เส้นทางเศรษฐีของ(ว่าที่)เชฟเหรียญทอง - ตอนที่ 82 ยินดีต้อนรับมาโดนต่อย
ตอนที่ 82 ยินดีต้อนรับมาโดนต่อย
พอกลับถึงโรงแรม ซ่งจื่อเซวียนล้มตัวลงบนเตียง เอาหน้าซุกอยู่ในผ้าห่ม ไม่พูดสักประโยค
ฟางรุ่ยกับซางเทียนซั่วสบตากันหนึ่งที แล้วต่างส่ายหน้าเบาๆ
ซางเทียนซั่วเดินไปข้างหน้าตบหลังของซ่งจื่อเซวียน “อาจารย์อย่าโกรธไปเลย เรื่องราวก็จัดการแล้ว พวกเรารออยู่ที่นี่ก็พอ ไม่แน่วันพรุ่งนี้อาจจะได้พาป้าของผมกลับบ้านก็ได้”
“ใช่แล้วนายท่านรอง คุณเป็นแบบนี้…พวกเราก็เป็นห่วง ไม่งั้นพวกเรากินอะไรก่อนดีไหม”
ซ่งจื่อเซวียนไม่ขยับแม้แต่นิดเดียว และไม่พูดอะไรสักคำ
ทั้งห้องเงียบกริบอยู่อย่างนี้ จนกระทั่งประมาณสิบนาที ได้ยินเสียงหายใจสม่ำเสมอของซ่งจื่อเซวียน ทั้งสองคนจึงวางใจ
“สองวันนี้นายท่านรองเหนื่อยเกินไปแล้ว ปล่อยให้เขานอนหลับสักพักเถอะ” ฟางรุ่ยกล่าว
ซางเทียนซั่วขยี้ตา “ใช่แล้ว เมื่อวานถูกแกรบกวนจนไม่ได้นอน ฉันไม่สนแล้ว ฉันก็ของีบสักพัก แก…แกคอยเฝ้านะ ปกป้องความปลอดภัยของพวกเรา”
พูดจบ ซางเทียนซั่วจึงล้มไปบนเตียง เสียงกรนของเขาไวมาก ไม่ถึงหนึ่งนาทีก็ดังแล้ว และเสียงดังกว่าซ่งจื่อเซวียนไม่รู้กี่เท่า
ห้องนี้เป็นห้องสแตนดาร์ด มีแค่สองเตียงเท่านั้น ดังนั้นฟางรุ่ยไม่สามารถพักผ่อนได้ เขาจึงเลื่อนเก้าอี้ตัวหนึ่งออกมาแล้วนั่งหน้าโต๊ะ ไม่ว่าอย่างไรไม่ได้หลับตานอนทั้งวันทั้งคืน เขาเองก็ง่วงจนทนไม่ไหวแล้วเหมือนกัน จึงฟุบหลับไปบนโต๊ะอย่างนั้น
ชั่วขณะนั้น ภายในห้องที่เงียบสงบก็มีเสียงกรนสามแบบดังสลับกัน นับว่าผู้ชายทั้งสามคนได้พักผ่อนเสียที
ไม่รู้ผ่านไปนานเท่าไร ฟางรุ่ยพลันลืมตาทั้งสองข้าง การอยู่ในกองกำลังพิเศษมานานหลายปีฝึกให้เขาคุ้นชินว่าถึงแม้นอนหลับก็ต้องระวังตัว เขาไม่หันหน้ากลับไปทันที แต่ค่อยๆ ลุกขึ้น เมื่อมั่นใจว่าในห้องไม่มีคน เขาจึงเดินไปที่ประตูห้อง
สำหรับฟางรุ่ย เขาแทบจะสามารถแยกแยะเสียงฝีเท้าข้างนอกได้อย่างแม่นยำ ถ้าหากเป็นลูกค้าทั่วไปในโรงแรมเดินมา เขาจะไม่คิดระวัง แต่เมื่อครู่ เขาได้ยินเสียงฝีเท้าของยอดฝีมืออย่างชัดเจน
เสียงฝีเท้าเช่นนี้ถึงแม้จะไม่มีภัยสำหรับเขา แต่ก็มากพอที่จะดึงดูดความสนใจ อย่างไรยามปกติ นานทีจะได้เจอยอดฝีมือสักครั้ง!
เมื่อเห็นข้างนอกไม่มีใคร ฟางรุ่ยกลับขมวดคิ้วขึ้นมา และหัวเราะเยาะทันที “ทำตัวลับๆ ล่อๆ…”
ขณะพูด เขาเปิดประตูห้องในทันใด และเห็นผู้ชายคนหนึ่งยืนอยู่ข้างประตูจริงๆ!
ผู้ชายคนนั้นสูงประมาณหนึ่งร้อยแปดสิบเซนติเมตร ใส่ชุดสูทจงซานสีดำ ผมสั้นสีดำเรียบร้อย วินาทีที่ฟางรุ่ยเปิดประตู ผู้ชายคนนั้นก็มองมาที่เขาทันที!
“อยากจับตาดูพวกเรางั้นเหรอ”
ขณะที่พูด ฟางรุ่ยลงมือก่อน ผู้ชายคนนั้นถอยหลังทันที เห็นได้ชัดว่าหลบหลีก ไม่คิดจะลงมือแต่อย่างใด
ระหว่างที่โจมตีและหลบหลีก ทั้งสองคนสลับตำแหน่งกัน ผู้ชายคนนั้นถอยอีก จนเข้าไปในห้องแล้ว
ฟางรุ่ยรู้เจตนาทันที รีบพุ่งเข้าไปข้างหน้า จับไหล่ของผู้ชายคนนั้นด้วยมือเดียว การตอบสนองของผู้ชายคนนั้นไวมาก หายตัวหลบมือของฟางรุ่ยไป ขณะเดียวกันก็ถอยหลังสองสามก้าวเข้าไปในห้อง
เมื่อเห็นว่าใกล้จะถึงซ่งจื่อเซวียนแล้ว ฟางรุ่ยรู้สึกกังวลในใจขึ้นมา “แน่จริงก็มาต่อยกับฉัน อย่าแตะต้องพวกเขา!”
“เหอะ ไม่คิดจะสู้กับนายเลยด้วยซ้ำ!”
บทสนทนาของทั้งสองคนบวกกับเสียงของการต่อสู้ ทำให้ซ่งจื่อเซวียนกับซางเทียนซั่วที่นอนหลับสนิทลืมตา เมื่อครู่กำลังฝันหวาน ทันทีที่ตื่นมาดูเหมือนจะเห็นยอดฝีมือสองคนกำลังต่อสู้กัน ทั้งสองคนจึงงงมาก…
“ให้ตาย อาจารย์ เกิดอะไรขึ้น คนคนนี้ใครเนี่ย”
ซ่งจื่อเซวียนส่ายหน้าช้าๆ ความง่วงยังไม่จางหายเสียทีเดียว “ไม่…ไม่รู้…”
เมื่อเห็นซ่งจื่อเซวียนได้สติแล้ว ฟางรุ่ยจึงพูดว่า “นายท่านรอง คุณไม่ต้องกลัว ไอ้หมอนี่มีวิชาอยู่บ้าง แต่ผมรับมือไหว!”
“นายท่านรองงั้นเหรอ” ผู้ชายคนนั้นพูด
“หยุดพล่ามได้แล้ว นานๆ จะได้เห็นยอดฝีมือ วันนี้ฉันขอคำชี้แนะด้วย!” ฟางรุ่ยพูดขณะที่ต่อยในระยะประชิดตัว หมัดนี้มีแรงมาก พุ่งตรงไปที่ใบหน้าของผู้ชายคนนั้น
ผู้ชายคนนั้นเห็นก็ขมวดคิ้วทั้งสองข้าง ขณะที่เบี่ยงตัวหลบก็ต่อยหนึ่งหมัดไปที่หน้าอกของฟางรุ่ย
ฟางรุ่ยเห็นอีกฝ่ายโต้กลับ รู้ว่าอีกฝ่ายเริ่มแสดงวิชาแล้ว วินาที่ที่เอี้ยวตัวหลบ เขาเริ่มยกเท้าโจมตีอีกฝ่ายสามทาง
ทั้งสองคนประมือกันอย่างรวดเร็ว ซ่งจื่อเซวียนกับซางเทียนซั่วแทบมองใบหน้าของพวกเขาไม่ออก ถ้าไม่ได้เห็นกับตาตัวเอง เกรงว่าพวกเขาคงจะคิดว่าจะได้เห็นฉากนี้ในโทรทัศน์เท่านั้น
แน่นอนว่า ซางเทียนซั่วก็เข้าใจความแตกต่างของตัวเองและฟางรุ่ยในทันที ในสายตาของคนทั่วไป ซางเทียนซั่วรูปร่างกำยำ เคลื่อนไหวคล่องแคล่ว นับว่าเตะต่อยได้ แต่ถ้าเทียบกับฟางรุ่ย ก็ไม่สามารถเทียบกันได้อย่างสิ้นเชิง อย่างไรอีกฝ่ายมาจากกองกำลังพิเศษ การเตะต่อยจึงเป็นมืออาชีพโดยแท้
แต่เวลานี้ จู่ๆ ซ่งจื่อเซวียนก็สังเกตเห็นว่ายังมีอีกคนหนึ่งยืนอยู่หน้าประตู คนคนนี้สูงประมาณหนึ่งเมตรหกสิบเซนติเมตร ใส่เสื้อผ้าสกปรก ใบหน้าเรียวเล็กมีแต่โคลน ตอนนี้กำลังแสยะยิ้มมองสองคนนี้ต่อยกัน
“เสี่ยวเป่า?” ซ่งจื่อเซวียนตกใจไม่หยุด เจ้าหมอนี่ก็ประหลาดจริง ทำไมมาเจอเขาที่หลานหยวนได้ล่ะ
กู่เสี่ยวเป่ามองซ่งจื่อเซวียน หัวเราะพูดว่า “พี่รอง หลานชายคนโต ดูเขาต่อยกัน สนุกจัง ฮ่าๆๆ!”
ซ่งจื่อเซวียนหัวเราะออกมาไม่หยุด สองคนนี้ต่อยกันอย่างดุเดือดเหมือนเตาเผาอันร้อนผ่าว แต่กู่เสี่ยวเป่ากลับดูอย่างมีความสุข เหมือนดูการแสดงโดยไม่ต้องจ่ายเงิน
“เสี่ยวเป่า คนคนนั้นคือ…” ซ่งจื่อเซวียนถาม
“อวี่เหวินเซี่ยวไง พี่เคยเจอมาแล้ว ฮ่าๆๆ ฉันเพิ่งเคยเห็นคนต่อสู้กับอวี่เหวินเซี่ยวนานขนาดนี้เป็นครั้งแรก พี่รอง นั่นเป็นลูกน้องของพี่เหรอ” กู่เสี่ยวเป่าถามเช่นนี้ ซ่งจื่อเซวียนไม่รู้จะตอบอย่างไรดี ฟางรุ่ยคิดจะอยู่กับตัวเองก็จริงแต่ตัวเองก็ไม่ใช่ลูกพี่ แล้วจะมีลูกน้องมาจากไหน
“อืม…เพื่อนของฉันเอง คนกันเองทั้งนั้น บอกพวกเขาให้หยุดได้แล้ว!” เมื่อเห็นทั้งสองคนต่อยกันอย่างดุเดือด ซ่งจื่อเซวียนจึงรีบพูด
“จะรีบไปทำไม น่าดูจะตาย พี่รอง ฉันชอบดูคนต่อยกัน แต่ลูกน้องของพี่คนนี้มีฝีมือไม่เบา!”
กู่เสี่ยวเป่าดูเหมือนจะยอมรับว่าฟางรุ่ยเป็นลูกน้องของซ่งจื่อเซวียน จึงไม่พูดเป็นอื่น
ซางเทียนซั่วหัวเราะพูดว่า “ใช่แล้วอาจารย์ รีบร้อนไปไหน ปล่อยให้พวกเขาต่อยกัน ต่อยกันเลย! ฮ่าๆๆ!”
ซ่งจื่อเซวียนกลอกตาใส่ซางเทียนซั่วแรงๆ หนึ่งที “ยังดีที่ในนั้นไม่มีนาย ไม่งั้นน่าจะโดนอัดเละ!”
ซางเทียนซั่วได้ยินแล้วจึงเบะปาก ไม่พูดอะไรอีก
กู่เสี่ยวเป่ากลับหัวเราะพูดว่า “ฮ่าๆๆ หลานชายคนโตพูดถูก ดูอีกสักพักเถอะ อวี่เหวินเซี่ยว ต่อยแรงๆ เลย ฉันไม่อยากแพ้ให้พี่รอง!”
ซ่งจื่อเซวียนส่ายหน้าอย่างจนใจ กู่เสี่ยวเป่าคนนี้ซุกซนจริงๆ ในสายตาของเขาคือถ้าหากอวี่เหวินเซี่ยวชนะ ก็เท่ากับลูกน้องของเขาไม่แพ้ให้ฟางรุ่ย แต่อย่างไรเขาก็ยังเด็กอยู่ ไม่รู้ว่าการต่อยกันนี้เป็นเรื่องของคนสองคน ถ้าหากบาดเจ็บขึ้นมา…ก็เป็นเรื่องไม่จำเป็นจริงๆ ยิ่งกว่านั้นยังเป็นคนกันเองอีก
แต่ทั้งสองคนที่ประมือกัน ดูเหมือนจะไม่รู้สึกเหน็ดเหนื่อยเลย ไม่เพียงแต่การเคลื่อนไหวจะไม่ลดลง กลับกันยิ่งต่อยยิ่งเร็ว ยิ่งต่อยยิ่งแรง
และในโรงแรมก็มีพื้นที่แค่นี้ ทั้งสองคนสู้กันจนถึงตอนนี้ก็ไม่ได้ทำให้ทีวี ผ้าม่าน กระทั่งของที่วางอยู่บนโต๊ะต้องพังยับเยิน แบบนี้ถึงจะเป็นยอดฝีมือ ยอดฝีมือที่เก่งกาจไม่จำเป็นต้องให้พื้นที่กว้างขวางกับพวกเขา
พวกเขาต่อสู้กันอย่างนี้สิบกว่านาทีเต็มๆ กู่เสี่ยวเป่าดูเหมือนจะดูเบื่อแล้ว จึงเอ่ยว่า “พี่รอง ต่อยไปต่อยมายังไม่รู้แพ้ชนะ สั่งให้พวกเขาหยุดเถอะ!”
ซ่งจื่อเซวียนพยักหน้า “โอเค รุ่ยจื่อ อวี่เหวินเซี่ยว คนกันเองทั้งนั้น หยุดต่อยกันได้แล้ว ฉันนับสามสองหนึ่งทุกคนหยุดพร้อมกัน!”
สาเหตุที่ซ่งจื่อเซวียนพูดเช่นนี้ เพราะเขารู้ว่าสองคนนี้กำลังประมือกันพอดี หากผลีผลามปล่อยให้ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งหยุดจะต้องทำให้เกิดการบาดเจ็บแน่นอน จึงต้องสั่งให้ยุติไปเลย
และทั้งสองคนก็ต่อยกันจนเหนื่อยอย่างเห็นได้ชัด ขณะเดียวกันก็เริ่มช้าลง เตรียมตัวหยุดมือ
“สาม สอง หนึ่ง หยุด!”
ซ่งจื่อเซวียนสั่งให้หยุด ทั้งสองคนจึงถอยมือทั้งสองข้างวางอยู่หน้าลำตัวพร้อมกันอยู่ในท่าตั้งการ์ด สามารถมองออกได้ว่า ไม่เพียงแต่ฝีมือที่สูสีกันเท่านั้น แม้แต่ความระมัดระวังตัวยังแทบจะคล้ายกันมาก
ทั้งสองคนสบตากัน ต่างคนต่างเผยรอยยิ้มออกมา ฟางรุ่ยทำท่าคารวะพลางเอ่ยว่า “ได้เปิดหูเปิดตาแล้ว หลังกลับมายังไม่เคยเจอคนเก่งมีฝีมืออย่างนายมาก่อนเลย”
อวี่เหวินเซี่ยวพูดเสียงเรียบ “เหมือนกัน!”
พูดจบ เขาก็ทำท่าคารวะแบบขอไปที เมื่อเทียบกันแล้ว นิสัยของเขาดูเย็นชากว่าฟางรุ่ยเป็นอย่างมาก
เมื่อเห็นทั้งสองคนไม่เป็นไร ซ่งจื่อเซวียนจึงวางใจ แต่ถึงกระนั้น ก็ยังเห็นรอยถลอกที่อยู่บนกำปั้นของทั้งสองคน เห็นได้ชัดว่าเกิดจากตอนที่ประมือกันเมื่อครู่
“ไม่เป็นไรใช่ไหม รุ่ยจื่อ อวี่เหวินเซี่ยว มือของพวกนายถลอกหมดแล้ว”
“ไม่เป็นไร วางใจเถอะนายท่านรอง เรื่องเล็ก” ฟางรุ่ยกล่าว
อวี่เหวินเซี่ยวกลับส่ายหน้า ไม่พูดอะไร
ซ่งจื่อเซวียนมองไปที่กู่เสี่ยวเป่า “เสี่ยวเป่า นายมาที่หลานหยวนได้ยังไง แล้วก็…นายรู้ได้ยังไงว่าฉันพักอยู่ที่นี่”
“ฮ่าๆๆ นั่นเป็นเรื่องบังเอิญจริงๆ ช่วงนี้กินข้าวที่ตู้เหมินเบื่อแล้ว เลยอยากเปลี่ยนรสชาติบ้าง ใครจะไปรู้ว่าจะเห็นพวกพี่เข้ามาที่โรงแรมนี้พอดี อวี่เหวินเซี่ยวยังไม่แน่ใจ แต่ฉันมองปราดเดียวก็มั่นใจแล้ว ฮ่าๆ”
ซ่งจื่อเซวียนพยักหน้าเบาๆ “นายนี่ตาแหลมจริงๆ แต่ถ้านายไม่สะดวกจะบอกว่ามาที่หลานหยวนเพราะจุดประสงค์อะไรฉันก็จะไม่ถามแล้ว”
ซ่งจื่อเซวียนพูดเช่นนี้ กู่เสี่ยวเป่าก็เผยสีหน้าเขินอายออกมา อย่างไรก็โดนซ่งจื่อเซวียนพูดตรงจุดแล้ว เขามาหลานหยวนเพราะมีจุดประสงค์จริง แต่จุดประสงค์นี้ก็ไม่สะดวกที่จะพูดจริงๆ
“อ้อใช่พี่รอง พวกพี่มาทำอะไรล่ะ แล้วพี่ไปได้ลูกน้องคนนี้มาจากที่ไหน ฝีมือยอดเยี่ยมจริงๆ!” กู่เสี่ยวเป่าถาม
ซางเทียนซั่วหัวเราะออกมา “เรื่องนี้มันมีที่มาที่ไปอยู่ อาจารย์ของฉันไม่ได้อยากรับเขา เมื่อวานตอนเย็นก็เกือบ…”
“พอแล้วเทียนซั่ว!” เมื่อเห็นฟางรุ่ยก้มหน้า ซ่งจื่อเซวียนจึงรีบห้ามซางเทียนซั่วทันที “พี่สาวของฉันอยู่ที่หลานหยวน ครั้งนี้มาเยี่ยมเธอน่ะ ฉันกะว่าพรุ่งนี้พวกเราจะกลับตู้เหมินแล้ว ยังไงยังมีเรื่องให้ต้องสะสางอีกเป็นกอง”
เมื่อได้ยินดังนั้นกู่เสี่ยวเป่าจึงหัวเราะ “ในเมื่อพี่รองไม่สะดวกที่จะพูด ฉันก็จะไม่ถามเหมือนกัน”
พอเขาพูดจบ ซ่งจื่อเซวียนจึงหัวเราะออกมา เหมือนกับที่กู่เสี่ยวเป่าพูด เรื่องของซ่งอีหนานนับว่าเป็นเรื่องในครอบครัว เขาก็ไม่อยากพูดออกมาตรงนี้จริงๆ
ระหว่างที่พวกเขากำลังหัวเราะพูดคุยกัน ประตูห้องถูกผลักอีกครั้ง เนื่องจากเมื่อครู่ตอนที่อวี่เหวินเซี่ยวกับฟางรุ่ยต่อสู้กันไม่ได้ปิดประตู ดังนั้นจึงถูกแง้มไว้ตลอด
ที่เดินเข้ามาเป็นผู้ชายสี่คน แต่ละคนตัวสูงใหญ่ โหดเหี้ยมน่ากลัว คนที่นำหน้ามาคือคนอ้วนที่สูงหนึ่งร้อยแปดสิบกว่าเซนติเมตร ผมสั้นลีบติดหนังศีรษะ ผิวหน้าหยาบกร้านและดำคล้ำ แต่ดวงตากลับเล็กมาก และยังมีรอยสักรูปดวงตาดวงหนึ่งอยู่บนหน้าผาก ซึ่งเหมือนของจริงมาก ตอนนี้เขากำลังจ้องมองทุกคนในห้องนี้
คนอ้วนมองพวกซ่งจื่อเซวียน หัวเราะเบาๆ “เหอะๆ หาเจอแล้ว พวกมันนี่เอง”
คนอ้วนพูด เดินตรงไปชี้หน้าซ่งจื่อเซวียนแล้วพูดว่า “ไอ้หนู อยู่หลานหยวนหาเรื่องผิดคนแล้ว ทำผิดก็ต้องชดใช้ คนอื่นๆ ถ้าไม่ใช่เรื่องของพวกแก ก็อย่าหาเรื่องใส่ตัว!”
เมื่อได้ยินดังนั้น ทุกคนในห้องจึงหัวเราะ ซางเทียนซั่วหัวเราะพูด “เหอะๆ พูดกับใครเหรอ ไอ้อ้วน พวกแกมาถูกที่แล้วจริงๆ ยินดีต้อนรับมาโดนต่อยเสียดีๆ!”
ขณะพูด เขาลุกขึ้นขยับคอเล็กน้อย พลันเดินไปหาคนอ้วน ขณะเดียวกันนั้น อวี่เหวินเซี่ยวและฟางรุ่ยก็เดินไปข้างหน้าเหมือนกัน!
……………………………………………….