เส้นทางเศรษฐีของ(ว่าที่)เชฟเหรียญทอง - ตอนที่ 80 เซินซวี่ ไตบกพร่อง
ตอนที่ 80 เซินซวี่? ไตบกพร่อง?
พ่อซ่งจื่อเซวียนทิ้งพวกเขาไปตั้งแต่ตอนที่ยังเด็กมาก ซ่งอีหนานยังมีความทรงจำเกี่ยวกับพ่ออยู่บ้าง แต่ซ่งจื่อเซวียนไม่มีเลย ดังนั้นสองพี่น้องนับว่าเติบโตมาด้วยกัน ปกติหานหรงต้องออกไปทำงาน ส่วนซ่งอีหนานก็ดูแลน้องชายอยู่เสมอ
ดังนั้นในสายตาของซ่งอีหนาน น้องชายยังเป็นเด็กน้อยมาตลอด จู่ๆ วันนี้ก็ได้ยินซ่งจื่อเซวียนพูดกับตัวเองแบบนี้ และถึงขั้นตั้งคำถาม เธอยากจะรับไหวอยู่บ้างจริงๆ
แต่เธอไม่รู้ว่าช่วงเวลาสั้นๆ ที่เธอไม่อยู่นั้นเกิดเรื่องมากมายขึ้นกับซ่งจื่อเซวียน ทำให้เขาเติบโตขึ้นมาก สิ่งที่เธอละเลยยิ่งกว่านั้นคือแฟนของเธอหยาบคายกับแม่ และสัมผัสได้ถึงขีดจำกัดของน้องชาย
สำหรับซ่งจื่อเซวียนแล้วเขาทนได้ทุกอย่าง แต่มาข่มเหงรังแกแม่ไม่ได้เด็ดขาด!
ซ่งจื่อเซวียนมองพี่สาวแล้วถอนหายใจ “พี่อย่าเพิ่งใจร้อน ที่ผมมาหาพี่…แค่อยากคุยไม่ได้อยากทะเลาะ”
“ทะเลาะเหรอ เหอะๆ ฉันจะทะเลาะกับนายทำไม แต่เจ้ารอง นายยังคิดว่าฉันเป็นพี่สาวนายก็ค่อยยังชั่วหน่อย!”
ซ่งอีหนานโมโหจนเธอกลับไปนั่งบนโซฟา หายใจเข้าลึกๆ จากนั้นหยิบบุหรี่มาจุดแล้วเริ่มสูบ
ซ่งจื่อเซวียนขมวดคิ้ว “สูบบุหรี่เหรอ”
“สูบบุหรี่แล้วไง”
ซ่งจื่อเซวียนก้าวไปข้างหน้าหยิบซองบุหรี่ขึ้นมาแล้วพูด “บุหรี่ซองนี้ราคาสี่สิบกว่าหยวน พี่ ผมถามหน่อยว่าพี่มีเงินเดือนเท่าไร”
“ฉัน…” ซ่งอีหนานถูกถามก็ชะงัก “ฉัน… ไม่มีเงินเดือน แล้วไง แต่แฟนฉันก็ให้ค่าใช้จ่ายในชีวิตประจำวันอยู่บ้าง มีปัญหาเหรอ”
“มีปัญหาอย่างนั้นเหรอ เหอะๆ ซ่งอีหนานพี่รู้ไหมว่าตอนนี้กำลังถูกเสี่ยเลี้ยงน่ะ!” ซ่งจื่อเซวียนพูดอีกครั้งโดยไม่สามารถควบคุมอารมณ์ตัวเองได้
บางทีหากเป็นคนนอก เขาอาจจะเก็บอารมณ์ไว้ได้เป็นอย่างดี แต่เมื่อเผชิญกับคนใกล้ชิดของตนเอง ดูเหมือนเขาจะทำแบบนั้นไม่ได้จริงๆ ยากที่จะเสแสร้ง!
“ซ่งจื่อเซวียน หุบปากเลย พูดกับพี่สาวตัวเองแบบนี้งั้นเหรอ ทำไมพูดจาไม่เข้าหูขนาดนี้ ขนาดแม่ก็ไม่พูดแบบนั้นกับฉัน นายมีสิทธิอะไร?!” ซ่งอีหนานตะโกน
ซ่งจื่อเซวียนยกสองมือขึ้นแล้วพูด “โอเคๆๆ ไม่พูดแบบนั้นแล้ว พี่ว่าตอนนี้ไม่ได้ถูกเสี่ยเลี้ยงแล้วจะเป็นอะไรได้อีกล่ะ”
“ฉันคิดว่าฉันไม่ได้ทำอะไรผิด อีกอย่างถูกเสี่ยเลี้ยงก็หมายถึงผู้ชายที่มีครอบครัวแล้ว แต่เขาไม่มี เราคบกันปกติ เขาทนให้ฉันไปทำงานไม่ได้ บอกว่าลำบากลำบนเกินไป เลยให้ฉันเรียนทำอาหารที่บ้านใช้ชีวิตให้สนุก มันผิดด้วยเหรอ”
ซ่งจื่อเซวียนยิ้มอย่างช่วยไม่ได้ “พี่จะให้ผมพูดยังไงดี ผู้ชายคนนี้อายุเท่าไร”
“ยี่สิบเจ็ด ทำไม”
“ยี่สิบเจ็ด? เหอะๆ อย่าพูดถึงหลานหยวนเลย แม้แต่ในเมืองตู้เหมินคนอายุยี่สิบเจ็ดปีจะมีรายได้เท่าไรกัน เขาจะเลี้ยงพี่ไหวได้ยังไง แล้วผมว่านะ…พี่ไม่ได้รู้เรื่องเขาเลยใช่ไหม”
ซ่งอีหนานพูดอะไรไม่ออกอยู่ครู่หนึ่ง เมื่อน้องชายพูดออกมาแบบนี้ ตัวเธอก็ดูเหมือน…ไม่ค่อยรู้เรื่องเขามากนักจริงๆ
แต่ความรู้สึกของทั้งคู่อยู่ในช่วงรักเร่าร้อน เธอไม่สามารถคิดอย่างใจเย็นได้เลย เธอลุกขึ้นยืนและเถียงใส่ “ทำไมจะไม่รู้ล่ะ ไม่รู้แล้วเราจะคบกันไหม ซ่งจื่อเซวียนนายคิดว่าตัวเองฉลาดอยู่คนเดียวเหรอ ฉันบอกให้นะ นายหาเงินไม่ได้ก็ไม่ได้แปลว่าคนอื่นจะหาไม่ได้เหมือนนาย เพราะงั้นนายหยุดทำตัวเป็นกบในกะลาได้แล้ว”
ทันทีที่ซ่งอีหนานพูดจบสีหน้าก็แปรเปลี่ยนไปเล็กน้อย เธอรู้ตัวว่าถ้อยคำที่ตัวเองพูดเลยเถิดอย่างเห็นได้ชัด อย่างไรคนตรงหน้าก็คือน้องชายแท้ๆ ที่เติบโตมาด้วยกันตั้งแต่เล็ก
เธออยากจะพูดขอโทษแต่ลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ในที่สุดก็ไม่เอ่ยออกไป
ซ่งจื่อเซวียนก็เงียบไป เขาพยักหน้าแรงๆ นั่งลงด้านข้างแล้วหยิบบุหรี่ราคาสิบหยวนออกมาหนึ่งซองก่อนจะจุดบุหรี่หนึ่งมวน
“พี่ วันนี้…ผมเข้าใจแล้ว ตอนนี้พี่อายุยี่สิบกว่าแล้ว จะชอบใครรักใครก็แล้วแต่พี่ ผมกับแม่ไปยุ่งไม่ได้ ครั้งนี้…ผมทำเกินไปเอง แต่ผมหวังว่าพี่จะจำไว้อย่างหนึ่ง ถ้าอยู่หลานหยวนแล้วเจ็บตัวก็รีบกลับบ้านนะ ผมกับแม่รออยู่”
หลังจากพูดอย่างนั้นเขาก็สูบบุหรี่เข้าปอดลึกๆ หนึ่งครั้งแล้วโยนก้นบุหรี่ลงในที่เขี่ยบุหรี่ เนื่องจากขี้เถ้าบุหรี่กระจัดกระจาย เขาจึงหยิบนามบัตรบนโต๊ะขึ้นมารวบรวมขี้เถ้าแล้วเทลงในที่เขี่ยบุหรี่
ซ่งอีหนานยืนขึ้นพร้อมสีหน้ารู้สึกผิด “เจ้ารอง…”
“พี่ ไม่ต้องพูดแล้ว อยู่ที่หลานหยวน…ก็พัฒนาสมองด้วย อย่าเป็นผู้หญิงโง่เง่า ที่ไม่รู้ด้วยซ้ำว่ากำลังถูกหลอกอยู่”
หลังจากพูดอย่างนั้นซ่งจื่อเซวียนก็กระแทกประตูเดินออกไป ซ่งอีหนานนั่งตัวแข็งทื่อสีหน้านิ่งเฉยบนโซฟาเงียบๆ ไม่รู้ว่านานเท่าไรก่อนที่น้ำตาจะไหลริน ในความทรงจำเธอไม่เคยเป็นแบบนี้กับน้องชาย แต่ครั้งนี้นึกไม่ถึงว่าเธอจะพูดความในใจออกมาเพราะผู้ชายคนเดียว เธอเสียใจ…
แต่ในจุดนี้เธอยอมแพ้ไม่ได้จริงๆ เธอคิดว่าเธอรักเขามาก
………………….
เมื่อเดินออกจากประตูซ่งจื่อเซวียนก็จุดบุหรี่อีกมวน ซางเทียนซั่วและฟางรุ่ยก็รีบเข้ามาหาเขา
“เป็นไงบ้างอาจารย์ ป้าของผมว่ายังไงบ้าง” การจัดลำดับอาวุโสของซางเทียนซั่วนั้นชัดเจน ไม่ว่าจะเป็นการเรียกฟางจิ่งจือว่าปู่ทวด เรียกหานหรงว่าย่า มาจนถึงตอนนี้ที่เรียกซ่งอีหนานว่าป้าก็ไม่มีพลาดจริงๆ
ซ่งจื่อเซวียนเหลือบมองเขา “อย่าพูดไร้สาระ!”
เมื่อเห็นสีหน้าจริงจังของซ่งจื่อเซวียน ซางเทียนซั่วก็ยิ้มยิงฟันสีหน้ารู้สึกผิดทันที “พวกอาจารย์…ไม่ดีใจกันเหรอ”
“ไม่รู้จริงๆ ว่าผู้ชายคนนั้นวิเศษวิโสมาจากไหน หลอกพี่สาวฉันให้หลงแบบนี้ นายว่าผู้หญิงคนนี้ทำไมไม่มีสมองเลยล่ะ ถูกเสี่ยเลี้ยงยังจะไม่รู้ตัวอีก”
“หา เสี่ยเลี้ยงงั้นเหรอ” ซางเทียนซั่วตะโกนออกมาเสียงดัง
“ชู่ ตะโกนทำไม นายอยากให้ทุกคนในหมู่บ้านนี้รู้กันหมดเหรอ” ซ่งจื่อเซวียนจ้องมองเขาและพูดอย่างดุดัน
พูดจบซ่งจื่อเซวียนก็ดูนามบัตรในมือ เมื่อครู่เขาหยิบมันมาแล้วลืมวางกลับไปตอนเก็บขี้เถ้าบุหรี่ และกำลังคิดจะโยนทิ้ง
แต่ซางเทียนซั่วถามขึ้นมา “เซินซวี่? ทำไมถึงมีนามบัตรเขาล่ะ”
“อะไรนะ นายรู้จักเหรอ ฉันเอามาจากพี่สาว ลืมคืนน่ะ” ซ่งจื่อเซวียนตอบ
“รู้จักสิ ทำงานโรงแรมในหลานหยวนและเคยร่วมงานกับบ้านผม แต่พ่อผมบอกว่าศักยภาพด้อยเกินไป ต่อมาเลยไม่ได้ร่วมงานกันแล้ว” ซางเทียนซั่วกล่าว
ซ่งจื่อเซวียนพยักหน้าเบาๆ ขณะกำลังจะโยนมันทิ้งไป ก็ดูเหมือนจะนึกอะไรได้ เขาหายใจเข้าทันทีพร้อมหยิบมือถือออกมาโทร
“เจ้ารอง เมื่อกี้ที่ฉันพูดไป นายอย่าโกรธพี่เลยนะ…” ซ่งอีหนานขอโทษหลังจากรับสายพร้อมทั้งยังมีเสียงสะอึกสะอื้นมาด้วย อย่างไรน้องชายก็สำคัญกับเธอมากจริงๆ
“พี่อย่าเพิ่งพูดเรื่องนี้ ผมขอถามหน่อยแฟนพี่ชื่ออะไร” ซ่งจื่อเซวียนถามอย่างตรงไปตรงมา
“ชื่อเซินซวี่ ทำไมเหรอ”
ซ่งจื่อเซวียนเบิกตากว้าง “แล้วทำงานอะไร”
“อืม…ฉันก็ไม่แน่ใจ เหมือนว่าจะทำเกี่ยวกับการลงทุน นายก็รู้นี่ว่าฉันจะไปรู้เรื่องพวกนี้ได้ยังไง”
ได้ยินคำพูดของซ่งอีหนาน ซ่งจื่อเซวียนก็ไม่พอใจ คนสองคนคบกันอยู่ แต่ไม่รู้ว่าอีกฝ่ายทำงานอะไรอย่างนั้นเหรอ จุดสำคัญดูเหมือนว่าจะต้องตรวจสอบให้แน่ใจ
“พี่สาวผมนี่เก่งจริงๆ โอเคผมวางสายแล้วนะ!” เมื่อพูดจบซ่งจื่อเซวียนก็วางสาย
“เทียนซั่ว นายรู้จักเซินซวี่คนนี้ดีหรือเปล่า” ซ่งจื่อเซวียนถามซางเทียนซั่ว
เห็นได้ชัดว่าซางเทียนซั่วก็สังเกตเห็นว่าอะไรเป็นอะไรแล้ว เขามีสีหน้ากระอักกระอ่วน “อาจารย์ ผม…ผมไม่กล้าพูด”
“นายบอกมาเถอะ อยากให้ฉันร้อนใจตายหรือไง” ซ่งจื่อเซวียนพูดด้วยสีหน้ากระวนกระวาย
ซางเทียนซั่วจำได้ว่าเขาไม่เคยเห็นซ่งจื่อเซวียนร้อนรนขนาดนี้มาก่อน แต่ยิ่งเป็นแบบนี้มากเท่าไรเขาก็ยิ่งรู้สึกไม่สบายใจมากขึ้นเท่านั้น
“อา อาจารย์ อาจารย์ใจเย็นก่อนได้ไหมได้ไหม”
“หยุดพล่าม พูด!”
“เซินซวี่เป็นชาวหลานหยวน ไม่ค่อยทำธุรกิจมากนัก แต่ในหลานหยวนก็นับว่าพอถูไถ เขาน่าจะอายุสามสิบกว่า ครั้งที่แล้วตอนที่เรามาตรวจสอบที่หลานหยวน เขา…”
“เขาทำไม” ซ่งจื่อเซวียนดูเหมือนจะสังเกตเห็นปัญหาตรงนี้แล้ว จึงถามออกไปอย่างรีบร้อน
“ภรรยาของเขาก็อยู่ที่นี่ด้วย เพราะภรรยาเขาเป็นคนตัดสินใจในครอบครัว พวกการลงทุนก็ต้องพึ่งเงินจากทางครอบครัวภรรยา”
ทันใดนั้นดวงตาของซ่งจื่อเซวียนก็เปลี่ยนไป เขาเวียนหัวมากจนเกือบจะล้มลง โชคดีที่ฟางรุ่ยที่อยู่ข้างๆ พยุงเขาไว้
“ไอ้เลวระยำ!”
นี่เป็นครั้งแรกที่ซางเทียนซั่วและฟางรุ่ยได้ยินซ่งจื่อเซวียนสบถ ครั้งนี้เขากระวนกระวายใจจริงๆ!
“อาจารย์ไม่ต้องกังวล ผมติดต่อเซินซวี่คนนี้ได้ตอนนี้เลย เราจัดการเรื่องนี้ได้!” ซางเทียนซั่วกล่าว
ซ่งจื่อเซวียนพยักหน้า “ดี แต่เรื่องมันไม่ง่ายขนาดนั้น สิ่งสำคัญที่สุดคือพี่สาวฉัน ฉันไม่อยากให้เธอเสียใจ แต่เธอต้องกลับไปกับฉัน!”
อันที่จริงแม้แต่ซ่งจื่อเซวียนเองก็ไม่รู้ตัวว่าในเวลานี้เขาเปลี่ยนไปมากจริงๆ อย่างน้อยเมื่อก่อนเขาจะไม่พูดเรื่องพาพี่สาวกลับบ้าน แต่ตอนนี้เขาเป็นเหมือนหัวหน้าครอบครัว จะต้องพาซ่งอีหนานกลับมาอยู่ในความดูแลของเขา
ฟางรุ่ยเอ่ย “นายท่านรอง เรื่องนี้…อย่ารีบร้อนเลย ผู้หญิงต่างก็ใช้อารมณ์กันทั้งนั้น ถ้าตอนนี้คุณไปพูดกับพี่สาวแบบนี้ เกรงว่าเธอจะรับไม่ไหว อาจจะเกิดอะไรขึ้นก็ได้ทั้งนั้นถึงตอนนั้นคุณก็จะทนไม่ไหวเหมือนกัน”
“แม่ง แกเรียกผิดหรือเปล่า ฉันเรียกป้า แต่แกเรียกพี่สาวเนี่ยนะ” ซางเทียนซั่วเอ่ยว่า “ถ้าแกเรียกอาจารย์ฉันว่านายท่านรอง เธอก็คือย่าใหญ่[1]สิ”
ฟางรุ่ยงุนงง ให้เรียกย่าใหญ่งั้นเหรอ ไม่รู้เลยว่ามีย่าเล็ก[2]ด้วยหรือเปล่า
ซ่งจื่อเซวียนเมินซางเทียนซั่วและพยักหน้า “รุ่ยจื่อนายพูดถูก เรื่องนี้เราต้องเริ่มที่เซินซวี่ เทียนซั่วเราไปหาเซินซวี่คนนี้เดี๋ยวนี้ นายหาเขาได้ไหม”
“น่าจะได้นะอาจารย์ ธุรกิจที่ใหญ่ที่สุดของเขาคือโรงแรมโรส นับว่าค่อนข้างใหญ่ในบรรดาโรงแรมราคาประหยัด ตอนแรกเขาอยากจะเอาโรงแรมนี้มาร่วมมือกับครอบครัวผม เราไปหาดูที่นั่นก่อนไหม ถ้าหาไม่เจอจริงๆ ผมจะถามพ่อให้อีกที”
“ตามนั้น!”
จากนั้นทั้งสามคนก็นั่งแท็กซี่ไปโรงแรมโรส ซ่งจื่อเซวียนลงจากรถแล้วมองดู มันใหญ่กว่าโรงแรมราคาประหยัดทั่วไปมากจริงๆ ทั้งหมดมีสิบกว่าชั้น และแต่ละชั้นน่าจะมีอย่างน้อยยี่สิบกว่าห้อง
ทันทีที่เขาเข้าไป ซางเทียนซั่วก็เดินตรงไปที่แผนกต้อนรับ “เฮ้ เจ้านายไตบกพร่อง[3]ของพวกเธออยู่หรือเปล่า”
เมื่อได้ยินดังนั้น พนักงานแผนกต้อนรับก็ตกตะลึง “คุณผู้ชาย คุณพูดว่าอะไรนะคะ”
“ไอ้หยา พวกเธอเป็นพนักงานยังไม่รู้อีกเหรอ เจ้านายของเธอชื่อไตบกพร่อง โทรหาคนที่รับผิดชอบที่นี่แล้วให้เขามาทันที!”
ซ่งจื่อเซวียนถามว่า “ไม่ใช่เซินซวี่หรอกเหรอ”
แต่เขาก็ตระหนักถึงคำพ้องเสียงทันที จึงพยักหน้าเบาๆ “ใช่แล้ว ชื่อไตบกพร่อง!”
“คุณผู้ชาย ถ้าคุณทำแบบนี้อีกครั้งฉันจะแจ้งตำรวจนะคะ!” เห็นได้ชัดว่าพนักงานแผนกต้อนรับคิดว่าพวกเขามาที่นี่เพื่อก่อกวน
ซ่งจื่อเซวียนพูด “เดี๋ยว เรามาที่นี่เพื่อเจรจาความร่วมมือกับเจ้านายของคุณ เรานัดหมายกันที่นี่…”
พูดไม่ทันขาดคำ ดวงตาซ่งจื่อเซวียนก็สังเกตเห็นที่ประตูหน้าโรงแรมมีชายสวมชุดสูทสามสี่คนเดินเข้ามา และเขาก็จำคนหนึ่งในนั้นได้ทันที
เป็นผู้ชายคนนั้นที่กำลังสนุกอยู่ในโรงแรมราคาประหยัดอีกแห่งหนึ่งเมื่อวาน ไม่เพียงแค่เริ่มหยอกล้อที่แผนกต้อนรับ ต่อมายังให้อีกฝ่ายเรียกว่าปะป๊าอีก ทำเขาลืมไม่ลงจริงๆ
ขณะนั้นซางเทียนซั่วก็เอ่ยขึ้น “อาจารย์ บังเอิญแล้ว มันมาจริงๆ ด้วย นั่นก็คือไอ้ไตบกพร่อง!”
………………………………………………………
[1] ที่เรียกว่าย่าใหญ่ (姑奶) เพราะนายท่านในที่นี้ตัวจีนคือ 爷 ซึ่งหมายถึงปู่ได้ด้วย ซางเทียนซั่วจึงสื่อว่าถ้าฟางรุ่ยเรียกซ่งจื่อเซวียนว่าปู่ ก็ต้องเรียกซ่งอีหนานที่เป็นพี่สาวว่าย่าใหญ่
[2] ย่าเล็ก (少奶奶) ในที่นี้หมายถึงย่าที่เป็นภรรยาของปู่ และยังใช้เรียกภรรยาของนายน้อยได้อีกด้วย
[3] ไตบกพร่อง (肾虚) อ่านว่า เซิ่นซวี เป็นคำพ้องเสียงกับคำว่า เซินซวี่