื่อเซวียนใช่ว่าจะไม่คุ้นเคย ตอนเด็กๆ ทุกครั้งที่ไม่เชื่อฟัง แม่เขาก็จะหยิบเจ้าสิ่งนี้มาทักทายเขาตลอด
ซ่งจื่อเซวียนผงะ “ลูก…แม่ แม่อย่าร้อนใจสิ อย่านะ…”
หานหรงไม่แม้แต่จะสนใจ เธอเงื้อไม้นวดแป้งตีแขนซ่งจื่อเซวียน “แกพูดอะไรไร้สาระ ฉันจะไม่ร้อนใจได้ยังไง ฉันไม่ตีแกก็ปีกกล้าขาแข็ง แถมยังรู้จักไม่กลับบ้านมาทั้งคืนอีก!”
ถึงหานหรงจะค่อนข้างปล่อยให้ซ่งจื่อเซวียนทำตามใจตนเอง แต่ถึงอย่างไรก็เกิดมาในครอบครัววิชาการ ยังคงค่อนข้างเข้มงวดเรื่องกฎระเบียบ โดยเฉพาะเรื่องไม่กลับบ้านทั้งคืน ถือเป็นเรื่องใหญ่สำหรับเธอ กลับบ้านตอนหัวค่ำเรียกว่าคนประพฤติตัวดี ไม่กลับบ้านคือทำตัวไม่เหมาะสม!
“แม่ แม่ดูสิ…ลูกก็โตขนาดนี้แล้วนะ บอกว่าจะตีก็ตีได้ยังไงกัน”
“เพ้อเจ้อ ไม่ตีแกจะยังปล่อยแกได้ยังไง จะโตแค่ไหนก็เป็นลูกชายฉัน หิวไหม รีบไปล้างมือกินข้าว เดี๋ยวฉันค่อยซักฟอกแก!” หานหรงพูดพลางเดินไปที่ครัวด้านหลัง
“แหะๆ แม่ก็ยังเป็นแม่อยู่ดี ลูกเดินเข้าประตูมาก็ได้กลิ่นหมั่นโถวแล้ว หอมจริงๆ เลย ทำให้ลูกเหรอ”
“ทำให้ขอทานกินต่างหาก!” หานหรงพูดใส่อารมณ์
“ก็ได้ ลูกชายแม่ก็เหมือนขอทานใช่ไหม”
“กวนฉันให้มันน้อยๆ หน่อย ดูแกสิสกปรกไปทั้งตัว รีบถอดมาให้ฉันซักเลย เร็วเข้า!” หานหรงพูดพลางเอาหมั่นโถวกับโจ๊กขึ้นโต๊ะ
ซ่งจื่อเซวียนพูดด้วยรอยยิ้ม “อย่ารีบสิ หมั่นโถวแม่นี่มีพอไหม ลูกพาคนมาเยอะนะเนี่ย!”
ซ่งจื่อเซวียนพูดพลางเดินเข้ามา ถึงได้เผยให้เห็นซ่งอีหนานที่ยืนอยู่ด้านหลังเขา ก่อนจะเดินเข้ามาทั้งสองตกลงกันเรียบร้อยแล้วว่าจะให้ซ่งจื่อเซวียนไกล่เกลี่ยให้ก่อน ไม่อย่างนั้นซ่งอีหนานคงยังกระดากอายที่จะเจอแม่ของตน
หานหรงได้ยินดังนั้นก็เงยหน้าขึ้นมามองซ่งอีหนาน ขณะที่แม่กับลูกสาวสบตากัน ตาก็พร่ามัวไปหมดทันที
หานหรงกลืนน้ำลายอย่างแรง พลันก้มหน้าไม่มองบุตรสาว การทะเลากันที่หลานหยวนนั้น ทำเอาใจแม่คนนี้แตกสลายจริงๆ
ซ่งอีหนานเห็นท่าทางเช่นนั้นก็ร้องไห้ออกมาทันที สาวเท้าเร็วรี่ เข้าไปกอดหานหรงจากด้านหลัง พูดพลางร่ำไห้ “แม่ หนูผิดไปแล้ว หนูผิดเองทั้งหมดเลย หนูรู้ว่าหนูทำให้แม่เสียใจ หลังจากนี้หนูจะไม่ทำอีกแล้ว…”
ถูกลูกสาวกอดขนาดนี้ น้ำตาของหานหรงก็พรั่งพรูออกมา เธอหันมากอดลูกสาวไว้ในอ้อมอก พูดทั้งน้ำตา “แกมันเด็กสมควรตาย แม่บอกให้แกกลับมาก็ไม่ฟัง แกไม่ยอมฟัง ฉันโมโหเกือบตายแล้ว!”
หานหรงพูดไปพลาง มือก็ตีไปที่หลังของลูกสาว แต่ทุกครั้งที่ตีกลับเบากว่าที่ตีซ่งจื่อเซวียน แฝงความรักของมารดาไว้เต็มเปี่ยม
เห็นภาพนี้ ซางเทียนซั่วก็อดน้ำตาหยดลงมาไม่ได้ “เชี่ย โคตรจับใจเลย คุณย่าผมกับคุณป้าผมดีกันแล้ว ผมรับภาพนี้ไม่ไหวสุดๆ เลย”
ปล่อยให้แม่กับลูกสาวร้องไห้กันสักพัก ซ่งจื่อเซวียนถึงได้เช็ดน้ำตา “พอแล้วแม่ พวกเราหิวจะตายแล้ว ยังมีหมั่นโถวอยู่ไหม พวกเรากินกันก่อนแล้วแม่กับพี่ค่อยคุยกันได้ไหม”
หานหรงเช็ดน้ำตาสูดน้ำมูก พูดด้วยรอยยิ้มว่า “โธ่เอ๊ย ฉันลืมไปเลย รีบเข้ามาเร็วเข้า หมั่นโถวนี่ก็พอแล้ว เดี๋ยวฉันจะทำไข่คนให้พวกแกอีก!”
ทุกคนนั่งลง รุ่ยจื่อหยิบหมั่นโถวขึ้นมากัดหนึ่งคำ พูดว่า “นายท่านรอง ขอบคุณนะครับ ไม่ได้กินหมั่นโถวที่บ้านมานานแล้ว…”
………………………………………….