เส้นทางเศรษฐีของ(ว่าที่)เชฟเหรียญทอง - ตอนที่ 85 แบบนี้แหละ
ตอนที่ 85 แบบนี้แหละ
เมื่อเห็นซ่งจื่อเซวียน น้ำตาของซ่งอีหนานยิ่งกลั้นไว้ไม่อยู่ เวลานี้กระทั่งร้องไห้โฮเสียงดัง
เสียงร้องไห้นั้นชัดเจนว่ามีทั้งตกใจและเสียใจ ตกใจเพราะเดิมทีคิดว่าซ่งจื่อเซวียนขาหักไปแล้วจริงๆ ตอนนี้พอได้เห็นน้องชายซ่งอีหนานจึงตื่นเต้นดีใจมาก ส่วนที่เสียใจเป็นเพราะตัวเองไม่น่าทะเลาะกับน้องชายเพื่อผู้ชายที่ตบตีตัวเองคนนี้ แน่นอนว่าเสียงร้องไห้นี้ยิ่งเต็มไปด้วยความหวาดกลัว เพราะอย่างไรเธอก็เป็นเพียงผู้หญิงคนหนึ่ง
และเซินซวี่ก็ตกใจเช่นกัน ให้ตายอย่างไรเขาก็ไม่เชื่อว่าตอนนี้ซ่งจื่อเซวียนจะมาปรากฏตัวในบ้านของเขา
เดิมทีคิดว่าที่นี่คือถิ่นของตัวเอง วันนี้ต่อให้ตบตีผู้หญิงคนนี้จนตายก็ไม่มีใครสน ทว่า…คนที่ปกป้องเธอกลับปรากฏตัวขึ้นมา อีกทั้งยังอยู่ในบ้านของตัวเองอีกด้วย
ซ่งอีหนานอาศัยจังหวะนี้ ผลักเซินซวี่ออกไปเต็มแรง รีบวิ่งไปอยู่ตรงหน้าซ่งจื่อเซวียน สวมกอดน้องชายทันที พร้อมกับร้องไห้โฮออกมา
ซ่งจื่อเซวียนรีบตบหลังซ่งอีหนานเบาๆ “พี่ ไม่เป็นไรแล้ว วางใจได้ ผมมาแล้ว!”
พูดจบ ซ่งจื่อเซวียนก็ส่งตัวซ่งอีหนานให้ซางเทียนซั่วที่อยู่ข้างหลัง “เทียนซั่ว ดูเธอให้ดี!”
“วางใจได้ครับอาจารย์!”
จากนั้น ซ่งจื่อเซวียนจึงค่อยๆ เดินไปหาเซินซวี่ ในแววตานั้นแฝงไปด้วยจิตสังหารอันโหดเหี้ยม สายตาเช่นนี้ดูเหมือนตั้งแต่เด็กจนโตจะเคยปรากฏในดวงตาของเขาเป็นครั้งแรก
“เซินซวี่ ฉันเตือนแกไปแล้ว ฉันสั่งให้แกมาพูดกับพี่สาวของฉันให้ชัดเจน แต่แกกลับพูดแบบนี้ใช่ไหม”
ซ่งจื่อเซวียนพูดพลางเดินเข้าไปใกล้ทีละนิด ถึงแม้จะไม่ใช่ยอดฝีมือ แต่มาดนิ่งเฉยที่น่าเกรงขามแบบนั้นกลับทำให้เซินซวี่ต้องถอยหลังทีละก้าว เผยสีหน้าหวาดกลัวออกมา
เซินซวี่ส่ายหน้าอย่างแรง เหมือนกำลังปฏิเสธอะไรบางอย่าง แต่ดูเหมือนส่วนลึกในใจกำลังบอกว่าอย่าเข้ามาใกล้อีก…
“ไม่…ไม่ใช่อย่างนั้น…นายอย่า…”
“แกไม่ได้พูดใช่ไหม” ซ่งจื่อเซวียนถามต่อ ถึงแม้จะไร้ซึ่งอารมณ์บนใบหน้า แต่ความเย็นชากลับกดดันถึงขีดสุด “ไม่ใช่แค่ไม่พูด แกยังหาคนไปจัดการฉันด้วย ได้ยินว่าจะหักขาฉันข้างหนึ่งใช่ไหม”
“ไม่ๆๆ น้องชาย นายอย่าทำแบบนี้…”
เพียะ! เขาตบหน้าเซินซวี่หนึ่งที!
“เรียกฉันว่าน้องชายงั้นเหรอ” ซ่งจื่อเซวียนถลึงตาถามเขา
“ฉัน…ไม่ๆ พี่ชายอย่า…อย่าเข้ามา!” ระหว่างที่ถอยหลัง เซินซวี่ก็ถอยไปจนติดกำแพงแล้ว เห็นได้ชัดว่าหมดทางหนี
“แต่เรื่องพวกนี้ฉันยังพอทนได้ ประเด็นสำคัญคือแกตบพี่สาวของฉัน” ซ่งจื่อเซวียนพ่นลมหายใจออกมาหนึ่งทีแล้วหันไปมองซ่งอีหนาน “พี่ เขาตบพี่ยังไงบ้าง”
ซ่งอีหนานร้องไห้สะอึกสะอื้นไปนานแล้ว ได้ยินแบบนี้เธอจึงหยุดพักหนึ่ง อย่างไรลึกๆ ในใจก็ยังรู้สึกดีต่อเซินซวี่อยู่บ้าง จึงรู้สึกสับสนอย่างเลี่ยงไม่ได้ ทว่าหลังจากที่สับสนอยู่ในใจแล้วก็แสดงสีหน้าโกรธเคืองออกมา “เขาตบหน้าพี่ ลากพี่ออกมาจากโซฟาแล้วเตะไปตรงทีวี แล้วยังอยากจะเอาแจกันดอกไม้มาฟาดพี่อีก…”
“ไม่ อีหนาน…ผมไม่ได้ตั้งใจ คุณให้อภัยผมเถอะ…” เวลานี้ เซินซวี่ก็น้ำตาคลอเบ้าแล้ว แต่ซ่งจื่อเซวียนไม่คิดว่าน้ำตานี้เกิดขึ้นจากความเสียใจ เป็นเพียงน้ำตาของความกลัวในตอนนี้เท่านั้น
ซ่งจื่อเซวียนกัดริมฝีปากอย่างแรง ทันใดนั้นจึงพยักหน้า “ดีมาก!”
พอสิ้นเสียง เขาจึงยกมือขึ้นแล้วตบลงไป
เพียะๆๆๆ!!!!
ถึงแม้จะไม่ใช่คนที่ฝึกศิลปะการต่อสู้ใดๆ แต่ซ่งจื่อเซวียนก็เป็นหนุ่มอายุสิบแปดสิบเก้าปี ตบหน้าติดต่อกันสี่ครั้งถึงขั้นทำให้เซินซวี่มึนไปทีเดียว
เซินซวี่ตัวโอนเอนเล็กน้อย รู้สึกมีดาวระยิบระยับอยู่ตรงหน้า อยากจะพูดอะไรบางอย่าง แต่ในหัวมีเพียงเสียงดังหวึ่ง จึงไม่ได้เอ่ยปากพูด
ทว่าไม่รอให้เขาได้สติกลับมา ซ่งจื่อเซวียนก็เดินไปข้างหน้า จับคอเสื้อของเขาไว้แล้วลากมาจนหลังของเขาติดกับโทรทัศน์ จากนั้นยกเท้าเตะเขาออกไปทันที
เซินซวี่เวลานี้เหมือนกับซ่งอีหนานเมื่อครู่ โดนเตะไปด้านหลังเต็มแรง เกิดเสียงดังโครมตอนที่กระแทกโดนโทรทัศน์ แต่ซ่งจื่อเซวียนเตะครั้งนี้ดูจะแรงยิ่งกว่า เซินซวี่กระแทกใส่จนโทรทัศน์บนผนังร่วงลงมา หล่นใส่ศีรษะของเขาเลือดไหลออกมาทันที
เมื่อเห็นฉากนี้ ซางเทียนซั่ว ฟางรุ่ยและซ่งอีหนานต่างงงกันหมด พวกเขาไม่เคยเห็นซ่งจื่อเซวียนโกรธขนาดนี้มาก่อน เมื่อก่อนถึงแม้จะต่อสู้กับนักเลงก็ไม่เคยคล่องแคล่วขนาดนี้…
โดยเฉพาะซ่งอีหนาน ในความทรงจำของเธอ ซ่งจื่อเซวียนเคยออกโรงช่วยเพียงครั้งเดียวคือช่วงวัยเด็กที่เห็นตนโดนรังแก ผลปรากฏว่าเขาพุ่งออกไป แต่เนื่องจากยังเด็กอยู่มาก สุดท้ายจึงโดนอีกฝ่ายต่อยไปหนึ่งยก
เมื่อเห็นน้องชายปกป้องตัวเองอีกครั้ง ซ่งอีหนานจึงร้องไห้น้ำตาไหลไม่หยุด ในใจก็เข้าใจแล้วว่าตัวเองผิดจริง
มองดูเซินซวี่ใบหน้ามีเลือดอาบ ซ่งจื่อเซวียนสูดลมหายใจลึกๆ สีหน้าเหมือนคนเลือดเย็น ไม่มีการตอบสนองแต่อย่างใด
เซินซวี่เจ็บจนไม่อาจขยับตัวได้ ยกมือโบกไปมา พูดเบาๆ “อย่า อย่าต่อยฉันเลย ฉันผิดไปแล้ว…ยอมแล้ว…”
ซ่งจื่อเซวียนได้ยินก็แค่นหัวเราะ “ยอมงั้นเหรอ เมื่อกี้พี่สาวของฉันก็ยอมแล้ว แกหยุดมือไหม ถ้าไม่ใช่เพราะฉันเข้ามา…”
พูดได้ครึ่งหนึ่ง ซ่งจื่อเซวียนก็หยิบแจกันดอกไม้ข้างๆ ขึ้นมา ถลึงตาทั้งสองข้าง “แจกันดอกไม้นี่คงแตกบนหัวเธอแล้วใช่ไหม”
เมื่อเห็นฉากนี้ ทุกคนตระหนักถึงบางสิ่งบางอย่าง ซ่งจื่อเซวียน…กะเล่นเอาตายจริงๆ ตอนนี้เขากล้าฟาดแจกันดอกไม้นี้จริงๆ!
“เจ้ารอง อย่า…”
ซ่งจื่อเซวียนมองไปทางซ่งอีหนาน “พี่ พี่สงสารเขาเหรอ”
ขณะที่พูด ซ่งจื่อเซวียนมีสีหน้าโกรธอย่างเห็นได้ชัด ซ่งอีหนานรีบส่ายหน้า “เปล่า…แต่พี่ไม่อยากให้นายมีปัญหา…”
ซ่งจื่อเซวียนลังเลอยู่พักหนึ่ง ฟางรุ่ยก็เอ่ยขึ้นมา “นายท่านรอง ถ้าจะลงมือจริงๆ ให้ผมทำดีกว่า คุณจะมีปัญหาไม่ได้”
ซ่งจื่อเซวียนมองฟางรุ่ย ถึงรู้สึกใจเย็นขึ้นมาบาง ใช่แล้ว ถ้าตอนนี้ฟาดลงไป เป็นไปได้สูงที่อีกฝ่ายจะตาย ถ้าเป็นเช่นนั้นจริง แล้วใครจะดูแลแม่กับพี่สาวล่ะ
ซางเทียนซั่วเอ่ย “อาจารย์ใจเย็นก่อน ผมรู้ว่าอาจารย์โกรธ แต่อย่าถึงกับฆ่าคนเลย นี่คือสิ่งที่อาจารย์เคยพูดกับผมไม่ใช่เหรอ”
ซ่งจื่อเซวียนพ่นลมหายใจหนึ่งที แล้วทุ่มแจกันดอกไม้ลงไปอย่างแรง!
ทันทีที่ทุ่มลงไป ซ่งอีหนานกรีดร้องด้วยความตกใจ ซางเทียนซั่วกับฟางรุ่ยเบิกตาโตทั้งสองข้าง อยากเข้าไปห้ามแต่ดูเหมือนจะไม่ทันแล้ว
คนที่แสดงสีหน้าเกินจริงที่สุดก็คือเซินซวี่ เขาแทบจะร้องออกมาเหมือนหมูถูกเชือด วินาทีที่แจกันดอกไม้แตก เขานอนขดตัวราวกับผู้หญิงที่โดนทุบตี ไม่มีมาดในยามปกติอีกแล้ว
ทว่าวินาทีต่อมาพวกเขาก็โล่งอก แจกันดอกไม้ของซ่งจื่อเซวียนไม่ได้แตกบนศีรษะของเซินซวี่ แต่ถูกทุบลงพื้นข้างๆ เขา
เซินซวี่ถึงเพิ่งมีการตอบสนอง เขาเหลือบมองเศษกระเบื้องบนพื้น ทันใดนั้นจึงหายใจถี่มองไปที่ซ่งจื่อเซวียน
ซ่งจื่อเซวียนพูดอย่างเย็นชา “ไอ้ชาติหมา แกไม่คู่ควรให้ฉันฆ่า!”
พูดจบ เขาก็โอบไหล่ของซ่งอีหนานพาเดินออกไปข้างนอก และซ่งอีหนานก็ไม่ขัดขืนเหมือนตอนกลางวันแล้ว เธอเดินตามน้องชายออกไปอย่างเชื่อฟัง
เมื่อเดินมาที่หน้าประตู ซ่งจื่อเซวียนหันกลับไปมองในทันใด เห็นเพียงเซินซวี่ที่สั่นไปทั้งตัว จำต้องบอกว่า เมื่อครู่ซ่งจื่อเซวียนน่ากลัวมากจริงๆ
“แกจำไว้ วันหน้าถ้ายังติดต่อพี่สาวของฉันอีก ฉันจะทำให้แกน่าสังเวชยิ่งกว่าวันนี้!” พูดจบ ซ่งจื่อเซวียนก็เดินออกจากประตู ซางเทียนซั่วกับฟางรุ่ยเดินตามหลังไปติดๆ
หลังจากพวกเขาออกไปแล้ว เซินซวี่จึงกล้าหายใจแรงเสียที เขาโกรธจัด หยิบเศษกระเบื้องชิ้นหนึ่งมากำจนแน่น ตรงฝ่ามือมีเลือดไหลออกมาทันที หยดลงไปบนแผ่นกระเบื้อง รวมกันเป็นกองเล็กๆ
เขาตะโกนพร้อมกับสะอื้นไห้ “ไอ้เวร ฉันจะฆ่าแกให้ได้!”
เมื่อออกจากชุมชนชุ่ยเหม่ยถิง ซ่งจื่อเซวียนมองซ่งอีหนาน ตลอดทางซ่งอีหนานไม่พูดอะไรเลย หรือจะพูดให้ถูกคือไม่กล้าพูด เพราะซ่งจื่อเซวียนเงียบมาตลอดทาง และเห็นได้ชัดว่ายังไม่หายโกรธ
ตั้งแต่เด็กจนโต ซ่งจื่อเซวียนเชื่อฟังพี่สาวมาตลอด ไม่เพียงแต่ทำให้พี่สาวอารมณ์ดีเท่านั้น แต่ยังทำตามที่เธอสั่งอยู่เสมอ ทว่าวันนี้ดูเหมือนทุกอย่างจะเปลี่ยนไปแล้ว
“พี่ รู้ว่าทำผิดแล้วใช่ไหม”
“ระ รู้แล้ว” ซ่งอีหนานน้ำตาคลอเบ้า ตอบเสียงเบา
“พวกเรากลับตู้เหมินกันเถอะ แม่รอพวกเรากลับบ้านอยู่”
พอพูดประโยคนี้ขึ้นมา ซ่งอีหนานก็ร้องไห้อีกครั้ง เธอพยักหน้าหงึกๆ พลางซบอกของน้องชาย
ซ่งจื่อเซวียนน้ำตาคลอทั้งสองข้างเช่นกัน เขาตบไหลของซ่งอีหนานเบาๆ พร้อมกับเอ่ยว่า “รุ่ยจื่อ เรียกรถ พวกเราจะไปสถานีรถไฟ เที่ยนซั่ว ซื้อตั๋วเถอะ”
“ครับ นายท่านรอง!”
“ได้เลยอาจารย์!”
จากนั้นพวกเขาจึงนั่งรถมาถึงสถานีรถไฟ ถึงแม้จะเป็นเวลาเที่ยงคืนกว่าแล้ว แต่หากอยู่ที่หลานหยวนพวกเขาค่อนข้างจะเสียเปรียบ มีเรื่องอะไรกลับไปตู้เหมินก่อนแล้วค่อยว่ากันจะดีกว่า ซ่งจื่อเซวียนจึงไม่คิดจะพักที่โรงแรมอีกหนึ่งคืน
ถือว่ายังโชคดี ซางเทียนซั่วซื้อตั๋วรถไฟที่ออกเวลาตีสองได้ พวกเขาจึงต้องรออีกสักพักถึงจะได้กลับบ้าน
ที่สถานีรถไฟ พวกเขาไม่ค่อยได้พูดคุยอะไรกัน ซางเทียนซั่วตอนแรกพูดอยู่สองสามประโยค แต่กลับไม่มีใครตอบ เขาอายไม่อยากพูดอีก จึงนอนหลับไปเสียเลย
ซ่งอีหนานมองซ่งจื่อเซวียนเป็นบางครั้ง ไม่เจอกันนาน น้องชายเปลี่ยนไปแล้วจริงๆ รูปร่างก็พลันสูงใหญ่ และเมื่อซ่งจื่อเซวียนไม่พูดเธอจึงเงียบเช่นกัน
รุ่ยจื่อยืนอยู่ข้างหลังซ่งจื่อเซวียน ในฐานะเจ้าหน้าที่พิเศษ เขาต้องระมัดระวังตัวอยู่ตลอดเวลา เพราะกลัวว่าเซินซวี่จะหาคนมาแก้แค้น
ซ่งจื่อเซวียนนั่งรอบนเก้าอี้ อ่านหนังสือสูตรอาหารที่ตัวเองถ่ายเอกสารมาแล้ว สองวันนี้มีเรื่องราวมากมายจึงไม่มีโอกาสได้อ่าน ตอนนี้เป็นโอกาสที่หาได้ยาก
เนื่องจากหนังสือสูตรอาหารนี้ซ่งจื่อเซวียนอ่านไม่รู้กี่รอบแล้วจริงๆ ถึงแม้จะไม่เข้าใจอย่างลึกซึ้งทั้งหมด แต่เพราะอ่านมาหลายรอบแล้ว ในไม่ช้าจึงรู้สึกง่วงอยู่บ้าง
แต่ตอนที่หนังตากำลังจะตกลงมา ซ่งจื่อเซวียนกลับอึ้งไปกะทันหัน ดวงตาทั้งสองข้างค่อยๆ เบิกโต จ้องมองตัวหนังสือสองบรรทัดบนหนังสือสูตรอาหาร ดูเหมือน…จะไม่เคยสังเกตเห็นคำพวกนี้มาก่อน
“อาหารมีห้าธาตุ ห้าธาตุเสริมกันอาหารเสริมกัน ห้าธาตุข่มกันอาหารก็ข่มกัน ฟ้าดินมีห้าธาตุ อาหารก็มีพลังห้าธาตุเช่นกัน ห้าธาตุแห่งฟ้าดินควบคุมทุกสรรพสิ่ง อาหารห้าธาตุควบคุมอวัยวะ ต้องมีอาหารทั้งห้าธาตุเสริมกันเพื่อหล่อเลี้ยงกัน…”
ซ่งจื่อเซวียนสูดลมหายใจลึกๆ หนึ่งที ทันใดนั้นจึงมองไปที่ส่วนครึ่งแรกของหนังสือสูตรอาหาร ก่อนจะรู้สึกเสียใจเพราะรู้แล้วว่าตนถ่ายเอกสารมาน้อยไป
อันที่จริงถ่ายเอกสารมาน้อยก็เพราะกลัวทำหาย เขาไม่อยากให้คนอื่นได้รับเนื้อหาของหนังสือสูตรอาหารของวังราชวงศ์ชิง แต่วินาทีนี้เขาเพิ่งเข้าใจ ประโยคนี้เชื่อมกับในส่วนก่อนหน้านี้เป็นแน่แท้
ตามจริงแล้วเขาสามารถรอให้กลับถึงตู้เหมินก่อนแล้วค่อยหยิบหนังสือสูตรอาหารออกมาดู แต่เขารอไม่ไหวจริงๆ ผ่านมานานขนาดนี้ในที่สุดก็เข้าใจความหมายในหนังสือสูตรอาหารเสียที เขาจึงอยากทำความเข้าใจไวๆ
ด้วยความจนใจจึงได้แต่นึกย้อนความทรงจำเพื่อเชื่อมโยงเนื้อหา ถึงแม้จะท่องจำไม่หมด แต่ก็อ่านไปไม่รู้กี่รอบแล้ว เขาจึงจำได้อย่างลึกซึ้ง ถึงแม้จะจำไม่ได้ทุกตัวอักษร แต่อย่างน้อยความหมายคร่าวๆ ก็สามารถคิดทบทวนซ้ำไปซ้ำมาอยู่ในหัวได้
ซ่งจื่อเซวียนคิดแบบนี้ โดยไม่มีสีหน้าใดแสดงออกมา คนอื่นถึงขนาดไม่กล้าพูดกับเขาสักประโยค จนกระทั่งขึ้นรถไฟแล้วก็เช่นกัน
ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าไร ซ่งจื่อเซวียนลืมตาทั้งสองข้าง ทันใดนั้นก็ลุกขึ้น “ใช่แล้ว แบบนี้แหละ ฮ่าๆๆๆ…”
หัวเราะออกมาเสียงดัง คนทั้งตู้รถไฟต่างมองมาที่ซ่งจื่อเซวียน แต่เขากลับไม่รู้ตัวเลย ราวกับตู้รถไฟนี้กระทั่งทั้งขบวนรถไฟนี้ มีเขาเพียงคนเดียว…
…………………………………………