เส้นทางเศรษฐีของ(ว่าที่)เชฟเหรียญทอง - ตอนที่ 83 หลานชายคนโต ต้องพึ่งนายแล้วนะ
- Home
- All Mangas
- เส้นทางเศรษฐีของ(ว่าที่)เชฟเหรียญทอง
- ตอนที่ 83 หลานชายคนโต ต้องพึ่งนายแล้วนะ
ตอนที่ 83 หลานชายคนโต ต้องพึ่งนายแล้วนะ
คนอ้วนเห็นดังนั้นจึงใจฝ่อไม่หยุด ต้องบอกว่าคนทั่วไปเห็นพวกเขาตัวสูงใหญ่ท่าทางอันธพาลเช่นนี้ ต่อให้ไม่แสดงตัวออกไปก็ยังกลัว และยังเกรงใจ แต่สามคนนี้…กลับบุกเข้ามาโดยตรง
เมื่อนึกถึงตรงนี้ คนอ้วนจึงกัดริมฝีปากเบาๆ ถอยหลังครึ่งก้าว เวลานี้เขาพบว่าพวกลูกน้องของตัวเองก็ถอยหลังเหมือนกัน มีคนหนึ่งถึงขนาดถอยออกไปนอกประตูแล้ว
ต้องพูดว่า ซางเทียนซั่ว ฟางรุ่ย อวี่เหวินเซี่ยวสามคนตอนที่เดินไปข้างหน้าพร้อมกัน มาดแบบนั้นน่ายำเกรงเป็นอย่างมาก เมื่อเทียบกันแล้ว อันธพาลอย่างพวกเขา…สู้ไม่ไหว
“เอ๊ะ เลี่ยงจื่อ แกดูสิใช่ห้องนี้หรือเปล่า” คนอ้วนหันไปพูดกับลูกน้องคนหนึ่ง
ลูกน้องคนนั้นกลับฉลาด “สามศูนย์หก…ไม่ใช่นะพี่ซานหู่ คนที่พวกเราหาอยู่เหมือนจะอยู่ห้องสี่ศูนย์หก!”
“อ๋า สี่ศูนย์หก เฮ้ย แบบนี้ก็เสียเวลาไม่ใช่เหรอ แกเป็นคนนำทาง แต่ดันพาฉันมาที่ห้องสามศูนย์หกเหรอ ไปๆๆ ไปชั้นสี่!”
พูดจบ พวกพี่ซานหู่จึงหมุนตัวเดินไปที่ลิฟต์ ทำเหมือนพวกซางเทียนซั่วไม่อยู่ตรงนั้น…
เมื่อมองดูคนเหล่านั้นเดินไปแล้ว พวกซางเทียนซั่วจึงงุนงง สบตากัน…แม้แต่อวี่เหวินเซี่ยวคนเย็นชา ยังแสดงสีหน้าแปลกใจออกมา เบิกตาโตทั้งสองข้าง…
“แม่งเอ๊ย หน้าด้านเกินไปหรือเปล่า อันธพาลในหลานหยวนเป็นแบบนี้เหรอ” ซางเทียนซั่วพูดด้วยใบหน้าไม่อยากจะเชื่อ
“อืม ทำให้นักเลงด้วยกันขายหน้าจริงๆ…” ฟางรุ่ยพยักหน้าพูด
กู่เสี่ยวเป่าหัวเราะเสียงดังพลางพูดว่า “ฮ่าๆๆ พี่รอง มีสามคนนี้คอยปกป้อง ตอนนี้พวกเราสองคนปลอดภัยแน่นอน!”
ซ่งจื่อเซวียนพยักหน้าหัวเราะ อันที่จริงเขาก็แอบดีใจที่ตัวเองยอมให้ฟางรุ่ยอยู่ข้างกาย เขาคิดไม่ถึงจริงๆ ว่าฝีมือของฟางรุ่ยจะสูสีกับอวี่เหวินเซี่ยวเช่นนี้
ต้องรู้ไว้ว่าอวี่เหวินเซี่ยวปรากฏตัวสองครั้ง ในสายตาของซ่งจื่อเซวียนนั้นเขาเหมือนยอดฝีมือด้านการต่อสู้ แค่สองสามกระบวนท่าก็ทำให้พวกพี่เลี่ยงล้มตึงได้ และเห็นได้ชัดว่าฟางรุ่ยก็มีความสามารถนี้เช่นกัน
จากตรงนี้จึงพอคิดได้ว่า ที่เมื่อวานพวกเขาสามารถจับตัวฟางรุ่ยได้ ถือเป็นเรื่องบังเอิญจริงๆ ถ้าหากฝึกหนึ่งต่อหนึ่งคาดว่าฟางรุ่ยสามารถจัดการซางเทียนซั่วได้ในเสี้ยววินาทีด้วยซ้ำ…
เมื่อออกจากห้องของซ่งจื่อเซวียน พวกซานหู่ไม่พูดสักคำตลอดทาง กระทั่งเหงื่อเย็นออกบนหน้าผาก โดยเฉพาะตอนที่ถึงหน้าประตูลิฟต์ ทั้งสี่คนแทบจะวิ่งพุ่งเข้าไป
เมื่อเข้าไปในลิฟต์แล้ว สุดท้ายจึงมีคนหนึ่งกล้าสูดลมหายใจเข้าลึกๆ หนึ่งที เมื่อครู่ในสถานการณ์เช่นนั้น พวกเขาไม่กล้าแม้แต่จะหายใจแรงสักหนึ่งที…
“แม่งเอ๊ย คนพวกนั้นเป็นใคร พี่ซานหู่ พี่บอกว่ามีไม่กี่คนไม่ใช่เหรอ”
“ใช่แล้วพี่ซานหู่ คนพวกนั้นไม่คุ้นหน้าเลย เหมือนไม่ใช่คนแถบบ้านพวกเรา แถมยัง…น่ากลัวมาก”
พวกอันธพาลพูดคุยกัน สีหน้ามีแต่ความหวาดกลัว หากเปลี่ยนเป็นยามปกติ พวกเขาแค่เลิกคิ้วก็ทำให้คนตกใจจนต้องหลีกทางให้ แต่วันนี้…เจอของจริงเข้าแล้ว
ซานหู่ก็ปาดเหงื่อที่หน้าผากเหมือนกัน “แม่มันเถอะ เจอของจริงเข้าแล้ว เมื่อตอนเช้าไม่เห็นมีคนเยอะขนาดนี้ ไม่ได้การแล้ว ฉันต้องโทรหาประธานเซิน งานนี้รับไม่ได้!”
เดินออกจากลิฟต์แล้ว ซานหู่จึงนั่งบนโซฟาในห้องโถงใหญ่ของโรงแรม เพื่อสงบจิตสงบใจ ขณะเดียวกันก็กดโทรหาเซินซวี่ด้วย
“ซานหู่ จัดการเรียบร้อยแล้วเหรอ เหอะๆ เร็วมากนะเนี่ย” เสียงของเซินซวี่ดังเข้ามา
ซานหู่ได้ยินแล้วรู้สึกเก้อเขิน “เอ่อ…เถ้าแก่เซิน เรื่องนี้ ยังจัดการไม่เสร็จ หรือพูดอีกอย่างก็คือ…จัดการยากครับ!”
“จัดการยากเหรอ เหอะๆ ซานหู่นายล้อเล่นกับฉันใช่ไหม ฉันบอกหมายเลขห้องให้พวกนายแล้วไม่ใช่เหรอ นายเป็นเจ้าถิ่นในหลานหยวนแท้ๆ ยังจัดการคนนอกสองสามคนไม่ได้” เซินซวี่พูดด้วยความไม่พอใจอยู่บ้าง
อย่างไรเขาก็ทำธุรกิจโรงแรมในท้องถิ่น จึงรู้ว่าซ่งจื่อเซวียนพักอยู่โรงแรมเดียวกับเขา อยากจะสืบหมายเลขห้องจึงไม่ใช่เรื่องยาก
ต้องยอมรับว่า ถึงแม้ซานหู่จะพอมีชื่อเสียงในหลานหยวนก็จริง ทว่าเซินซวี่นั้นมีเงิน มีเงินจึงจะถือว่าเป็นเสี่ยอย่างแท้จริง ส่วนอันธพาล…มากสุดก็มีสิทธิ์รับใช้คนมีเงินเท่านั้น
ดังนั้น เวลานี้ที่เขาไม่พอใจจึงเป็นเรื่องปกติ อย่างไรก็ตกลงกันแล้วว่าจะให้เงิน!
“เถ้าแก่เซิน พวกศัตรูของคุณไม่ธรรมดา แต่ละคนโหดกว่านักเลงอีก ผมพาลูกน้องไปสามคน แต่ละคนตกใจกันไม่น้อย งานนี้เกรงว่าผมจะรับไม่ได้ครับ!” ซานหู่พูด พลางเอนหลังพิงโซฟา ลูกน้องที่อยู่ข้างๆ ตาไวมาก รีบยื่นบุหรี่ให้เขาหนึ่งมวนแล้วจุดให้
ซานหู่สูบบุหรี่หนึ่งที แล้วพูดเสริมอีกหนึ่งประโยค “ห้าหมื่นหยวนนี้ไม่ค่อยคุ้มกับผมครับ”
เมื่อได้ยินดังนั้น เซินซวี่จึงหัวเราะหนึ่งที “เหอะๆ เงินไม่มีปัญหา ง่ายมาก ถ้างั้นก็แปดหมื่น รวมกันแล้วให้นายหนึ่งแสนสามหมื่นหยวน!”
“เถ้าแก่เซิน คุณเป็นเถ้าแก่ใหญ่ ยังจะสนใจเงินหนึ่งหมื่นสองหมื่นอีกเหรอ คุณให้ผมหนึ่งแสนห้าหมื่นหยวน ผมจะจัดการเรื่องนี้ให้คุณอย่างดี อีกทั้ง…อยากจะได้แขนหรือขาก็แล้วแต่คุณจะสั่ง”
เซินซวี่ขมวดคิ้วเล็กน้อย ทำธุรกิจมานานหลายปี ที่เขาเกลียดที่สุดคือมีคนต่อรองเรื่องเงินเล็กน้อยกับเขา เขาหลับตาทั้งสองข้างเบาๆ เอนหลังพิงเก้าอี้ “ตามที่นายว่าแล้วกัน เรื่องนี้จัดการให้ฉันดีๆ หน่อย ฉันไม่อยากมีปัญหา!”
“เข้าใจแล้วครับ เถ้าแก่เซิน คุณพอจะ…จ่ายเงินให้ก่อนได้ไหมครับ ยังไงถ้าพวกลูกน้องไม่เห็นเงินก็เกรงว่า…”
เมื่อได้ยินซานหู่ถือโอกาสขอเงินก่อน เซินซวี่จึงโกรธขึ้นมาทันที เอ่ยว่า “ซานหู่ ฉันเคยไม่จ่ายเงินด้วยเหรอ”
“แน่นอนว่าไม่เคย แต่เถ้าแก่เซินคุณก็รู้ว่าว่าบางเรื่องต้องทำตามกฎ เงินส่วนแรกคุณยังไม่จ่าย ผมก็ทำงานไม่สะดวก”
“เหอะๆ โอเค อีกห้านาทีฉันจะโอนเงินเข้าบัญชีนาย ฉันหวังว่าคราวหน้าที่นายโทรหาจะบอกผลลัพธ์ให้ฉันฟังเท่านั้น ไม่ใช่มาพูดปัญหามากมาย แต่จัดการไม่สำเร็จ!” เซินซวี่พูดด้วยความรำคาญ
“คุณวางใจได้ เงินมาแล้วผมพร้อมทำงานทันที!”
เซินซวี่กดวางสายในทันใด ขณะเดียวกันก็สั่งให้ฝ่ายบัญชีโอนเงินให้ซานหู่หนึ่งแสนห้าหมื่นหยวน
ขณะที่จุดบุหรี่ เซินซวี่แอบสบถด่าว่า “ไอ้พวกงั่ง ทำเอาฉันต้องเสียเงินหนึ่งแสนฟรีๆ เป็นเพราะแกเลยไอ้น้องชาย…”
เซินซวี่ยิ่งคิดก็ยิ่งโมโห เมื่อจัดการงานในมือเสร็จแล้ว จึงเดินออกจากโรงแรม ขับรถไปยังชุมชนชุ่ยเหม่ยถิง ดูเหมือนว่าหากไม่ได้ระบายอารมณ์ใส่ซ่งอีหนาน ไฟโกรธในใจคงไม่อาจลบเลือน
และเวลานี้ คนที่อยู่ในโรงแรมกลับคุยกันอย่างสนุกสนาน โดยเฉพาะกู่เสี่ยวเป่ากับซางเทียนซั่วตัวตลกสองคน เสียงหัวเราะจึงดังออกมาไม่หยุด
ทว่าซ่งจื่อเซวียนกลับมองนาฬิกาเป็นระยะ สีหน้าคิดหนักอยู่บ้าง
“อาจารย์เอาแต่มองนาฬิกาทำไมน่ะ ตอนนี้…ไอ้หมอนั่นไปคุยกับป้าของผมเรียบร้อยแล้วใช่ไหมนะ” ซางเทียนซั่วพิจารณาสถานการณ์
ซ่งจื่อเซวียนขมวดคิ้ว “ไม่ค่อยปกติแฮะ…เทียนซั่ว คนพวกนั้น…ไม่น่าจะเข้าผิดห้องนะ”
“หืม อาจารย์หมายความว่ายังไง”
ซ่งจื่อเซวียนพูดเช่นนี้ ฟางรุ่ยก็ส่งเสียงสงสัยเล็กน้อย “นายท่านรอง คุณหมายถึง…เซินซวี่คนนั้นเหรอ”
ฟางรุ่ยพูดจบ ซ่งจื่อเซวียนก็เบิกตาโตทันที “เรื่องนี้ผิดปกติ ต้องไปหาพี่สาวฉันที่ชุ่ยเหม่ยถิง ตอนนี้เลย!”
การตอบสนองอย่างแรกของซ่งจื่อเซวียนคือเกิดปัญหากับซ่งอีหนานแล้ว!
ตอนนี้ดูท่าเซินซวี่ไม่คิดจะพูดกับพี่สาวให้ชัดเจน ซางเทียนซั่วก็เคยพูดว่าอีกฝ่ายมีทรัพยากรในวงการใต้ดินอยู่บ้าง เพราะฉะนั้นคนอ้วนคนนั้นจะต้องเป็นคนที่เขาเรียกมาจัดการตัวเองแน่นอน!
และท่าทีของตัวเองในวันนี้เป็นไปได้สูงว่าจะไปกระตุ้นให้เขาโกรธ จึงเรียกนักเลงมาจัดการตัวเอง และกระทั่งอาจจะไปหาเรื่องซ่งอีหนาน!
ขณะที่พูด ซ่งจื่อเซวียนแทบจะพุ่งออกจากประตู และคนอื่นที่เหลือเมื่อเห็นดังนั้นจึงรีบตามออกไป
ระหว่างโรงแรมมาถึงชุมชนชุ่ยเหม่ยถิงมีถนนเส้นเล็กเส้นหนึ่ง ถนนเส้นนี้ไม่ใช่ถนนทางหลวงข้างนอก รถที่ผ่านแถวนี้โดยทั่วไปแล้วเป็นรถในเขตชุมชน เวลานี้จึงมีคนบนท้องถนนไม่มาก และยังเงียบยิ่งนัก
ตอนนี้ซ่งจื่อเซวียนวิ่งนำหน้าสุด คนอื่นๆ วิ่งตามหลัง ทันใดนั้น จู่ๆ ก็มีรถตู้คันหนึ่งพุ่งเข้ามาทางพวกเขา หากไม่ใช่เพราะฟางรุ่ยผลักซ่งจื่อเซวียนออกไป เขาอาจจะโดนรถตู้ชนเข้าให้ก็ได้
และตอนที่รถตู้กำลังจะชนซ่งจื่อเซวียนไม่เพียงแต่ไม่ลดความเร็ว กลับยังเหยียบคันเร่งแทน นอกจากความเร็วรถที่เพิ่มขึ้นแล้ว แม้แต่เสียงคันเร่งก็ยังได้ยินชัดเจน
“ให้ตาย แม่มันเถอะ ขับรถเป็นหรือเปล่า อยากตายหรือไง!” ซางเทียนซั่วหันไปแค่นหัวเราะใส่รถตู้
เวลานี้ อวี่เหวินเซียวกับฟางรุ่ยแทบจะพูดพร้อมกัน “เขาจงใจ!”
พอสิ้นเสียง รถตู้ก็จอดห่างจากพวกเขาประมาณสองสามร้อยเมตร ประตูรถถูกเปิด ผู้ชายใบหน้าโหดเหี้ยมเจ็ดคนลงมาจากรถตู้อย่างรวดเร็ว!
คนพวกนี้ใส่เสื้อผ้าสีดำเหมือนกัน แต่ละคนล้วนมีสีหน้าดุร้าย ทั้งยังมีรอยสักตามร่างกาย เห็นได้ชัดว่าไม่ใช่คนดีอะไร
นักเลงเจ็ดคนมองพวกซ่งจื่อเซวียน แววตามีแต่ความเย็นชาและเย้ยหยัน เวลานี้ มีเสียงหนึ่งดังมาจากข้างหลังซ่งจื่อเซวียน
“แม่งเอ๊ย วิ่งเร็วมาก ไอ้พวกเวร วันนี้จัดการพวกแกไม่ได้ ฉันจะไม่อยู่ที่หลานหยวนอีก!”
เสียงนี้คือซานหู่นั่นเอง ก่อนหน้านั้นเขาไม่กล้าขนาดนี้ แต่ตอนนี้ไม่เหมือนกันแล้ว เรียกพวกพ้องมาทั้งหมดแล้วยังจะต้องกลัวอะไรอีก
นอกจากนี้คนพวกนี้ได้รับเงินจากเขาทั้งนั้น จึงย่อมทำงานถวายหัว แน่นอนว่า เขาได้ค่าตอบแทนงานใหม่หนึ่งแสนหยวนจากเซินซวี่แล้ว แบ่งสองหมื่นหยวนออกไป แปดหมื่นหยวนที่เหลือก็เก็บเข้ากระเป๋าของตัวเอง
มองดูท่าทางหยิ่งจองหองของซานหู่ ซางเทียนซั่วจึงหัวเราะ “ไอ้อ้วน เมื่อกี้แกไม่ได้เป็นแบบนี้นี่ ฉันยังคิดว่าแกเข้าห้องผิดจริงๆ ที่แท้เมื่อกี้ก็กลัวจนไม่กล้าเข้ามา ถึงกลับไปเรียกพวกพ้องของแกมาใช่ไหม!”
“หึ เมื่อกี้พาคนมาไม่พอ เลยเสแสร้งกับพวกแกไปก่อน แต่ตอนนี้…” ซานหู่มองลูกน้องเจ็ดคนข้างหลังซ่งจื่อเซวียนแล้วหัวเราะพูด “เรื่องที่ควรทำก็ต้องทำ ไม่ว่ายังไงก็รับเงินเขามาแล้ว!”
ซ่งจื่อเซวียนถาม “เซินซวี่ให้แกเท่าไร”
พอถามเช่นนี้ซานหู่จึงตกตะลึง อย่างไรแค่ค่าจ้างเขาก็ฮุบไปเองแปดหมื่นหยวนแล้ว แน่นอนว่าจะพูดออกมาไม่ได้
“ไม่เกี่ยวกับพวกแก จัดการมัน! โดยเฉพาะคนที่พูดคนนี้ ตีขามันให้หัก!” ซานหู่ชี้ซ่งจื่อเซวียนพลางตะโกนใส่ ที่เขาพูดว่าตีขามันให้หัก ก็คือผลลัพธ์ที่เซินซวี่จ่ายเงินเพิ่มนั่นเอง!
เมื่อเห็นอีกฝ่ายพุ่งเข้ามา อวี่เหวินเซี่ยวจึงหัวเราะเบาๆ หนึ่งที “พวกนายไม่ต้องขยับ ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของฉันเอง!”
“ดูนายสิ คิดว่าเก่งอยู่คนเดียวหรือไง” ฟางรุ่ยถาม แล้วจึงพุ่งออกไปก่อน และเป้าหมายของเขาก็ชัดเจนมาก นั่นคือพุ่งตรงไปที่ซานหู่
แน่นอนว่านั่นเป็นเพราะตัวตนที่พิเศษของเขา จับโจรเอาหัวโจกก่อนเป็นวิธีการแก้ปัญหาในการต่อสู้ที่เร็วที่สุด
และเป้าหมายของอวี่เหวินเซี่ยวแทบจะเหมือนเขาอย่างสิ้นเชิง ตอนที่ทั้งสองคนพุ่งไปข้างหน้าต่างสบตากันไม่หยุด ต่างเผยรอยยิ้มออกมาอย่างรู้กัน
“เขาเป็นของฉัน!”
“ก็ไม่แน่ ต้องดูว่าใครจะไวกว่า!” อวี่เหวินเซี่ยวหัวเราะพูด
เมื่อเห็นดังนั้น ซางเทียนซั่วจึงหันไปมอง เอ่ยว่า “แม่งเอ๊ย พวกนายสองคนไปสู้กันตรงนั้นหมด ทางนี้มีตั้งเจ็ดคนนะ!”
เหมือนอย่างที่เขาพูด อวี่เหวินเซี่ยวกับฟางรุ่ยวิ่งตะบึงไปที่ซานหู่ แต่อีกเจ็ดคนทางนี้กลับวิ่งเข้าหาซ่งจื่อเซวียน!
“หลานชายคนโต ต้องพึ่งนายแล้วนะ!” กู่เสี่ยวเป่าพูดยิ้มๆ เหมือนคนไร้น้ำใจ พูดจบแล้วจึงผลักซางเทียนซั่วไปข้างหน้า ผลักไปหานักเลงทั้งเจ็ดคน
…………………………………………….